มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป บนโลกนี้จะไม่มีหญ้าเซียนเก้าเมฆาอีก”
มั่วเวิ่นฉิงพยักหน้า เขาไม่สนใจว่าหญ้าเซียนเก้าเมฆาปลอมนั้นจะอยู่ที่ใด ขอแค่วันหน้าไม่นำพาเรื่องเดือดร้อนมาให้ตนก็พอแล้ว
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “มั่ว…เวิ่นฉิงไม่อยากรู้หรือว่าหญ้าเซียนเก้าเมฆาอยู่ที่ใด” มั่วเวิ่นฉิงส่ายศีรษะ “เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับข้า ในเมื่อเจ้าบอกว่าไม่มีเรื่องใดแล้ว ข้าก็ควรไปสักที”
มั่วเวิ่นฉิงวางแก้วสุราลงก่อนลุกขึ้นเตรียมเดินจากไป
“รักษาตัวด้วย”
มั่วเวิ่นฉิงพยักหน้า เขาชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรก่อนจะหมุนตัวเดินลงบันไดไป
เพิ่งลงบันไดมาจ่ายเงินแล้วเดินออกประตูใหญ่ของหอมู่หวาไปได้ไม่นาน ถนนนอกประตูใหญ่ก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังแว่วมา บุรุษที่สวมชุดองครักษ์ราชสำนักร่างอาบไปด้วยเลือดวิ่งพุ่งเข้าไปในจวนผู้ว่าพลางตะโกนเสียงดังว่า “จื้ออ๋องทรงสิ้นพระชนม์แล้ว!”
มั่วเวิ่นฉิงผงะไปเล็กน้อย จากนั้นก็เงยหน้ามองหญิงสาวในชุดสีขาวใบหน้างดงาม ท่วงท่าอ่อนโยน ยิ้มหวานดั่งบุปผาตรงริมหน้าต่างที่เปิดไว้ครึ่งบานชั้นสองแวบหนึ่ง
มั่วเวิ่นฉิงหมุนตัวเดินมุ่งหน้าออกนอกเมืองไป ที่แท้…พวกเราก็ไม่ใช่คนเส้นทางเดียวกัน
มู่ชิงอีทอดมองร่างเงาสีขาวที่ค่อยๆ เดินลับตาไปพลันลอบถอนหายใจอย่างไร้เสียง เวิ่นฉิง...เป็นชื่อที่สง่างามตราตรึงใจซึ่งนานๆ จะเจอสักคน มั่วเวิ่นฉิง...เป็นชื่อที่ชวนให้รู้สึกถึงไอเย็นยะเยือกและหมองหม่นไปพร้อมกัน แต่ช่างเข้ากับนิสัยใจคอของมั่วเวิ่นฉิงเสียเหลือเกิน เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขามีนิสัยใจคอเช่นนี้เลยตั้งชื่อนี้ขึ้นมา หรือเป็นเพราะเขามีชื่อนี้เลยส่งผลให้เขามีนิสัยใจคอเช่นนี้กันแน่
“แม่นาง” เทียนเฉวียนและฮั่วซูเดินขึ้นบันไดมาพลางมองหอมู่หวาที่แสนวังเวงว่างเปล่าอย่างเห็นได้ชัดพลันเอ่ยเรียกเสียงเบา
มู่ชิงอีหันไปมองพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เรื่องที่เหลือเก็บกวาดเรียบร้อยหรือยัง”
เทียนเฉวียนยิ้มบางเอ่ย “แม่นางโปรดวางใจได้เลย ไม่มีทางสาวมาถึงพวกเราแน่นอน”
มู่ชิงอีพยักหน้าด้วยความพอใจ “เทียนเฉวียนทำอะไร ข้าก็วางใจทั้งนั้นแหละ เพียงแต่ไม่รู้ว่า…หากข่าวนี้แพร่สะพัดไปถึงเมืองหลวงแล้วจะสะเทือนใจกันมากเพียงใด”
เทียนเฉวียนเอ่ย “จื้ออ๋องเป็นถึงโอรสคนโตของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ อีกทั้งเป็นโอรสของฮองเฮาอีกต่างหาก ถึงแม้บัดนี้ตระกูลทางฝั่งฮองเฮาจะล่มสลายไปแล้ว เกรงว่าไม่มีทางดูดายแน่นอน แต่คงสร้างเรื่องกลัดกลุ้มให้จวงอ๋องไม่น้อยทีเดียว”
ความจริงเรื่องนี้ง่ายมาก หลังจากเทียนเฉวียนเอาหญ้าเซียนเก้าเมฆา ไปให้หรงหวง หรงหวงคิดจะฆ่าปิดปากเขา แต่เพราะเทียนเฉวียนเตรียมการไว้แต่เนิ่นๆ เลยเอาตัวรอดมาได้อย่างราบรื่น หรงหวงเองก็ไม่อยากตามตอแยเลยรีบเดินทางกลับเมืองเพื่อนำหญ้าเซียนเก้าเมฆา ไปถวายให้เสด็จพ่ออย่างลับๆ ทว่าหรงหวงมัวแต่จินตนาการว่าหลังจากเสด็จพ่อได้รับสมบัติล้ำค่านี้คงพอพระทัยมากเป็นแน่ กระทั่งเขาลืมไปแล้วว่าหลายวันมานี้ยังมีหรงเซวียนคอยตามพัวพันเขาอยู่ไม่ห่างเช่นกัน
