มู่ชิงอีมองไปที่หรงจิ่นด้วยความเป็นห่วง ถึงแม้นางไม่รู้ว่าการใช้กำลังภายในควบคุมพิษยุ่งยากแค่ไหน แต่เรื่องที่ทำให้อู๋ฉิงไม่สบายใจ ย่อมต้องเป็นเรื่องที่มีอันตรายแน่นอน มู่ชิงอียอมรับว่าตัวเองเห็นแก่ตัว ทุกคนล้วนแต่มีระยะห่างของความสัมพันธ์ นางเป็นห่วงชีวิตของเนี่ยอวิ๋นก็จริง แต่หากต้องใช้ความปลอดภัยของหรงจิ่นแลกกับชีวิตของเนี่ยอวิ๋น แน่นอนว่านางต้องเลือกความปลอดภัยของหรงจิ่น
หรงจิ่นยิ้มแล้วดันตัวมู่ชิงอีออกไป “ชิงชิงไม่ต้องห่วง เรื่องเล็กแค่นี้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก ประเดี๋ยวก็ดีขึ้น”
ประตูห้องศิลาค่อยๆ ปิดลงต่อหน้าพวกเขา มู่ชิงอีนั่งขมวดคิ้วมองห้องศิลาที่ปิดสนิท นางพลันรู้สึกไม่สบายใจ
“อู๋ฉิง นี่จะเป็นอะไรหรือไม่”
อู๋ฉิงมองมู่ชิงอีด้วยความตกใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคุณหนูมู่ดูไม่สบายใจเช่นนี้ เมื่อก่อนไม่ว่าเมื่อไร คุณหนูมู่ล้วนแต่สุขุมจนทำให้ผู้คนประหลาดใจ บางครั้งอู๋ฉิงยังแอบสงสัยว่าหญิงสาวอายุสิบห้าสิบหกปีคนนี้ไม่รู้จักว่าอะไรคือความเป็นห่วง อะไรคือความหวาดกลัวหรืออย่างไร แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า คุณหนูมู่คงจะมีความรู้สึกที่ดีให้กับองค์ชายแล้วกระมัง
แต่พอนึกถึงภาพที่พวกเขาสองคนอยู่ด้วยกันในวันธรรมดา อู๋ฉิงก็ทิ้งคำถามนี้ไปทันที บางทีสำหรับท่านอ๋องและคุณหนูมู่แล้ว อะไรคือครอบครัว อะไรคือความรัก อะไรคือมิตรภาพนั้นคงไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญก็คือ พวกเขาจะอยู่ด้วยกันตลอดไป
อู๋ฉิงเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “คุณหนูมู่ไม่ต้องห่วงขอรับ ถึงแม้การใช้กำลังภายในควบคุมพิษในร่างกายจะใช้พละกำลังเป็นอย่างมาก แต่ว่าองค์ชายมีกำลังภายในที่แข็งแกร่ง ไม่มีปัญหาใหญ่อะไรแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น หัวหน้าองครักษ์เนี่ยก็เป็นยอดฝีมือ ตราบใดที่เขาได้สติ เขาก็จะสามารถควบคุมได้ด้วยตัวเอง ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง”
มู่ชิงอีพยักหน้าแล้วนั่งอยู่ข้างๆ นางรู้สึกราวกับเวลาหยุดเดินก็ไม่ปาน ชีวิตนี้นางไม่เคยรู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้าขนาดนี้มาก่อน นางถอนหายใจ เรียกอู๋ซินมา บอกให้เขานำสมุดบัญชีและฎีกาที่นางต้องตรวจสอบในห้องหนังสือมาให้นาง
มีอะไรทำ นางจะได้ไม่คิดฟุ้งซ่าน
“หัวหน้าผู้ดูแลกู้ ปู้อวี้ถังขอเข้าพบ” นอกประตู มีเสียงของปู้อวี้ถังดังขึ้นมา
