ปู้อวี้ถังเข้าใจในทันที แม้ว่าจะไม่ใช่คนคุ้นเคย แต่ก็มีความแค้นอันใหญ่หลวง ยิ่งไปกว่านั้นมู่หรงอวี้ยังเคยเป็นคู่หมั้นของคุณหนูใหญ่ตระกูลกู้อีกด้วย
“เช่นนั้นหัวหน้าผู้ดูแลกู้คิดว่าอย่างไร” ปู้อวี้ถังถามอย่างลังเล อย่างไรก็ต้องไปร่วมสังสรรค์ในทุกๆ เทศกาล หลายวันมานี้ท่านอ๋องถูกบังคับให้ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงต่างๆ จนแทบจะเป็นบ้าแล้ว หากเป็นเทียบเชิญจากองค์ชายหรือคนในราชวงศ์อย่างเป็นทางการนั้นไม่ง่ายเลยที่จะปฏิเสธ แต่เทียบเชิญจากอานซุ่นจวิ้นอ๋องนี้ ปู้อวี้ถังคิดว่าหากตัวเองนำไปส่งอาจจะโดนใครบางคนตบหน้ากลับมาหรือไม่
มู่ชิงอียิ้มพลางเอ่ยว่า “ไปสิ ทำไมจะไม่ไปเล่า อย่างไรก็ต้องไปดูว่าหลังจากอานซุ่นจวิ้นอ๋องกลับเมืองหลวงแล้วต้องการทำอะไร อีกอย่างท่านอ๋องก็ว่างจนแทบจะมีเวลาไปขุดมดในโพรงต้นไม้กินแล้ว ออกไปเดินเล่นสักหน่อยก็ดี” หากผู้ดูแลในจวนไร้ประโยชน์เกินไปก็เป็นปัญหาอย่างหนึ่ง แต่ถ้าหากมีความสามารถมากเกินไปก็เป็นปัญหาเช่นเดียวกัน ตั้งแต่มีปู้อวี้ถังองค์ชายเก้าก็โยนงานซับซ้อนในเรือนทั้งหมดที่เดิมทีมู่ชิงอีแบ่งสันปันส่วนให้เขาไปให้ปู้อวี้ถังอย่างเปิดเผย ดังนั้นอวี้อ๋องผู้ที่ไม่ชอบความเบื่อหน่ายจึงว่างจนแทบจะทำจวนอวี้อ๋องวุ่นวาย
เมื่อนึกถึงความบ้าคลั่งของใครบางคนที่ไม่สามารถต้านทานได้ ปู้อวี้ถังก็อดเบ้ปากไม่ได้ เขาเป็นคนที่มีนิสัยเปลี่ยนไปตามอิทธิพลของสิ่งแวดล้อม ในเวลาไม่ถึงสองเดือน ปู้อวี้ถังก็พบว่าสภาพจิตใจของตัวเองแย่ลงไม่น้อย “เช่นนั้นก็รบกวนหัวหน้าผู้ดูแลกู้ด้วย ข้ายังมีเรื่องที่ต้องทำ ขอตัวก่อน”
มู่ชิงอีมองเขาอย่างเข้าใจ ยิ้มพลางเอ่ยว่า “ไปเถิด”
เมื่อเดินเข้ามาในห้องตำรา หรงจิ่นกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะหนังสือ เมื่อเห็นนางเดินเข้ามาก็ลุกขึ้นต้อนรับนางในทันที “เหตุใดชิงชิงถึงมาที่นี่ หากมีเรื่องอันใดก็ให้ข้ากลับไปแล้วค่อยพูดไม่ได้หรือ หากไม่สบายขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่า” เอ่ยพลางยกมือขึ้นมาช่วยจัดเสื้อคลุมของนางที่เดิมทีก็คลุมอย่างมิดชิดอยู่แล้ว จากนั้นก็ยื่นมือไปทดสอบความร้อนของเตาผิงในมือนางจึงได้วางใจ ในขณะเดียวกันก็เรียกสาวใช้ที่อยู่นอกประตูเข้ามาเติมถ่านไฟในห้องตำรา ถ่านชั้นดีถูกใส่ลงไปในเตาอั้งโล่โดยไม่มีควันแม้แต่น้อย อุณหภูมิในห้องตำรานั้นอุ่นขึ้นมาก
มู่ชิงอีถอนหายใจอย่างระอาใจ โบกมือส่งสัญญาณให้สาวใช้ถอยออกไปแล้วเอ่ย “ร่างกายหม่อมฉันไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดนั้น”
หรงจิ่นพยักหน้า เห็นด้วยกับคำพูดของนาง ในขณะเดียวกันก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “เพียงแต่ว่าเจ้าแพ้ความหนาว”
มู่ชิงอีเอ่ย “หม่อมฉันเพียงแค่ยังไม่ค่อยชินเพคะ”
หรงจิ่นเอื้อมมือไปจับมือของนางที่ได้รับความอบอุ่นจากเตาผิงมือ เอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่เป็นไร ต่อไปพวกเราค่อยไปอยู่ในที่ที่อบอุ่นกว่านี้ ชิงชิงยังไม่ได้บอกเลยว่ามีเรื่องอันใด” มู่ชิงอีหยิบเทียบเชิญออกมาด้วยรอยยิ้มพลางเอ่ยว่า “เมื่อครู่ผ่านมาเจออวี้ถัง ก็เลยช่วยนำมาส่งแทนเขา”
