ฮั่วซูมุ่นคิ้วเอ่ยด้วยท่าทีชั่งใจว่า “ข้าคิดว่าเจ้าสำนักมั่ว…คงไม่สนใจหรอกกระมัง” ดูจากท่าทางของมั่วเวิ่นฉิงแล้ว ต่อให้คนทั่วทั้งใต้หล้าตายสิ้น เขาก็ไม่แม้แต่กะพริบตาด้วยซ้ำ
มู่ชิงอีส่ายศีรษะถอนหายใจเอ่ย “หากไม่สนใจ เขาก็คงไม่มาหรอก”
ไท่สื่อเหิงเลิกคิ้วพลางเล่นพัดในมือด้วยรอยยิ้มเพื่อคลายบรรยากาศอึมครึม “พวกเจ้าไม่คิดสงสัยบ้างหรือว่าคนที่มารับตำแหน่งเจ้าสำนักคนใหม่จะเป็นใคร”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วยิ้มบางกล่าว “ข้าพอจะเดาได้รางๆ ไท่สื่อเหิงเล่า”
ไท่สื่อเหิงอมยิ้มเอ่ย “ข้าก็พอจะเดาออก เพียงแต่ไม่รู้ว่าพวกเรานึกถึงคนคนเดียวกันหรือเปล่า มิเช่นนั้น…เรามาเขียนตัวอักษรดูเป็นอย่างไรเล่า”
พวกเขาทั้งสองสบตากัน จากนั้นก็หยิบก้านไม้มาขีดเขียนตัวอักษรหนึ่ง
ไท่สื่อเหิงเขียนตัวอักษรหรง ส่วนมู่ชิงอีเขียนตัวอักษรอวี้ ไท่สื่อเหิงยิ้มเอ่ยอย่างสุขใจ “คนฉลาดมักมีความคิดเหมือนกัน” จากนั้นก็ยกเท้าเกลี่ยลบอักษรบนพื้นอย่างไม่ใส่ใจ พวกเขาสองคนหมุนตัวทอดมองการชุมนุมที่อยู่ไม่ไกลนัก ดวงตางดงามของมู่ชิงอีประกายความเยือกเย็นฉายชัดให้เห็น
“แม่นางหลิงซู เจ้าเชิญพวกข้ามาที่นี่ด้วยเรื่องอันใดกันแน่ เห็นบอกว่าจะให้ความกระจ่างแก่พวกเรา โปรดพูดให้ชัดเจนในเวลานี้ทีเถิด” บุรุษวัยกลางคนสวมชุดดูดีราศีไม่ธรรมดาผู้หนึ่งยืนมองหลิงซูตรงหน้าแล้วเอ่ยขึ้นเสียงขรึม ส่วนด้านหลังมีเหล่าคนในยุทธภพลุกขึ้นคอยผสมโรงด้วยเช่นกัน
“มั่วเวิ่นฉิงเข่นฆ่าศิษย์แต่ละสำนักไปราวสองร้อยคน หากเย่าหวังกู่ไม่ให้ความกระจ่างที่สมเหตุสมผลแก่พวกเราละก็ ต่อให้เป็นแม่นางหลิงซู เกรงว่าพวกเราก็คงไว้หน้าไม่ได้เช่นกัน” ผู้เฒ่าร่างผอมซูบอายุราวห้าสิบกว่าๆ คนหนึ่งกล่าวเสียงสูงพร้อมนัยน์ตาประกายแสงพาดผ่าน
ครั้นพูดจบ ทุกคนก็ยิ่งโวยวายขึ้นมายกใหญ่ แม้จำนวนคนในสำนักยุทธภพเทียบกับกองทัพทหารที่มีจำนวนเป็นพันเป็นหมื่นไม่ติด แต่ลำพังแค่ร้อยกว่าคนก็นับว่าเป็นสำนักใหญ่แล้ว หากมีราวพันคนขึ้นไปก็ยิ่งเป็นดั่งหัวเรือใหญ่ในยุทธภพ มีสำนวนโบราณที่ว่าจอมยุทธมักอาศัยวิทยายุทธเพื่อก่อเรื่องวุ่นวาย ถึงแม้ยุทธภพจะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับราชสำนัก แต่เชื้อพระวงศ์ไม่มีทางปล่อยให้สำนักในยุทธภพยิ่งใหญ่ข้ามหน้าข้ามตาไปได้แน่นอน แถมครั้งนี้คนที่ถูกมั่วเวิ่นฉิงฆ่าทิ้งล้วนเป็นดั่งหัวกะทิของแต่ละสำนักทั้งสิ้น แล้วจะไม่ให้คนในสำนักเหล่านี้รู้สึกปวดใจได้เช่นไร
หากไม่ทักท้วงความเสียหายเหล่านี้คืนจากเย่าหวังกู่ พวกเขาจะกล้ำกลืนความโกรธแค้นนี้ไปได้เช่นไร
หลิงซูมองทุกคนที่แสดงท่าทีขุ่นเคืองตรงหน้าพลางถอนหายใจแผ่วเบา จากนั้นก็เหลือบมองซู่เวิ่นที่ดวงตาแดงก่ำข้างกายตนแวบหนึ่งก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกกล่าว “ทุกท่าน โปรดฟังหลิงซูสักหน่อยได้หรือไม่”
เพราะเห็นแก่หน้าฉายามืออันบริสุทธ์ของพระแม่กวนอิม คนส่วนใหญ่จึงไว้หน้าบ้าง ทุกคนค่อยๆ สงบลง “แม่นางหลิงซูว่ามาเถิด”
หลิงซูเอ่ยเสียงขรึม “มั่วเวิ่นฉิง...ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของอดีตเจ้าสำนัก ดังนั้น…ตอนนี้เขาไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับเย่าหวังกู่อีก นอกจากนี้เย่าหวังกู่เองก็ตามหาบุตรแท้ๆ ของอดีตเจ้าสำนักเจอแล้ว ไม่นานคงให้รับตำแหน่งขึ้นเป็นเจ้าสำนักเย่าหวังกู่อย่างเป็นทางการ”