หรงหวงยังไม่ทันออกจากเมืองเผิงก็ถูกคนของหรงเซวียนขวางไว้ก่อนแล้ว แน่นอนว่าระหว่างนั้นก็ได้รับความช่วยเหลือจากคนของเมืองเทียนเชวียอยู่ไม่น้อย ครั้นตกลงไม่ลงตัวก็ลงไม้ลงมือกัน สุดท้ายไม่รู้ว่าจู่ๆ เหตุใดกล่องหยกขาวที่ใส่หญ้าเซียนเก้าเมฆาถึงปริแตกระเบิดจนส่งผลให้หรงหวงต้องสิ้นพระชนม์เสียได้
การเปลี่ยนแปลงกะทันหันเช่นนี้ทำเอาหรงเซวียนตะลึงงันไปชั่วขณะ หลังจากได้สติเรื่องแรกที่เขาจัดการก็คือทำให้ตนเองหลุดพ้นจากเรื่องนี้โดยฆ่าปิดปากองครักษ์ติดตามของหรงหวงทิ้งจนเกลี้ยง สุดท้ายก็เก็บไว้เพียงองครักษ์คนสำคัญข้างกายของหรงเซวียน จากนั้นหรงเซวียนก็ทำให้ตนเองบาดเจ็บสาหัสจนถูกคนหามกลับเข้าเมืองเผิงไป ในเมื่อทั้งสององค์ชายออกจากเมืองหลวงมาด้วยกัน องค์ชายคนหนึ่งสิ้นชีพขณะที่อีกคนกลับไม่มีร่องรอยบาดแผลเลยสักนิด ต่อให้เป็นหรงเซวียนเองก็ยังยากจะเชื่อได้ว่าเรื่องครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับตน ยิ่งไปกว่านั้นเวลานี้หรงเซวียนกินปูนร้อนท้องเลยใช้แผนเจ็บตัวทำร้ายตัวเองจนอาการปางตาย ทว่าหรงเซวียนกลับรู้แก่ใจดีว่าต่อให้เสด็จพ่อจะทรงเชื่อตน แต่เกรงว่าคงสร้างปมแค้นกับทางฝั่งฮองเฮาเสียแล้ว
หลังจากฟังคำรายงานของเทียนเฉวียนแล้ว มู่ชิงอีก็คลี่ยิ้มบางเพราะสถานการณ์โดยรวมยังอยู่ในการควบคุม “หลายวันมานี้คุณชายเว่ยมีความเคลื่อนไหวใดบ้าง” เรื่องที่เกิดขึ้นในหลายวันมานี้เว่ยอู๋จี้ไม่เข้ามายุ่มย่ามเลยแม้แต่น้อย กระทั่งทำเอามู่ชิงอีพานรู้สึกไม่ชินอยู่บ้าง โดยเฉพาะยามที่นางตั้งใจส่งคนไปสกัดเว่ยอู๋จี้ไว้ ทว่าภายใต้สถานการณ์ที่เว่ยอู๋จี้ไม่มีความเคลื่อนไหวใดเลยสักนิดเช่นนี้ชวนให้รู้สึกเหมือนนางปล่อยหมัดต่อยนุ่นก็มิปาน หากเว่ยอู๋จี้ไม่ได้ให้ความสนใจหญ้าเซียนเก้าเมฆาจริงๆ แล้วเขาจะมาเมืองเผิงทำไมกัน นอกเสียจาก…เขาจะรู้ว่าเย่าหวังกู่ไม่มีหญ้าเซียนเก้าเมฆามาตั้งแต่แรกแล้ว หรือจะกล่าวได้ว่าหญ้าเซียนเก้าเมฆาของมั่วเวิ่นฉิงคือของปลอมนั่นเอง
เห็นทีคงต้องประเมินคุณชายเว่ยใหม่เสียแล้ว
“เอาเถิด เทียนเฉวียนระวังตัวให้ดี พรุ่งนี้ข้ากับอู๋ซินและฮั่วซูจะกลับเมืองหลวง” มู่ชิงอีเอ่ยขึ้นแล้วส่ายศีรษะเพราะไม่มีกะจิตกะใจไปสนใจเรื่องใดอีก
เทียนเฉวียนพยักหน้าเอ่ย “แม่นางโปรดวางใจเถิด”
“มู่ชิงอี เราเจอกันอีกแล้ว” หลิงซูกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม หลังจากเดินลงบันไดมาเตรียมตัวกลับไปเก็บข้าวของที่เรือนได้ครู่เดียวก็เห็นหลิงซู ซู่เวิ่นและมู่หรงอวี้นำคนเดินเข้ามาจำนวนหนึ่ง
“มู่ชิงอี!” มู่หรงอวี้ที่ยืนอยู่ข้างกายหลิงซูจำตัวตนของมู่ชิงอีได้ตั้งแต่แวบแรก จากนั้นก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันขานเรียก
มู่ชิงอีค่อยๆ เงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยยิ้มๆ “ที่แท้ก็กงอ๋องนี่เอง ไม่เจอกันนานสบายดีหรือไม่เล่า”
“สบายดีมากเชียวล่ะ!” มู่หรงอวี้ไม่สามารถรักษาภาพพจน์ได้อีกต่อไป เขาจับจ้องหญิงสาวที่เผยรอยยิ้มงดงามตรงหน้าด้วยสีหน้าดุดัน กระทั่งตอนนี้มู่หรงอวี้ยังไม่เชื่อเลยว่าเสด็จพ่อจะลงโทษเขาเพียงเพราะผู้หญิงคนนี้ นับตั้งแต่นั้นมาเขาก็ถูกความเสแสร้งจอมปลอมของนางรังแกอยู่ร่ำไป!
