เหลืออีกสองวันก็จะถึงวันตรุษจีนแล้ว วันนี้เป็นงานเลี้ยงของจวนอานซุ่นจวิ้นอ๋องพอดี ในฐานะที่เป็นองค์ชายจากแคว้นหวา เดิมทีมีคนไม่มากที่จะมางานเลี้ยงของจวนอานซุ่นจวิ้นอ๋อง แต่ตอนนี้อานซุ่นจวิ้นอ๋องมีอีกหนึ่งตัวตนคือเจ้าสำนักเย่าหวังกู่ สถานะเช่นนี้ดูเหมือนจะไม่ได้สูงส่งไปกว่าองค์ชาย แต่ไม่มีใครในโลกนี้ที่ไม่เคยล้มป่วย และหมอที่มีชื่อเสียงในใต้หล้ามากกว่าครึ่งมาจากเย่าหวังกู่ สิบอันดับหมอเทวดาในใต้หล้า มีเจ็ดถึงแปดคนที่เป็นคนของเย่าหวังกู่ คนเช่นนี้ย่อมไม่มีใครกล้าไม่ไว้หน้า ดังนั้นจวนอานซุ่นจวิ้นอ๋องจึงครึกครื้นตั้งแต่เช้าตรู่
เมื่อหรงจิ่นกับมู่ชิงอีมาถึงก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว เมื่อคืนนี้หิมะพึ่งจะตกไป ทั่วทั้งเมืองหลวงถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวอันกว้างใหญ่ไพศาล เกี้ยวของจวนอวี้อ๋องหยุดอยู่นอกประตูจวนอานซุ่นจวิ้นอ๋อง มู่หรงอวี้ที่ต้อนรับแขกอยู่ที่ประตูรีบเข้ามาต้อนรับทันที แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีมิตรภาพใดๆ กับหรงจิ่น กระทั้งตอนอยู่ที่แคว้นหวาก็รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ในฐานะที่หรงจิ่นเป็นองค์ชายที่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์โปรดปรานมากที่สุด จึงไม่ใช่คนที่มู่หรงอวี้ต้องการทำให้ขุ่นเคืองใจ
“อวี้อ๋องเสด็จมาถึงที่นี่ ช่างเป็นเกียรติแก่ข้าและจวนอานซุ่นจวิ้นอ๋องยิ่งนัก” มู่หรงอวี้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
มีเสียงสบถเบาๆ ดังออกมาจากในเกี้ยว หรงจิ่นเอ่ยเสียงเรียบ “อานซุ่นจวิ้นอ๋องกล่าวเกินไปแล้ว มีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าตอนนี้อานซุ่นจวิ้นอ๋องคืนคนที่โด่งดังในเมืองหลวงนี้” ม่านถูกเปิดออก ผู้ที่ออกมาก่อนกลับไม่ใช่อวี้อ๋องหรงจิ่น แต่กลับเป็นชายหนุ่มที่แต่งกายด้วยเสื้อคลุมขนจิ้งจอกขาว ท่าทางสง่างาม รอยยิ้มมีเสน่ห์
แม้ว่าจะอาศัยอยู่ในเมืองหลวงมาเป็นเวลานาน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มู่หรงอวี้ได้พบมู่ชิงอีในเมืองหลวง
“เจ้า…” มู่หรงอวี้ขมวดคิ้ว ชายหนุ่มชุดขาวที่อยู่ตรงหน้าคล้ายคลึงกับคนคนหนึ่งมาก พลอยทำให้มู่หรงอวี้นึกถึงความทรงจำที่ไม่ดีในใจขึ้นมา
มู่ชิงอีกลับยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ พยักหน้าพลางเอ่ยว่า “คารวะอานซุ่นจวิ้นอ๋อง ผู้น้อยนามว่ากู้หลิวอวิ๋น”
มู่หรงอวี้ตกใจ “กู้ หลิว อวิ๋น!”