พวกเขาต่างเงียบกริบ ทุกคนต่างคิดไม่ถึงว่าเย่าหวังกู่จะตัดหางปล่อยวัดมั่วเวิ่นฉิงเช่นนี้ สักพักก็มีคนเปล่งเสียงดังแว่วขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้แม่นางหลิงซูบอกว่าเรื่องหญ้าเซียนเก้าเมฆาเป็นเรื่องเข้าใจผิด ทว่าตอนนี้กลับบอกว่ามั่วเวิ่นฉิงไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับเย่าหวังกู่ เย่าหวังกู่พูดจากลับกลอกเช่นนี้จะเชื่อถือได้หรือ”
หลิงซูเอ่ยเสียงขรึม “หลิงซูขอสาบานต่อหน้าฟ้าดินว่าข้าพูดตามสัตย์จริง เดิมทีมั่วเวิ่นฉิงเป็นลูกบุญธรรมที่อดีตเจ้าสำนักเก็บกลับมาจากภายนอก บรรพบุรุษของเย่าหวังกู่กล่าวไว้ว่าหากไม่ใช่คนในสายเลือดตระกูลมั่วก็จะสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักไม่ได้”
มีคนในกลุ่มยิ้มเย้ย “ใครจะไปรู้ว่าเพื่อผลักความรับผิดชอบ เย่าหวังกู่ถึงได้พูดจาเหลวไหลเช่นนี้หรือเปล่า ยามที่มั่วเวิ่นฉิงฆ่าคนก็ไม่เห็นมีใครบอกว่าเขาไม่ใช่เจ้าสำนักของเย่าหวังกู่สักหน่อย”
หน้าเรียวของหลิงซูดูหม่นลงแล้วตวาดขึ้นว่า “มั่วเวิ่นฉิงฆ่าคนก็ถือว่าผิดจริง แต่เหตุใดมั่วเวิ่นฉิงถึงต้องฆ่าคนเล่า”
ทุกคนที่นั่งอยู่ต่างหน้าชาวาบขึ้นมาทันที พลันก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจขึ้นมาชั่วขณะ เหตุใดมั่วเวิ่นฉิงถึงฆ่าคน ย่อมเป็นเพราะพวกเขาปรารถนาจะแย่งหญ้าเซียนเก้าเมฆา แต่ใครจะรู้ว่าเย่าหวังกู่ที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยขึ้นชื่อเรื่องวิทยายุทธกลับมีพลังทำลายล้างได้น่าตกตะลึงขนาดนี้ เกรงว่าแม้แต่ยอดฝีมือชั้นแนวหน้ายังมีพลังทำลายล้างสู้มั่วเวิ่นฉิงไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
“แม่นางหลิงซูกล่าวเช่นนี้จะโทษว่าพวกข้ายุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างนั้นหรือ พวกเราเองก็ทำเพื่อยื้อแย่งหญ้าเซียนเก้าเมฆามาคืนให้เย่าหวังกู่เช่นกัน” มีคนท้วงขึ้นอย่างน่าสงสาร
หลิงซูเองก็รู้ดีว่าไม่ควรล่วงเกินคนเหล่านี้ พลันสีหน้าก็อ่อนลงเอ่ยเสียงขรึมว่า “ความจริงเย่าหวังกู่เป็นคนก่อเรื่องนี้ขึ้นเอง เพียงแต่สิ่งใดที่เย่าหวังกู่พอทำได้ย่อมเต็มใจชดใช้ให้ทุกคนอยู่แล้ว วันนี้หลิงซูมาเพื่อประกาศว่ามั่วเวิ่นฉิงไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับเย่าหวังกู่แล้ว ทุกคนโปรดเป็นพยานด้วย”
“แม่นางหลิงซู ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่เชื่อเจ้า แต่เวลานี้หากเจ้าตัวมาบอกเอง พวกเราถึงจะเชื่อได้มิใช่หรือไร”
“ในเมื่อก่อนหน้านี้แม่นางหลิงซูบอกว่าเรื่องหญ้าเซียนเก้าเมฆาเป็นเรื่องเข้าใจผิด เช่นนั้นหญ้าเซียนเก้าเมฆาที่แท้จริงอยู่ที่ใดเล่า” มีคนร้องถามเสียงสูง
หลิงซูยังไม่ทันเปิดปากก็มีเสียงเย็นยะเยือกหนึ่งดังขึ้นว่า “หญ้าเซียนเก้าเมฆาอยู่ที่ข้านี่แหละ หากพวกเจ้าเก่งนักก็มาเอาเอง”
มั่วเวิ่นฉิงยังคงสวมชุดสีขาวหิมะเหมือนเคย พลางเดินเยื้องย่างเข้ามาช้าๆ ด้วยท่วงท่าสง่างาม สีหน้าเย็นยะเยือกดั่งเกล็ดน้ำค้างราวกับไร้ความรู้สึกยินดี โกรธ ทุกข์และสุขต่างจากมนุษย์บนโลกใบนี้อย่างสิ้นเชิง ทว่าเขากลับเหมือนรูปปั้นที่ถูกแกะสลักมาอย่างประณีตละเอียดก็มิปาน
“มั่วเวิ่นฉิง!”
