“คือ…” ปู้อวี้ถังมองหรงจิ่นอย่างลังเล ตั้งแต่ต้นจนจบอวี้อ๋องก็ไม่พูดอะไรนอกจากบอกว่าให้นั่งลง เป็นหัวหน้าผู้ดูแลหนุ่มที่พูดอยู่ตลอด
หรงจิ่นที่นั่งหลับตาอยู่ข้างๆ ลืมตาขึ้นทันที มองปู้อวี้ถังด้วยสายตาเย็นชาพลางเอ่ยว่า “คำพูดของจื่อชิงก็คือเจตนารมณ์ของข้า”
เมื่อมองประสานสายตากับหรงจิ่น ปู้อวี้ถังก็อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ ดวงตาของอวี้อ๋องผู้นี้เย็นชาและว่างเปล่า เมื่อมองดูแวบแรกราวกับว่าไม่มีอะไรอยู่ในนั้น แต่ก็ดูเหมือนว่าจะมีหลุมดำที่สามารถดึงดูดผู้คนได้ตลอดเวลา แต่ภายใต้สายตาเย็นชาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้คู่นั้น ปู้อวี้ถังกลับรู้สึกถึงความอันตรายและความเย็นยะเยือกอย่างชัดเจน
นี่คือองค์ชายเก้าอวี้อ๋องผู้ซึ่งถูกเอ่ยขานว่าดื้อรั้นและป่าเถื่อนจริงๆ น่ะหรือ
หรงจิ่นมองปู้อวี้ถังอย่างเย็นชา เอ่ยว่า “หากอยากตายก็เดินออกไป หากไม่อยากตายก็อยู่เป็นผู้ดูแลที่นี่”
ปู้อวี้ถังสีหน้าพลันแข็งทื่อ มองไปที่ชายหนุ่มรูปงามที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย หรงจิ่นแค่นเสียงอย่างเย็นชา “ข้าช่วยเจ้าแล้ว หรือว่าเจ้าจะไม่ตอบแทนบุญคุณ”
ไม่ใช่ว่ามีคำที่เอ่ยว่า ‘ทำคุณไม่หวังผลตอบแทน’ หรอกหรือ ปู้อวี้ถังรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนงี่เง่าที่คิดเช่นนั้นอยู่ช่วงขณะหนึ่ง ในราชวงศ์จะมีคนที่ทำคุณไม่หวังผลตอบแทนจริงๆ หรือ
“ไม่ทราบว่า…ท่านอ๋องอยากให้กระหม่อมตอบแทนอย่างไร” ปู้อวี้ถังเอ่ยอย่างลำบากใจเล็กน้อย
หรงจิ่นเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “นักปราชญ์อย่างพวกเจ้าไม่ได้เอ่ยว่าบุญคุณแม้เพียงแค่หยดน้ำก็ควรตอบแทนให้ได้อย่างสายธารหรอกหรือ”
ใบหน้าของปู้อวี้ถังดูเหยเกขึ้นกว่าเดิม บุญคุณที่ช่วยชีวิตควรตอบแทนให้ได้อย่างสายธาร? บุญคุณที่ช่วยชีวิตควรจะใช้ทั้งมหาสมุทรมาตอบแทนต่างหากจึงจะพอ แล้วก็เป็นเช่นนั้น เมื่อหรงจิ่นเอ่ยว่า “ในเมื่อข้าเป็นคนช่วยชีวิตเจ้าไว้ ดังนั้นในภายภาคหน้าย่อมต้องช่วยข้าทำงาน จงทำงานอย่างเต็มความสามารถและทุ่มเทสติปัญญาทั้งหมด”
ปู้อวี้ถังแอบปาดเหงื่อบนหน้าผากของตัวเอง มองไปที่มู่ชิงอีซึ่งกำลังนั่งดูละครอยู่ด้านข้าง แอบเอ่ยในใจว่า ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ไม่ได้เอ่ยว่า ‘จนกว่าชีวิตจะหาไม่’
เมื่อเห็นท่าทางลำบากใจของปู้อวี้ถัง มู่ชิงอีก็อดก้มหน้าหัวเราะไม่ได้ เอ่ยเสียงเบา “ท่านอ๋องชอบพูดเล่น คุณชายปู้อย่าได้ใส่ใจ คุณชายปู้ไม่ต้องคิดมาก ไม่สู้อยู่ในจวนท่านอ๋อง คิดให้ละเอียด ผ่านไปอีกสักพักค่อยวางแผนว่าจะทำอย่างไรต่อไป”
ปู้อวี้ถังรีบเอ่ยขอบคุณ ตามผู้ดูแลจวนอ๋องไปที่ห้องรับรองแขก แต่ในใจก็เริ่มเข้าใจขึ้นมาบางส่วน ภายภาคหน้าเกรงว่าคงจะต้องขายชีวิตให้จวนอวี้อ๋องจริงๆ แล้ว