ตอนนี้ที่เขาตกมาอยู่ในจุดนี้ จุดเริ่มต้น…เพราะคนผู้นั้นที่ชิงตัวจูหมิงเยียนเรียกแทนตัวเองว่ากู้หลิวอวิ๋นไม่ใช่หรือ
“เจ้าคือจังชิง!” มู่หรงอวี้เอ่ยพลางกัดฟัน แม้ว่ากู้หลิวอวิ๋นที่อยู่ตรงหน้าจะไม่ได้เหมือนกับจังชิงทั้งหมด แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะจำไม่ได้
มู่ชิงอีขมวดคิ้ว ยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ยว่า “หากอานซุ่นจวิ้นอ๋องจะคิดเช่นนั้นก็ย่อมได้” คนที่สงสัยว่านางคือจังชิงไม่ได้มีเพียงมู่หรงอวี้เพียงคนเดียว นางจึงไม่จำเป็นจะต้องปิดบัง
“เกิดอะไรขึ้น อานซุ่นจวิ้นอ๋องรู้จักกับจื่อชิงได้อย่างไร”
หรงจิ่นที่อยู่ในเกี้ยวเอ่ยอย่างไม่พอใจ ก้มศีรษะเล็กน้อยแล้วลุกออกมาจากเกี้ยว ข้างนอกมีหิมะขาวโพลนเป็นบริเวณกว้าง แต่ชายหนุ่มที่ออกมาจากเกี้ยวกลับสวมเพียงชุดผ้าแพรสีดำปักลายมังกรที่แขนเสื้อ สวมกวานหยกทรงดอกบัว แต่กลับไม่ได้ดูเป็นระเบียบเหมือนคนทั่วไป ซ้ำยังปล่อยผม เมื่อลมหนาวพัดมา เส้นผมสีดำขลับก็จะปลิวไสวในสายลมพร้อมกับเสื้อคลุมสีดำ
คนหนึ่งสวมชุดสีดำ คนหนึ่งสวมชุดสีขาว ทั้งๆ ที่เป็นสองสีที่ต่างกันสุดขั้ว แต่กลับเข้ากันได้อย่างดีท่ามกลางหิมะสีขาวด้านนอกในตอนกลางวัน และในขณะเดียวกันผู้คนที่อยู่รอบตัวทั้งหมดก็ราวกับกลายเป็นฉากหลังที่มืดสลัว
อิ๋งเอ๋อร์กับฮั่วซูที่อยู่ด้านหลังก้าวเข้ามาถือร่มกระดาษยืนอยู่ข้างหลังทั้งสองคนพร้อมกัน มู่หรงอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย เดิมทีไม่ค่อยมีคนสนใจเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาของสาวใช้ แม้ว่ามู่หรงอวี้จะเคยเห็นฮั่วซูหนึ่งถึงสองครั้ง แต่ถ้านางเปลี่ยนการแต่งกายเพียงเล็กน้อย ก็คงถูกมองว่าเป็นเพียงคนแปลกหน้าเท่านั้น
ซ้ำยังเปลี่ยนจากชุดดำที่มีไอสังหารเป็นชุดสีเขียวอ่อนของสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติ เกล้าผมขึ้นอย่างเรียบง่ายแต่สวยงาม แต่งหน้าบางๆ ฮั่วซูที่แปลงโฉมใหม่ แม้แต่เทียนเสวียนที่เห็นแล้วก็ยังชื่นชมว่าราวกับเป็นคนละคน แน่นอนว่าไม่มีใครรู้ว่านี่คือสตรีชุดดำที่อยู่ข้างกายคู่หมั้นคุณชายอวิ๋นอิ่นในเมืองเผิง
มู่หรงอวี้มองหรงจิ่นที่ดูรำคาญเล็กน้อย จากนั้นก็มองมู่ชิงอีที่ยิ้มอย่างสบายๆ อยู่ด้านข้าง รู้ว่าตอนนี้ไม่มีทางที่จะเอาเรื่องกับกู้หลิวอวิ๋นผู้นี้ได้ จึงทำได้เพียงแค่ยิ้มแล้วประสานมือขึ้นคำนับ “ข้าเสียมารยาทแล้ว เชิญอวี้อ๋อง”
หรงจิ่นก้มหน้าพูดกับมู่ชิงอีว่า “จื่อชิง พวกเราเข้าไปกันเถิด”
มู่ชิงอีพยักหน้า เดินเข้าไปในจวนอานซุ่นจวิ้นอ๋องพร้อมกับหรงจิ่น
ทางด้านหลัง มู่หรงอวี้มองทั้งสองคนเดินเคียงข้างกันไป ยิ่งขมวดคิ้วกว่าเดิม สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปไม่แน่นอน กู้หลิวอวิ๋นผู้นี้มีใบหน้างดงามที่หายากและไม่มีใครเทียบได้ มู่หรงอวี้ก็เคยได้ยินข่าวลือที่แปลกประหลาดบางอย่างในเมืองหลวง พลันนึกถึงความรู้สึกของน้องแปดที่มีต่อกู้ซิ่วถิงในตอนนั้น สีหน้ายิ่งดูแย่ขึ้นกว่าเดิม