ซู่เวิ่นที่อยู่ด้านข้างเอ่ยอย่างหงุดหงิด “เจ้าสำนักรู้จักนางด้วยหรือ”
มู่หรงอวี้แค่นเสียงเบาทีพลางจับจ้องมู่ชิงอีตาเขม็ง “มู่ชิงอี ในเมื่อเจ้าตกอยู่ในมือข้าแล้ว เจ้ายังคิดจะหนีอีกหรือ”
มู่ชิงอีมองเขาด้วยสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “กงอ๋อง หม่อมฉันแนะนำว่าเพื่อเลี่ยงไม่ให้ขายหน้า ท่านถามหลิงซูที่อยู่ข้างกายท่านก่อนดีกว่าแล้วค่อยพูดจาเหิมเกริมเช่นนี้ ในเมื่อเวลานี้…ท่านจะทำอะไรได้”
หลิงซูถอนหายใจอย่างเอือมระอา เอ่ยเกลี้ยกล่อมเสียงเบา “เจ้าสำนัก มู่ชิงอีเป็นคู่หมั้นของคุณชายอวิ๋นอิ่น พวกเราจะล่วงเกินนางไม่ได้”
ถึงแม้หลิงซูจะเอ่ยเสียงเบา แต่เพราะพื้นที่ด้านล่างไม่ใหญ่นัก มู่ชิงอีจึงได้ยินชัดเต็มสองหู จากนั้นก็ยักคิ้วเอ่ยยิ้มๆ กับมู่หรงอวี้ว่า “ดูท่าทางกงอ๋อง…เอ๊ะ ไม่ใช่มู่หรงอวี้สิ เจ้าสำนักจูคงเปลี่ยนความคิดแล้ว เช่นนั้นชิงอีต้องขอตัวก่อน หากเจ้าสำนักจูเปลี่ยนแซ่เป็นแซ่มั่วเมื่อใด อย่าลืมส่งบัตรเชิญมาด้วย ข้ากับคุณชายจะได้เตรียมของกำนัลไว้ให้สักชิ้น”
มู่หรงอวี้หน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ กงอ๋องแห่งเมืองหลวงแคว้นหวาที่อยากได้อะไรก็ได้เช่นนั้นกลับถูกหญิงสาวอ่อนแอคนหนึ่งกล้าพูดจากระแทกแดกดันซึ่งๆ หน้าเขาเสียได้ คำพูดของมู่ชิงอีทิ่มแทงบาดแผลเก่าในใจเขาเหลือเกิน ถึงแม้เขาจะยอมรับสถานะของเจ้าสำนักแห่งเย่าหวังกู่ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมรับสายเลือดของตนเองได้ ภายในใจของเขาแล้วสายเลือดคนธรรมดาตัวเล็กๆ ในยุทธภพจะสู้สายเลือดชนชั้นสูงของเชื้อพระวงศ์ได้เช่นไรกัน แต่ถึงอย่างไร…ตัวเขาเองก็ไม่ใช่ลูกหลานในเชื้อพระวงศ์ แต่กลับเป็นเพียงบุตรชายของหมอในยุทธภพ!
เวลานี้มู่หรงอวี้สัมผัสได้เพียงความเย้ยหยันและดูแคลนที่ปรากฏเด่นหราอยู่ในนัยน์ตาของมู่ชิงอีเท่านั้น
“สามหาว!” มู่หรงอวี้ตวาดขึ้นด้วยความโกรธพร้อมตวัดฝ่ามือหมายตบมู่ชิงอีสักหนึ่งฉาด ทว่าร่างเงาสีดำของอู๋ซินก็วาบพุ่งเข้าไปขวางฝ่ามือระหว่างกลางของพวกเขาสองคนไว้ ขณะเดียวกันฮั่วซูก็ดึงมู่ชิงอีถอยหลังมาอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวก็มายืนอยู่ถนนนอกประตูของหอมู่หวาแล้ว