ตอนนี้กู้หลิวอวิ๋นมีฉายาว่าเป็นหนุ่มงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง เดินไปที่ไหนก็มักจะมีแต่คนมองเขา แต่เมื่อสายตาของเว่ยอู๋จี้มองมาที่มู่ชิงอี กลับทำให้หรงจิ่นไม่พอใจ เขาเงยหน้ามองเว่ยอู๋จี้ด้วยสายตาที่เย็นชาแต่ไม่พูดอะไร
แต่เว่ยอู๋จี้กลับตกใจ ดูเหมือนเขาจะไม่เข้าใจว่าความไม่พอใจที่อวี้อ๋องมีต่อเขามันมาจากไหน
“อวี้อ๋อง คุณชายตงฟัง ท่านนี้…คือผู้ดูแลกู้หรือ” เว่ยอู๋จี้ลุกขึ้นเดินไปข้างหน้า เขาเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มราวกับว่ามองไม่ออกว่าคนอื่นไม่ต้อนรับเขา ในฐานะเศรษฐีอันดับหนึ่ง แน่นอนว่าเว่ยอู๋จี้ต้องรู้ข่าวคราวรวดเร็วอยู่แล้ว ถึงแม้เขาจะเจอมู่ชิงอีในเมืองหลวงเป็นครั้งแรก แต่ก็คาดเดาสถานะของเขาออกตั้งนานแล้ว แต่ว่า…“ผู้ดูแลกู้ช่างดูคุ้นหน้าคุ้นตาเสียจริง”
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “คารวะคุณชายเว่ย เมื่อครู่อานซุ่นจวิ้นอ๋องเรียกข้าน้อยว่าจังชิง ไม่แปลกที่คุณชายเว่ยจะรู้สึกคุ้นเคย” ความหมายก็คือ ในสายตาของเว่ยอู๋จี้ กู้หลิวอวิ๋นยอมรับแล้วว่าเขาคือจังชิง แต่ว่าตอนนี้อยู่ที่แคว้นเย่ว์ ไม่ว่าจะเป็นกู้หลิวอวิ๋นหรือว่าจังชิงล้วนไม่สำคัญ เพราะไม่ว่าจะเป็นกู้หลิวอวิ๋นหรือว่าจังชิง ทุกอย่างที่เขาทำล้วนแต่มุ่งเป้าไปที่แคว้นหวา ซึ่งไม่มีผลกระทบอะไรต่อแคว้นเย่ว์เลยแม้แต่น้อย แต่ว่าเว่ยอู๋จี้คงต้องประเมินความสามารถของชายหนุ่มชุดขาวที่ดูเหมือนจะอ่อนแอคนนี้ใหม่อีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าเว่ยอู๋จี้ไม่ยอมออกไป มู่ชิงอีเลยยิ้มเอ่ย “หากคุณชายเว่ยไม่รังเกียจ เชิญนั่งก่อนเถิด”
เว่ยอู๋จี้ไม่ได้ปฏิเสธ “รบกวนแล้ว”
ตงฟังซวี่เหลือบมองเชียนหลิงที่นั่งอยู่ข้างๆ คนเดียว เขากระแอมเอ่ย “เอ่อคือ…ข้าไม่รบกวนพวกเจ้าดีกว่า จื่อชิง มีเวลาก็มาเที่ยวที่จวนจิ้งหย่วนโหวบ้างนะ” พูดจบก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
เว่ยอู๋จี้ยิ้มแล้วประคองเชียนหลิงเดินเข้ามานั่ง มองไปที่มู่ชิงอีเอ่ย “ดูเหมือนคุณชายจิ้งหย่วนโหวกับผู้ดูแลกู้จะสนิทสนมกันไม่น้อย”
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “คุณชายตงฟังเป็นคนตรงไปตรงมา ช่างเป็นสหายที่หายาก” เว่ยอู๋จี้แอบสำลักในใจ เขามักจะรู้สึกว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้ากำลังบอกอะไรเป็นนัย
ทุกคนบนโต๊ะไม่พูดอะไรอีก ทันใดนั้นบรรยากาศก็เงียบสงัด หรงจิ่นหลับตาลงอย่างเกียจคร้าน มู่ชิงอีดื่มชาด้วยสีหน้าที่เฉยเมย เว่ยอู๋จี้มองมู่ชิงอีอย่างครุ่นคิด มีแค่เชียนหลิงที่เป็นผู้หญิงคนเดียวนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น ถึงแม้จะนั่งกับพวกเขาสามคน แต่ก็ยังรู้สึกโดดเดี่ยว ช่างน่าสงสารเสียจริง