มู่ชิงอียกมือขึ้นเกาคิ้วตัวเอง เหลือบมองประตูห้องศิลาที่ยังปิดสนิทอยู่ ก่อนจะบอกให้อู๋ฉิงเฝ้าอยู่ข้างใน นางลุกขึ้นแล้วเดินออกไปโถงบุปผาข้างนอก เห็นปู้อวี้ถังยืนรอนางอย่างนอบน้อม มู่ชิงอีเอ่ยขึ้นอย่างเอือมระอา “อวี้ถังไม่ต้องพิธีรีตอง เชิญนั่งลงก่อนเถิด”
ปู้อวี้ถังยิ้มอย่างแผ่วเบา ไม่ได้ตกใจที่เห็นมู่ชิงอีออกมาจากห้องของหรงจิ่น ราวกับว่าทุกอย่างสมควรเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว ปู้อวี้ถังยิ้มแล้วเอ่ยว่า “สถานะแตกต่างกัน อวี้ถังไม่กล้าเหิมเกริม”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วเอ่ย “อวี้ถังกำลังเตือนข้าเช่นนั้นหรือ” จะว่าไปแล้ว นางกับหรงจิ่นอยู่ด้วยกันไม่เคยแบ่งแยกชนชั้น ทำอะไรตามอำเภอใจ ใช่ว่านางไม่อยากได้ผู้ช่วยที่เคารพเจ้านาย แต่ว่าคนบางคนมักจะมีวิธีที่จะยั่วยุให้นางไม่เคารพผู้ที่สูงส่งกว่า สำหรับเรื่องอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัยและการเดินทางล้วนแต่ทำตามข้อกำหนดของหรงจิ่น แต่ในบางแง่มุม ความไร้เหตุผลและความดื้อรั้นของหรงจิ่นช่างสอดคล้องกับปณิธานอันยิ่งใหญ่ของเขาจริงๆ
ด้วยเหตุนี้นางยังเคยได้ยินข่าวลือแปลกๆ ที่เกี่ยวกับอวี้อ๋องและหัวหน้าผู้ดูแลกู้ที่แพร่กระจายอยู่ในเมืองหลวง แล้วยังมีท่าทีของบรรดานักปราชญ์ที่เห็นพวกเขาในเมืองหลวง ราวกับเห็นขุนนางที่ชอบประจบสอพลอ ทำให้ผู้คนทั้งตลกและโมโห แต่คนบางคนกลับพอใจกับเรื่องนี้ ไม่รู้จักเก็บอาการเลยแม้แต่น้อย
อวี้ถังรีบยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ไม่กล้าๆ ผู้ดูแลกู้กล่าวเช่นนี้ กลับไปท่านอ๋องคงจะถลกหนังข้า” รู้จักกันมาสองสามเดือน อวี้ถังรู้จักความสามารถของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าตัวเองดี ไม่เช่นนั้น อวี้ถังเองก็เป็นคนเย่อหยิ่ง ถึงแม้จวนอวี้อ๋องจะมีบุญคุณต่อเขา เขาก็ไม่มีทางยอมเป็นลูกน้องของมู่ชิงอีที่ไม่รู้อะไรเลย ตอนนี้พวกเขาสองคนเข้ากันได้เป็นอย่างดี ก็เพราะว่าปู้อวี้ถังยอมรับในความสามารถของมู่ชิงอี
มู่ชิงอีกำลังเป็นห่วงหรงจิ่นเลยไม่พูดอะไรกับเขามากนัก ถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “อวี้ถังมาที่นี่มีเรื่องอันใดหรือไม่”
ปู้อวี้ถังยกมือขึ้นมาตีหน้าผากตัวเองอย่างเหนื่อยใจ จากนั้นก็ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เกือบลืมไปแล้ว จวนคุณชายเว่ยส่งคนนำของมาให้ ข้าไปเรือนชิงหนิงแต่ไม่เจอท่านจึงมาที่นี่”
มู่ชิงอีนึกถึงเรื่องที่เว่ยอู๋จี้บอกว่าจะส่งหยกอุ่นและผ้าใยไหมหนอนหิมะมาให้ตอนที่อยู่ที่จวนอานซุ่นจวิ้นอ๋อง แต่คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะผ่านไปไม่นานเว่ยอู๋จี้ก็บอกให้คนนำมาให้เร็วเช่นนี้ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง มู่ชิงอีก็เอ่ยขึ้น “ในเมื่อส่งมาให้แล้ว ส่งกลับคืนไปคงไม่เหมาะสม ลงมือเถิด ส่งของขวัญขอบคุณกลับไป มีเครื่องประดับที่เพิ่งส่งมาถึงเมื่อไม่กี่วันก่อนไม่ใช่หรือ ส่งเครื่องประดับพวกนั้นไป…ส่งไปให้แม่นางเชียนหลิง”