ชายหนุ่มรูปงามที่อยู่ในอันดับหนึ่งและอันดับสองของเมืองหลวงเดินเคียงไหล่กันเข้ามาในเวลาเดียวกัน ย่อมดึงดูดความสนใจจากผู้คนนับไม่ถ้วนในทันที คุณชายตงฟังที่เดิมทีกำลังเอะอะโวยวายอยู่ด้านข้างก็ตะโกนเรียกทันที “ท่านน้า…เก้า…” คุณชายตงฟังเกือบจะกัดลิ้นตัวเอง หรือต้องโทษที่เขาคุ้นชินกับการเรียกโดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ เมื่อเรียกว่าท่านน้าเก้าทำให้รู้สึกไม่คุ้นชินเป็นอย่างมาก
เขารีบวิ่งไปหาหรงจิ่นอย่างมีความสุข แต่ว่าเมื่อกำลังจะเข้าใกล้หรงจิ่น คุณชายตงฟังก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์แล้วหันไปหามู่ชิงอี “จื่อชิง ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ข้าคิดถึง…” ยังไม่ทันได้สัมผัสชายเสื้อของมู่ชิงอี ร่มกระดาษสีขาวลายดอกเหมยสีแดงก็ขวางอยู่ตรงหน้าตงฟังซวี่
“เอ่อ…แม่นางผู้นี้ ข้าไม่ได้ต้องการร่ม” ตงฟังซวี่เกาจมูก มองฮั่วซูที่สีหน้าไม่เป็นมิตรพลางเอ่ยอย่างสุภาพ
ฮั่วซูเหลือบมองเขาเล็กน้อย ก่อนจะเก็บร่มกระดาษกลับคืน
เมื่อรู้สึกถึงไอเย็นจากด้านข้าง ตงฟังซวี่จึงไปยืนอยู่ข้างมู่ชิงอีอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ยิ้มเอ่ย “คือว่า…จื่อชิง วันนี้พวกเจ้ามาสายแล้ว”
หรงจิ่นเอ่ยเสียงเรียบว่า “จะมาเร็วทำไม” สำหรับงานเลี้ยงจวนจวิ้นอ๋องที่มีแซ่ต่างกัน มีคนยอมมาร่วมงานก็นับว่าไม่เลวแล้ว หรือว่ายังจะต้องมาแต่เช้าตรู่อีก เช่นนั้นคงจะเห็นแก่หน้ามู่หรงอวี้เกินไปแล้วกระมัง
ตงฟังซวี่แอบเหลือบมองเข้าไปในห้องโถงใหญ่ เอ่ยเสียงเบาว่า “ได้ยินมาว่าจูอวี้พาหมอเทวดาจากเย่าหวังกู่กลับมาด้วยสี่คน ตอนนี้พวกเจ้ารู้แล้วใช่หรือไม่ว่าทำไมจวนอานซุ่นจวิ้นอ๋องถึงมีคนมากมายเช่นนี้”
ในเมืองหลวงทั้งบรรดาชายเฒ่าตระกูลสูงศักดิ์และเหล่าราชวงศ์ มีใครบ้างที่ไม่กลัวความตาย ต่อให้บำรุงรักษาดีแค่ไหน เมื่อแก่ตัวมาก็ล้มป่วยออดๆ แอดๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หมอเทวดาสี่คนที่ปกติหาตัวได้ยากมาอยู่ที่นี่พร้อมกันทั้งหมดในคราวเดียว ก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่ชายเฒ่าเหล่านี้ซึ่งแม้ว่าจะได้รับเทียบเชิญจากองค์ชายก็ใช่ว่าจะมาเข้าร่วมงานเลี้ยงอย่างเรียบง่าย แต่กลับรีบออกจากรังมารวมตัวกันอยู่ที่นี่
แม้แต่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ที่เป็นถึงฮ่องเต้ก็กลัวความตายไม่ใช่หรือ มิเช่นนั้นเหตุใดจึงได้ส่งองค์ชายทั้งสองออกไปตามหาหญ้าเซียนเก้าเมฆาด้วยเล่า
ตงฟังซวี่เอ่ยยกย่อง “จะว่าไปแล้วทักษะการรักษาของเย่าหวังกู่นั้นไม่เลวเลยจริงๆ ขาของติ้งกั๋วกงเจ็บมาหลายสิบปีแล้ว เมื่อถึงฤดูหนาวก็ถึงขั้นเดินไม่ได้ หมอหลวงในวังล้วนหมดปัญญา ได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้จูอวี้ได้พาหมอหญิงผู้หนึ่งกลับมาด้วย เพียงแค่ฝังเข็มไม่กี่เข็ม ติ้งกั๋วกงก็รู้สึกว่าความเจ็บปวดบรรเทาลงไม่น้อย”
เมื่อมองไปตามสายตาของตงฟังซวี่ก็เห็นสตรีสวมชุดสีม่วงอ่อนกำลังสนทนากับชายเฒ่าสองสามคนอยู่ไม่ไกลนัก แค่ดูรอยยิ้มบนใบหน้าของชายเฒ่าเหล่านี้ก็รู้ได้ว่าบรรยากาศนั้นปีติเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าชายเฒ่าที่มีอำนาจและสถานะสูงส่งเหล่านี้มีความประทับใจที่ดีต่อสตรีชุดม่วง