เว่ยอู๋จี้มองชายหนุ่มชุดขาวที่อยู่ตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วขมวดคิ้ว ชายหนุ่มที่อยู่ด้านหน้านั้นหน้าตาหล่อเหลา สวมชุดสีขาวราวกับหิมะ มันคือผ้าไหมของบรรณาการ เกรงว่าคงจะมีราคาแพงกว่าชุดที่หรงจิ่นสวมใส่เสียอีก มือที่เรียวยาวราวกับหยกที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี กำลังถือเตาผิงมือแกะสลักสีทอง ท่าทีสูงส่งเช่นนี้ ถึงแม้จะบอกว่าเขาเป็นองค์ชายในพระราชวังก็คงมีคนเชื่อเช่นนั้น
“ไม่ทราบว่าคุณชายกู้มาแคว้นเย่ว์ตั้งแต่เมื่อไร” เว่ยอู๋จี้ถามด้วยความสงสัย
มู่ชิงอีตอบอย่างนิ่งเฉย “สามสี่เดือนแล้ว”
เว่ยอู๋จี้เอ่ย “เช่นนั้นก็หมายความว่า…หากเรื่องของแคว้นหวาสงบลงแล้ว คุณชายกู้ก็จะกลับไปหรือ” มู่ชิงอีเลิกคิ้วด้วยรอยยิ้ม “สงบลง? คุณชายเว่ยหมายถึงเมื่อไร”
เว่ยอู๋จี้ยิ้มแต่ไม่พูดอะไร คนฉลาดไม่จำเป็นต้องพูดให้ชัดเจน เว่ยอู๋จี้เปลี่ยนเรื่อง เขาพูดด้วยความสงสัย “คิดไม่ถึงว่าคุณชายกู้จะเป็นหัวหน้าผู้ดูแลของจวนอวี้อ๋อง หากรู้ว่าคุณชายกู้มีเจตนาอื่น ข้าเองก็ขาดแคลนหัวหน้าผู้ดูแลเช่นกัน”
ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงสายตาที่เย็นชาของคนที่กำลังหลับตาทำสมาธิเมื่อครู่ แต่เว่ยอู๋จี้ไม่สนใจแล้วจับจ้องไปยังมู่ชิงอี มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “ขอบคุณคุณชายเว่ย ทุกอย่างเป็นเรื่องบังเอิญ คงต้องบอกว่าข้าไม่มีวาสนาที่จะได้รับใช้คุณชายเว่ย”
เว่ยอู๋จี้ยิ้มเอ่ย “ช่างน่าเสียดายเสียจริง ในเมื่อไม่มีวาสนา เช่นนั้นเราเป็นสหายกันได้หรือไม่ ผู้ดูแลกู้คงจะไม่รังเกียจข้าใช่หรือไม่”
เว่ยอู๋จี้ไม่ใช่คนที่ยอมอดทนต่อคนน่ารำคาญ แม้แต่มู่ชิงอีก็หาสิ่งที่น่ารำคาญของเขาไม่เจอ นางพูดอย่างนิ่งสงบ “ขอบคุณคุณชายเว่ย นับเป็นวาสนาของข้า”
“อู๋จี้…” เชียนหลิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยความเบื่อหน่ายสีหน้าดูไม่ค่อยดี นางมองไปที่เว่ยอู๋จี้ เว่ยอู๋จี้หันมายิ้มให้นางแล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน “เชียนหลิงเป็นอะไร หากเจ้าไม่สบาย ประเดี๋ยวเรากลับเร็วหน่อยดีหรือไม่”
เชียนหลิงก้มหน้าลงช้าๆ แล้วพูดเบาๆ “ไม่มีอะไร”