เพียงแค่พริบตาเดียวก็ใกล้จะถึงวันตรุษจีนแล้ว ทั้งเมืองหลวงของแคว้นเย่ว์ตกอยู่ในบรรยากาศที่รื่นเริงเช่นกัน ไม่ได้มีท่าทีเหมือนว่าหนึ่งเดือนกว่าก่อนหน้านี้คนทั้งเมืองเคยไว้อาลัยให้แก่พิธีพระศพของรัชทายาทต้าวกง แน่นอนว่าสิ่งนี้เกิดจากความจริงที่ว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ไม่ได้สนใจองค์ชายมากนัก อย่างไรเสียฮ่องเต้ก็ยังอยู่ ต่อให้ต้องแสดงความกตัญญูต่อรัชทายาท เพียงแค่สี่สิบเก้าวันก็นับว่าเพียงพอแล้ว
มู่ชิงอีสวมเสื้อคลุมจิ้งจอกหิมะสีขาว ถือเตาผิงมือสีม่วงทองที่แกะสลักอย่างประณีต ขนจิ้งจอกสีขาวนุ่มนวลและอบอุ่นระที่แก้มขาวละเอียดราวกับหยก ขับทำให้ผิวของนางดูงดงามยิ่งกว่าเดิม มือคู่นั้นที่ถือเตาผิงนั้นเรียวยาว สวยราวกับหยก ดูเปราะบางเหมือนกับแทบจะไร้เรี่ยวแรง แต่บรรดาบ่าวรับใช้ในจวนที่เดินผ่านไปผ่านมาพลางทำความเคารพต่างก็รู้ดีว่าชายหนุ่มที่ดูเหมือนคุณชายชั้นสูงที่ร่างกายอ่อนแอนั้นเป็นคนจัดการเรื่องต่างๆ อย่างเด็ดขาดและโหดเหี้ยมเพียงใด
“หัวหน้าผู้ดูแลกู้” ที่ปลายระเบียงทางเดิน ปู้อวี้ถังยืนด้วยความเคารพ มองไปยังชายหนุ่มในชุดขาวที่กำลังเดินอยู่ตรงหน้าเขาอย่างช้าๆ สถานที่ที่เคยปกครอง วันเวลาที่เคยได้เป็นผู้ว่าได้ผ่านไปอย่างไม่หวนคืนกลับ แม้ว่าจะผ่านไปเพียงหนึ่งเดือนกว่าแต่ปู้อวี้ถังกลับคุ้นเคยชีวิตในจวนอวี้อ๋องอย่างรวดเร็ว ค่อยๆ รู้สึกว่าชีวิตเช่นนี้ก็ใช่ว่าจะไม่ดี
“อวี้ถังไม่ต้องเกรงใจขนาดนี้” มู่ชิงอียิ้มพลางเอ่ยเสียงเรียบ
“สุขภาพหัวหน้าผู้ดูแลดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่” ปู้อวี้ถังถามด้วยความเป็นห่วง
มู่ชิ่งอีถอนหายใจอย่างหมดปัญญา นางไม่ได้ป่วยแต่อย่างใด เพียงแต่ว่าแคว้นหวาตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งสี่ฤดูดุจดั่งฤดูใบไม้ผลิตลอดทั้งปี น้อยครั้งที่จะมีช่วงที่อากาศหนาวซึมลึกเข้าไปถึงกระดูก แต่แคว้นเย่ว์กลับตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ใกล้กับตะวันตกเฉียงเหนือ แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นมีหิมะตกในเดือนแปด แต่การที่มีหิมะตกในเดือนสิบเอ็ดหรือเดือนสิบสองนั้นเป็นเรื่องปกติ
แต่เป็นสถานที่ที่คนอย่างมู่ชิงอีซึ่งเคยอาศัยอยู่ในสถานที่ที่มีหิมะและฝนเพียงเล็กน้อยจะต้องรู้สึกประหลาดใจ จู่ๆ ก็ต้องมาอยู่ในสถานที่ที่มีหิมะตกในช่วงเวลาครึ่งหนึ่งของฤดูหนาวอย่างกะทันหัน ทำให้ไม่สามารถปรับตัวได้ในระยะสั้น
ดังนั้นในขณะที่หรงจิ่นยังคงสวมชุดผ้าแพรสีดำอย่างสง่างามโดยหาที่เปรียบไม่ได้เดินไปเดินมาอยู่ในจวน และในขณะที่ขุนนางเดิมอย่างปู้อวี้ถังสวมเพียงชุดผ้าฝ้ายที่หนาขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น แม้ว่าเมื่ออยู่ในจวนมู่ชิงอีจะสวมเสื้อคลุมจิ้งจอกหิมะหนาๆ และถือเตาผิงมือทุกที่ทุกเวลา แต่กลับป่วยบ่อยกว่าหรงจิ่นที่มักจะป่วยอยู่เป็นประจำเสียอีก