ปู้อวี้ถังรู้ว่าเชียนหลิงคือคู่หมั้นของเว่ยอู๋จี้ เขาพยักหน้า จากนั้นก็ลุกขึ้นออกไปทำตามคำสั่ง
มู่ชิงอีนั่งก้มหน้าครุ่นคิดอยู่ในโถงบุปผาครู่หนึ่ง เมื่อได้ยินเสียงดังออกมาจากข้างใน นางก็รีบลุกขึ้นเดินเข้าไป
ในห้องศิลา สีหน้าของเนี่ยอวิ๋นดีขึ้นไม่น้อย ริมฝีปากที่เขียวคล้ำเริ่มมีสีแดง และที่สำคัญก็คือเขาฟื้นแล้ว เห็นมู่ชิงอีที่รีบเดินเข้ามา เนี่ยอวิ๋นพลันสายตาเป็นประกายแต่กลับไม่ปริปากพูดอะไร
หรงจิ่นที่นั่งอยู่ข้างๆ สีหน้าซีดขาว ดูไร้เรี่ยวแรง
“หรงจิ่น ท่านเป็นเช่นไรบ้าง” รู้ว่าหรงจิ่นไม่ชอบให้ใครเข้าใกล้ หากไม่จำเป็นจริงๆ เขาไม่มีทางอนุญาตให้ใครจับชีพจร มู่ชิงอีจึงเดินเข้าไปถามเบาๆ
หรงจิ่นเลิกคิ้วแล้วเอ่ยว่า “เรื่องแค่นี้ข้าจะเป็นอะไร พักผ่อนประเดี๋ยวก็ดีขึ้น”
มู่ชิงอีจับข้อมือของเขาขึ้นมาจับชีพจร มั่นใจแล้วว่าเขาไม่เป็นอะไรนางก็โล่งใจ “หัวหน้าองครักษ์เนี่ยเป็นเช่นไรแล้ว”
หรงจิ่นหลือบมองเนี่ยอวิ๋นที่นอนอยู่บนเตียงแล้วเอ่ยว่า “ถอนพิษออกมาครึ่งหนึ่งแล้ว ที่เหลือ…หากไม่ไปหายาถอนพิษ ไม่ก็ให้เขาค่อยๆ ถอนออกมาเอง คงต้องใช้เวลาหนึ่งปีครึ่ง หรือไม่ก็สามถึงห้าปีมันถึงจะหมดไป”
มู่ชิงอีถอนหายใจอย่างจนปัญญา หันไปเอ่ยกับเนี่ยอวิ๋น “ในเมื่อไม่รีบ หัวหน้าองครักษ์เนี่ยพักผ่อนก่อนเถิด ประเดี๋ยวเราค่อยปรึกษากันเรื่องถอนพิษ” ยาถอนพิษของสำนักเย่าหวังกู่ไม่ใช่ยาถอนพิษที่หาได้ง่ายๆ แต่หากมั่วเวิ่นฉิงลำบากอีกครั้งก็คงจะง่ายขึ้นมาก แต่น่าเสียดาย…
เนี่ยอวิ๋นพยักหน้าด้วยความยากลำบากพลางเอ่ย “ขอบคุณ”
หรงจิ่นเหลือบมองเนี่ยอวิ๋นด้วยสายตาตักเตือน เอนตัวพิงมู่ชิงอีแล้วเอ่ยอย่างเกียจคร้าน “ข้าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ข้าอยากไปพักผ่อน ให้เขาอยู่ที่นี่เถิด ข้าจะไปพักผ่อนที่เรือนชิงหนิง”
“ได้ ลุกขึ้นได้หรือไม่” มู่ชิงอีเอ่ยอย่างอารมณ์ดี เรือนชิงหนิงมีตั้งหลายห้อง ให้หรงจิ่นอยู่ห้องไหนก็ได้
หรงจิ่นรู้ว่าความสูงและขนาดตัวของตัวเองแตกต่างจากมู่ชิงอี ถึงแม้จะอยากทำตัวเจ้าเล่ห์แต่ก็ต้องมีความเหมาะสม เขาพิงมู่ชิงอีโดยที่ไม่ทิ้งตัวเลยแม้แต่น้อย “ช่วยประคองข้าที”
มู่ชิงอีเหลือบมองเขาด้วยสีหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ประคองเขาเดินออกไปข้างนอกเงียบๆ บอกให้อู๋ฉิงและอู๋ซินดูแลเนี่ยอวิ๋น
กลับมาถึงเรือนชิงหนิง ทันทีที่เขานั่งลงก็มีเลือดไหลออกมาจากริมฝีปาก