หรงจิ่นเลิกคิ้วอย่างสงสัย รับเทียบเชิญมาจากนางแล้วเปิดดู ก่อนจะมุ่นคิ้วด้วยความรังเกียจ “มู่หรงอวี้ เขากลับมาแล้วหรือ เทียบเชิญของเขาคุ้มค่าให้ชิงชิงต้องถือมาด้วยตัวเองอย่างนั้นหรือ”
มู่ชิงอีเอนหลังพิงเก้าอี้ ยิ้มอย่างเกียจคร้านพลางเอ่ยว่า “ตอนนี้มู่หรงอวี้นับว่าไม่ใช่คนที่อพยพเข้ามาในแคว้นเย่ว์แล้ว แต่คนร้ายประเภทนี้ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ บางทีสักวันหนึ่งท่านอาจตกไปอยู่ในกำมือของเขาก็ได้” การที่ได้เจอกับมู่หรงอวี้ที่เมืองเผิงในครั้งนี้ทำให้มู่ชิงอีเข้าใจอย่างแท้จริงว่ามู่หรงอวี้ไม่เพียงแต่เป็นคนเลวที่มีจิตใจทะเยอทะยานและไร้ศีลธรรมเท่านั้น ซ้ำยังเป็นคนต่ำช้าที่คนต้องเอาคืน
ไม่ว่ามั่วเวิ่นฉิงจะหยาบคายต่อมู่หรงอวี้อย่างไร อย่างไรเสียก็เป็นความจริงที่เถียงไม่ได้ว่ามั่วเวิ่นฉิงช่วยชีวิตมู่หรงอวี้ แต่มู่หรงอวี้ทำอะไรลงไป ก่อนอื่นเขาแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนักเย่าหวังกู่ของมั่วเวิ่นฉิง ต่อมาก็ต้องการกำจัดมั่วเวิ่นฉิงให้ถึงตายอย่างไม่สำนึกบุญคุณ คนเช่นนี้ไม่ใช่วีรบุรุษที่มีความทะเยอทะยาน แต่เป็นคนเลวที่ทำทุกอย่างได้โดยไม่เลือกวิธี
หรงจิ่นแค่เสียงเบาไม่ได้สนใจ ไม่ว่าจะเป็นมุมมองของอวี้อ๋องหรือมุมมองของคุณชายอวิ๋นอิ่น มู่หรงอวี้ก็เป็นเพียงแมลงที่สามารถถูกบีบตายได้ตลอดเวลาก็เท่านั้น
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “หรือว่าท่านไม่อยากรู้ว่าหลังจากที่เขาเป็นเจ้าสำนักเย่าหวังกู่แล้วยังจะวิ่งกลับเมืองหลวงมาทำอะไรอีก ท่านอย่าลืมว่าแต่ไหนแต่ไรมาเย่าหวังกู่ไม่เคยไปมาหาสู่กับราชวงศ์ แต่สิ่งที่เขาทำอยู่ตอนนี้…” มู่หรงอวี้มีความตั้งใจอย่างชัดเจนที่จะยกเลิกกฎเหล็กของเย่าหวังกู่นี้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าหากยกเลิกข้อจำกัดนี้ เย่าหวังกู่จะทะยานขึ้นสู่ฟ้าหรือจะจมน้ำตายในการต่อสู้ทางโลก
หรงจิ่นยังคงทำท่าทางกระฟัดกระเฟียดไม่พอใจ เหลือบมองมู่ชิงอีด้วยสายตาแข็งกร้าว พลอยทำให้มู่ชิงอีตกใจกับท่าทางปฏิเสธอย่างดื้อรั้นของเขา ยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางเอ่ยว่า “องค์ชายเก้า ท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือ”
ความไม่สบายใจปรากฏบนใบหน้าของหรงจิ่นอยู่ครู่หนึ่ง เขาหันหน้าหนี “ข้าไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย ก็แค่งานเลี้ยงไม่ใช่หรือ ข้าไปก็ได้ ชิงชิงเองก็ไปกับข้าด้วย”
มู่ชิงอีถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “เข้าใจแล้ว ไปด้วยกันก็ได้เพคะ” หลายวันมานี้ไม่เพียงแต่มู่ชิงอี แม้แต่บรรดาผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ในเมืองหลวงต่างก็คุ้นชินกับมันแล้ว เมื่อองค์ชายอวี้อ๋องไปเข้าร่วมงานเลี้ยงก็ต้องพาหัวหน้าผู้ดูแลกู้ไปด้วย สำหรับเรื่องนี้ บรรดาผู้มีอำนาจแต่ละจวนไม่เพียงแต่ไม่ได้รู้สึกไม่ดี ซ้ำยังยินดีต้อนรับอีกด้วย หากมีใครสามารถทำให้องค์ชายเก้าไปร่วมงานเลี้ยงอย่างสงบได้ จะมีที่นั่งเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งที่ในงานเลี้ยงจะเป็นไรไป ยิ่งไปกว่านั้นท่าทางของหัวหน้าผู้ดูแลกู้ก็โดดเด่นเป็นสง่า น่ามองเป็นอย่างมาก