“เดิมทีก็ไม่ได้ป่วยเป็นอะไร ขายหน้าอวี้ถังแล้ว” มู่ชิงอีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ปู้อวี้ถังส่ายหน้าเบาๆ เขาไม่กล้าหัวเราะคนที่อยู่ตรงหน้า แม้ว่าหัวหน้าผู้ดูแลกู้จะมาถึงเมืองหลวงได้ไม่ถึงครึ่งปี แต่ตำแหน่งชายที่มีใบหน้างดงามที่สุดในแคว้นเย่ว์ซึ่งเดิมเคยเป็นของอวี้อ๋องกลับไม่สามารถรักษาไว้ได้อีกต่อไป ในเมืองหลวงมีใครไม่รู้บ้างว่าหัวหน้าผู้ดูแลกู้จวนอวี้อ๋องนั้นใบหน้างดงามราวกับเทวดาบนสรวงสวรรค์ ท่าทางอ่อนโยน สง่างามและใจดี มีความสามารถที่โดดเด่น เมื่อเทียบกับอวี้อ๋องหรงจิ่นที่มองได้เพียงใบหน้า แต่กลับมีอารมณ์รุนแรงอย่างพิกล ราวกับว่าไม่ให้คนแปลกหน้าเข้าใกล้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครเหมาะสมกับตำแหน่งชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งมากกว่า
แต่สิ่งที่ผู้คนในเมืองหลวงไม่รู้ก็คือ ความจริงแล้วเมื่อหัวหน้าผู้ดูแลกู้โมโหขึ้นมาก็ไม่ได้ดีไปกว่าอวี้อ๋องเลย แม้กระทั่งอวี้อ๋องเองก็ยังต้องรีบหลบหนี เพียงแต่ว่าถูกปกปิดด้วยใบหน้าที่ดูใจดีไม่มีอันตรายเพื่อหลอกลวงผู้คนก็เท่านั้น หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ‘หน้าเนื้อใจเสือ’
“อวี้ถังมาในเวลานี้ มีเรื่องอันใดหรือ” มู่ชิงอีเดินเคียงข้างกับปู้อวี้ถัง ถามด้วยรอยยิ้ม ปู้อวี้ถังก้าวถอยหลังด้วยความเคารพ หยิบเทียบเชิญสีม่วงทองออกมาแล้วยื่นให้นางพลางเอ่ยว่า “นี่คือเทียบเชิญของจวนซุ่นหนิงจวิ้นอ๋อง เชิญท่านอ๋องไปร่วมงานเลี้ยง”
ตั้งแต่ที่ปู้อวี้ถังเป็นผู้ดูแลจวนอวี้อ๋อง มู่ชิงอีก็ผ่อนคลายขึ้นมาก คนที่สามารถรับตำแหน่งผู้ว่าราชการได้ความสามารถย่อมไม่เลวเลย ในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนปู้อวี้ถังก็สามารถเข้าควบคุมเรื่องเล็กใหญ่ในจวนอวี้อ๋องได้อย่างสมบูรณ์ มู่ชิงอีเพียงแค่ฟังเนื้อหาคร่าวๆ ก็พอแล้ว ด้วยความสามารถของเขา นางเองยังต้องยกย่องว่าปู้อวี้ถังเป็นคนที่ควรค่าแก่การช่วยชีวิตจริงๆ
“ซุ่นหนิงจวิ้นอ๋อง” มู่ชิงอีรับเทียบเชิญมา เลิกคิ้วพลางยิ้มแล้วเอ่ยว่า “มู่หรงอวี้กลับมาแล้วหรือ จริงสิ…หากเขายังไม่กลับมาสิถึงจะแปลก” ด้วยความทะเยอทะยานของมู่หรงอวี้ เขาจะพอใจกับตำแหน่งเจ้าสำนักเย่าหวังกู่แล้วละทิ้งตำแหน่งซุ่นหนิงจวิ้นอ๋องแห่งแคว้นเย่ว์ได้อย่างไร
ปู้อวี้ถังถามด้วยความสงสัยว่า “หัวหน้าผู้ดูแลกู้รู้จักกับซุ่นหนิงจวิ้นอ๋องหรือ” ปู้อวี้ถังเองก็เคยได้พบกับซุ่นหนิงจวิ้นอ๋อง แต่เขาไม่ได้รู้สึกดีกับคนผู้นี้มากนัก มีใครในเมืองหลวงแห่งแคว้นเย่ว์บ้างที่จะไม่รู้ว่าเดิมทีซุ่นหนิงจวิ้นอ๋องก็คือกงอ๋อง องค์ชายหกแห่งแคว้นหวา สำหรับคนที่ทรยศต่อแคว้นแล้ว แม้ว่าจะเป็นประโยชน์ต่อแคว้นของตัวเอง แต่ภายในใจของผู้คนก็ยังอดดูถูกเหยียดหยามไม่ได้
มู่ชิงอียิ้มพลางชี้ไปที่เทียบเชิญแล้วเอ่ยว่า “เขาคือองค์ชายหกแห่งแคว้นหวา ส่วนข้าแซ่กู้ คิดว่าพวกเรารู้จักกันหรือไม่เล่า”