“มั่วเวิ่นฉิง เจ้ากล้ามาด้วยหรือ”
ชั่วขณะนั้นการชุมนุมก็อลหม่านขึ้นทันที มีคนในยุทธภพที่สูญเสียสหายไปด้วยน้ำมือของมั่วเวิ่นฉิงบางส่วนชักดาบออกมาแล้ว หากไม่ใช่เพราะกลัวพิษบนตัวเขา เกรงว่าคงกระโจนเข้าหาแล้ว
มั่วเวิ่นฉิงกวาดตามองทุกคนด้วยสีหน้าราบเรียบ จากนั้นก็เดินช้าๆ เข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าหลิงซูซึ่งอยู่ไม่ห่างกันมากนัก
“พี่ใหญ่มั่ว…เจ้าสำนัก” ซู่เวิ่นที่อยู่ข้างกายหลิงซูใช้ดวงตาแดงก่ำจับจ้องมั่วเวิ่นฉิง หากไม่ใช่เพราะมีหลิงซูยืนอยู่ข้างกาย เกรงว่าคงพุ่งเข้าไปหาเขาแล้ว
“เจ้าสำนัก…มั่ว” ดวงตาที่จับจ้องมั่วเวิ่นฉิงของเซวียไฉ่อียังคงเต็มไปด้วยความคลั่งไคล้ เสียดายก็แต่เขายังคงหน้านิ่งไม่เปลี่ยน สายตาที่มั่วเวิ่นฉิงใช้มองทุกคนยังไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ เหมือนเดิม ราวกับตรงหน้าไม่ใช่สาวงามแต่เป็นเพียงท่อนไม้ธรรมดาสองท่อนอย่างไรอย่างนั้น
“ศิษย์พี่มั่ว” หลิงซูอุทานขึ้นเสียงเบา
มั่วเวิ่นฉิงใช้ดวงตากวาดมองทุกคนที่นั่งอยู่แล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าตัดความสัมพันธ์กับเย่าหวังกู่มานานแล้ว หากมีเรื่องแค้นใจใดก็มาลงที่ข้า”
“มั่วเวิ่นฉิง มารร้ายที่ฆ่าคนโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตาอย่างเจ้า ฆ่าคนเหมือนผักเหมือนปลา เป็นหมอเสียเปล่า!” ฉับพลันก็มีคนหลุดปากก่นด่าออกมา แต่มั่วเวิ่นฉิงกลับไม่นึกโกรธสักนิด เพียงแต่เอ่ยเสียงเย็นชา “หากเจ้าอยากด่านัก ทำไมไม่ออกมาเล่า”
คนคนนั้นทำตัวเล็กลงในทันที เขาก็แค่อาศัยช่วงคนเยอะผสมโรงไปด้วยก็เท่านั้น หากยืนประจันหน้ามั่วเวิ่นฉิงเลยย่อมมิกล้าแน่นอน
ทุกคนต่างเงียบกริบไปชั่วครู่ บุรุษวัยกลางคนที่เป็นหัวหน้าถึงลุกขึ้นยืนกล่าวว่า “นับแต่นี้ไปเย่าหวังกู่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับมั่วเวิ่นฉิงแล้วจริงหรือ ไม่ว่ามั่วเวิ่นฉิงจะเป็นหรือตายก็ไม่เกี่ยวกับเย่าหวังกู่หรือ”
หลิงซูชั่งใจครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าเอ่ย “ใช่”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าสำนักคนใหม่อยู่ไหนเล่า แม่นางหลิงซูกล่าวเช่นนี้ก็ควรบอกให้พวกเรารับรู้ด้วยว่าเจ้าสำนักคนใหม่อยู่ที่ใดกระมัง”
“เชิญเจ้าสำนักเจ้าค่ะ” หลิงซูหันหน้าไปเอ่ยเรียกใครบางคนทันที