หรงจิ่นพยักหน้าอย่างพอใจ เอียงคอมองใบหน้ามู่ชิงอี เอ่ยว่า “ชิงชิงผอมลงแล้ว หากมีเรื่องอันใดก็มอบหมายให้ปู้อวี้ถังจัดการเถิด ชิงชิงอย่าทำงานหนักจนเกินไป”
มู่ชิงอีกลอกตาใส่เขาด้วยความขุ่นเคืองเอ่ย “อวี้ถังเองก็ทำงานหนักเช่นกัน ผิดกับท่านที่แทบจะไม่ทำอะไรเลย อีกอย่างช่วงนี้หม่อมฉันลำบากเสียที่ไหนกัน”
ปู้อวี้ถังรับมือควบคุมงานส่วนใหญ่ในจวนอวี้อ๋องทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว ผู้ว่าที่สง่างามแห่งเมืองเผิงถูกลดตำแหน่งมาเป็นผู้ดูแลเล็กๆ ในจวนอวี้อ๋อง ทำให้รู้สึกว่าทนไม่ได้ที่จะบีบคั้นเขามากเกินไป แต่
หรงจิ่นไม่เห็นด้วย โบกมือพลางเอ่ยว่า “ชิงชิงไม่รู้อะไร ต้องให้เขาทำงานหลายๆ อย่างจึงจะทำให้เขารู้สึกสงบ ยิ่งมอบหมายงานให้เขามากเท่าไร ก็หมายความว่าข้าเชื่อใจเขามากเท่านั้น”
มู่ชิงอีขมวดคิ้วเล็กน้อย ต้องยอมรับว่าสิ่งที่หรงจิ่นพูดนั้นถูกต้อง ปู้อวี้ถังพึ่งจะประสบกับภัยพิบัติที่คาดไม่ถึง เป็นการดีกว่าที่จะทำงานให้มากเพื่อที่จะไม่ไปคิดฟุ้งซ่าน แต่ว่า…“อย่างไรเสียปู้อวี้ถังก็เคยเป็นผู้ว่า การที่เป็นผู้ดูแลในจวนอวี้อ๋องนั้นช่างน่าเสียดายความสามารถของเขา”
หรงจิ่นเอ่ยเสียงเรียบว่า “ปู้อวี้ถังประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังหนุ่ม ย่อมมีความทะนงตนอยู่บ้าง ให้เขาอยู่ในจวนเพื่อควบคุมพฤติกรรมก่อน ในภายภาคหน้าเมื่อปล่อยออกไปย่อมจะมีความมั่นคงมากขึ้น” ปู้อวี้ถังจะมีประโยชน์อย่างยิ่งในอนาคต แต่ครั้งนี้แม้ว่าเหตุการณ์ที่เมืองเผิงจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับปู้อวี้ถัง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีความผิด หากไม่ใช่เพราะปู้อวี้ถังทะนงตนจนเกินไป หากเป็นขุนนางทั่วไป เมื่อประสบกับสถานการณ์ที่องค์ชายทั้งสองเสด็จมาด้วยตัวเอง ย่อมต้องส่งกองกำลังไปปกป้องความปลอดภัยขององค์ชายอย่างระมัดระวัง แต่สำหรับปู้อวี้ถังแล้วอย่าว่าแต่ลงมือทำเลย เกรงว่าคงไม่แม้แต่จะเคยคิดด้วยซ้ำ ปฏิบัติต่อหรงหวงกับหรงเซวียนอย่างคนธรรมดา
ดังนั้นเป็นความจริงที่ปู้อวี้ถังฉลาดและมีความสามารถที่โดดเด่น แต่การที่สามารถก้าวเข้าไปสู่ตำแหน่งผู้ว่าได้นั้นสามารถพูดได้เพียงว่าเขาโชคดี
มู่ชิงอีถอนหายใจ พยักหน้าเอ่ย “แค่ในใจท่านรู้ขอบเขตก็พอแล้ว”
เนื่องจากใกล้จะถึงวันตรุษจีนแล้ว บรรดาขุนนางมีวันหยุดยาวเพียงปีละครั้งเท่านั้น ดังนั้นงานเลี้ยงส่วนใหญ่จึงถูกจัดขึ้นในช่วงเวลานี้ กล่าวได้ว่าตลอดทั้งปีตั้งแต่วันหยุดช่วงปลายเดือนสิบสองไปจนถึงวันเริ่มทำงานในวันที่แปดเดือนหนึ่ง กระทั้งยืดเยื้อไปถึงหลังเทศกาลโคมไฟ บรรดาขุนนางทั่วเมืองหลวงก็ยังคงจัดงานเลี้ยงทุกวันไม่หยุดหย่อน