ได้ยินเสียงพูดคุยหัวเราะของคนรอบตัว สายตาของเชียนหลิงมีทั้งความไม่พอใจและเสียใจพาดผ่าน บนโลกใบนี้ มีผู้หญิงมากมายที่อิจฉานาง คนที่เดิมทีเป็นแค่สาวใช้แต่กลับได้รับความโปรดปรานจากคุณชายเว่ย แต่ใครจะรู้ว่านางต้องแลกมาด้วยอะไร นางโตมากับอู๋จี้ ดูแลเรื่องอาหารการกิน เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย และการเดินทางของเขาทุกอย่าง ตอนนั้นยังเกือบถูกคุณชายอวิ๋นอิ่นใช้ดาบแทงทะลุหัวใจตายคาที่เพราะเขา ถึงแม้ต่อมาจะรอดมาได้ แต่ก็ต้องเป็นโรคหัวใจที่รักษาไม่หาย
คนนอกเห็นแค่ความเอาอกเอาใจของอู๋จี้ที่มีต่อนาง แต่ไม่มีใครเคยเห็นระยะห่างระหว่างพวกเขาสองคน เหมือนกับตอนนี้ นางไม่มีทางได้สวมชุดหรูหราร่วมงานสังสรรค์เหมือนบรรดาสตรีที่มีชื่อเสียงเหล่านั้น อู๋จี้ยอมพูดคุยหัวเราะกับชายหนุ่มที่เพิ่งจะรู้จักกัน แต่กลับไม่ยอมพูดคุยกับนาง ถึงแม้พวกเขาสองคนจะอยู่ด้วยกันตามลำพังในวันธรรมดา แต่นางก็เพียงแค่ดูแลรับใช้เขาราวกับสาวใช้ของเขา มีเรื่องอันใดในใจ อู๋จี้ก็ไม่เคยเล่าให้นางฟัง
ที่จริงแล้วเชียนหลิงไม่รู้ เรื่องนี้จะโทษเว่ยอู๋จี้ทั้งหมดไม่ได้ เว่ยอู๋จี้เป็นคนมีความสามารถและมีความทะเยอทะยาน เขาไม่มีเรื่องที่สามารถพูดคุยกับสตรีที่เคยเป็นสาวใช้มาก่อน ที่แม้แต่ศิลปะสี่แขนงก็เพิ่งจะมาเรียนรู้ได้ไม่นานอย่างเชียนหลิง ไม่แปลกที่พวกเขาไม่มีเรื่องอันใดต้องคุยกัน
มุมมองของเว่ยอู๋จี้ เชียนหลิงเติบโตมากับเขาตั้งแต่เด็ก เชียนหลิงเคยช่วยชีวิตเขา แล้วยังเป็นคู่หมั้นของเขา เขาจึงควรเอาใจและปกป้องนาง แต่หากจะพูดเรื่องความในใจกับนาง พูดเรื่องอุดมคติกับนาง พูดเรื่องกลยุทธ์กับนาง ล้วนคือเรื่องที่ไม่จำเป็น คนที่เขาอยากพูดคุยด้วย แน่นอนว่าต้องเป็นชายหนุ่มที่มีความสามารถ มีความรู้แล้วยังมีความคิดเป็นของตัวเองอย่างกู้หลิวอวิ๋น มากกว่าผู้หญิงที่ไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ แล้วอีกอย่าง ตอนนี้กู้หลิวอวิ๋นเป็นคนของอวี้อ๋อง
“อวี้อ๋อง คุณชายเว่ย ผู้ดูแลกู้” เว่ยอู๋จี้และมู่ชิงอีกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ก็มีเสียงที่อ่อนโยนดังขึ้นมาจากข้างหลัง ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร หลิงซูกำลังยืนยิ้มแล้วมองพวกเขาอยู่ไม่ไกล
เว่ยอู๋จี้มองไปที่มู่ชิงอีด้วยความเสียดาย แม้ว่าเมื่อก่อนจะเคยเจอจังชิงครั้งสองครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พูดคุยกับชายหนุ่มคนนี้อย่างจริงจัง และเพราะการพูดคุยกันครั้งนี้ เดิมทียังไม่สนิทสนมกันมากนัก แต่ตอนนี้ในใจของเว่ยอู๋จี้กลับรู้สึกเสียใจและเสียดาย กู้หลิวอวิ๋นอายุเพียงแค่นี้แต่กลับมีความรู้และความสามารถขนาดนี้ หากเขาเป็นคนของตัวเองคงจะเหมือนเสือติดปีกก็ไม่ปาน แต่น่าเสียดายที่เขาช้าไปก้าวหนึ่ง…
“แม่นางหลิงซู” เว่ยอู๋จี้พยักหน้าทักทาย
หลิงซูยิ้มเอ่ย “หลิงซูรบกวนคุณชายเว่ยหรือไม่”