“หรงจิ่น?” สีหน้าของมู่ชิงอีซีดขาวทันที
หรงจิ่นสะบัดมือให้นาง จับมือนางแล้วยิ้ม “ไม่เป็นไร ก็แค่ลมปราณตีกลับ” เห็นมู่ชิงอียังมองเขาด้วยความเป็นห่วง หรงจิ่นก็ยิ้มบาง “ชิงชิงไม่ต้องห่วง ข้ารู้ ไม่เป็นไร ข้าไม่มีทาง…ทำให้ตัวเองเป็นอะไรเพราะช่วยเนี่ยอวิ๋นแน่นอน ข้าไม่ได้โง่ขนาดนั้น “
มู่ชิงอีถอนหายใจแล้วเอ่ยด้วยท่าทางสงบนิ่ง “ท่านรู้ก็ดีนี่เพคะ ประเดี๋ยวเชิญท่านหมอที่เชื่อใจได้มาดูเถิด”
หรงจิ่นไม่สนใจ เอ่ยขึ้นว่า “ข้าคงต้องรักษาตัวสักสองสามวัน หากสองสามวันนี้มีงานเลี้ยงอะไรก็ปฏิเสธไปเถิด บอกว่าข้าป่วย อีกสองวันยังต้องเข้าไปร่วมงานเลี้ยงในพระราชวัง ถึงตอนนั้น…ก็ปฏิเสธไปเถิด” เพราะใครๆ ต่างก็รู้ว่าสุขภาพขององค์ชายเก้าไม่ค่อยแข็งแรง บางครั้งแม้แต่พิธีบวงสรวงสวรรค์เขาก็ยังไม่ไปร่วม นับประสาอะไรกับงานเลี้ยงปีใหม่
มู่ชิงอีพยักหน้าเอ่ย “ท่านรักษาตัวให้สบายใจเถิด หากมีเรื่องอันใดหม่อมฉันจัดการเอง”
ท่านอ๋องเข้าไปในลานของผู้ดูแลกู้แล้วไม่ออกมา คนในจวนอวี้อ๋องล้วนไม่มีใครสนใจ ผ่านการฝึกฝนมาสองสามเดือน ในที่สุดบ่าวรับใช้ของจวนอวี้อ๋องก็รู้ความขึ้นไม่น้อย นายท่านจะทำอะไรพวกเขาไม่มีสิทธิ์เอ่ย แล้วอีกอย่าง ท่านอ๋องกับผู้ดูแลกู้สนิทสนมกันอยู่แล้ว เรือนชิงหนิงยังซ่อมแซมตกแต่งเหมือนเรือนของอวี้อ๋อง ท่านอ๋องจะอยู่ที่นั่นสักสองวันก็ไม่มีปัญหา
ในเมืองหลวง ยังมีคนตื่นตระหนกเพราะเรื่องการลอบสังหารในจวนอานซุ่นจวิ้นอ๋อง จวนฉินอ๋องและจวนจวงอ๋องก็ยังคงต่อสู้กันอย่างลับๆ ตลอดเวลา ฤดูหนาวนี้แคว้นเย่ว์ภายนอกนั้นดูสงบสุข แต่จริงๆ แล้วค่อนข้างคึกคักไม่น้อยเลย
ไม่นานก็มาถึงวันส่งท้ายปีเก่า วันส่งท้ายปีเก่าของทุกปีฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์จะจัดงานเลี้ยงในพระราชวัง และคนที่สามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงได้ก็คือบรรดาองค์ชาย เชื้อพระวงศ์ ขุนนางที่มีตำแหน่งบรรดาศักดิ์ระดับสี่ขึ้นไปและขุนนางที่มีชื่อเสียงเท่านั้น
เมื่อหรงจิ่นกับมู่ชิงอีไปถึง ทั้งวังก็ครึกครื้นเป็นอย่างมาก คนที่สามารถมาร่วมงานเลี้ยงก็มาถึงกันแล้ว งานเลี้ยงเช่นนี้ เดิมทีมู่ชิงอีไม่จำเป็นต้องมาด้วย ในฐานะผู้ดูแลจวนท่านอ๋อง แน่นอนว่านางไม่มีสิทธิ์ที่จะมาร่วมงานเลี้ยงกับบรรดาองค์ชาย และหากมารับใช้อวี้อ๋อง หัวหน้าผู้ดูแลมารับใช้ด้วยตัวเองก็ดูขี่ช้างจับตั๊กแตนเกินไป
แต่มู่ชิงอีไม่เหมือนผู้ดูแลจวนท่านอ๋องทั่วไป นางไม่เพียงแต่เป็นผู้ดูแลที่หรงจิ่นเชิญมาด้วยตัวเอง ซ้ำยังเป็นสหายของอวี้อ๋อง ตอนนั้นเขาเอ่ยชัดเจน บอกว่าแค่รับตำแหน่งหัวหน้าผู้ดูแลชั่วคราวเท่านั้น สหายคนสนิทขององค์ชายเก้าก็คือแขก ขอแค่เป็นคนที่อวี้อ๋องเชิญมา พวกเขาล้วนมีสิทธิ์มาร่วมงานเลี้ยง
ดังนั้น อวี้อ๋องจึงพามู่ชิงอีเข้ามาในวังอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
สถานที่ที่จัดงานเลี้ยงคือพระตำหนักชิงเหอที่มีไว้เพื่อจัดงานเลี้ยงในวังโดยเฉพาะ ตำหนักสีทองที่งดงาม ข้างในกว้างขวางและโอ่โถง พื้นปูด้วยพรมหนา เผาสมุนไพรทำให้พระตำหนักอบอุ่น ในตำหนักอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ ทำให้ผู้คนไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็นของหิมะข้างนอก อีกทั้งยังทำให้ผู้คนอิจฉาในอำนาจเงินทองของราชวงศ์ เลี้ยงคนคนเดียวด้วยคนทั้งโลก ยังมีอะไรที่ทำไมได้ ไม่แปลกที่มีผู้คนมากมายต้องการเก้าอี้ตัวนั้น
“อวี้อ๋องเสด็จ!”
หรงจิ่นสวมชุดแพรสีม่วงปักลายมังกรสี่กรงเล็บ ข้างนอกชุดแพรคลุมด้วยผ้าไหมสีม่วงอ่อนบางๆ แตกต่างจากชุดที่หรงจิ่นมักจะสวมใส่บ่อยๆ มันคือชุดทางการที่บรรดาองค์ชายและท่านอ๋องต้องสวมใส่ในโอกาสทางการ
ผมยาวที่เดิมทีมักมวยขึ้นธรรมดากลับมวยอย่างประณีตด้วยกวานหยกไพลิน พันเอวด้วยเข็มขัดหยกที่งดงาม ทำให้เขาดูเป็นมิตร และมีท่าทีสูงส่งขององค์ชายมากขึ้น
มู่ชิงอีที่เดินอยู่ข้างหรงจิ่นยังคงสวมชุดแพรสีขาวธรรมดา เดิมทีนางเป็นแค่ราษฎรทั่วไป มาร่วมงานในฐานะสหายคนสนิทของอวี้อ๋องจึงไม่จำเป็นต้องสวมชุดทางการ ชุดสีขาวที่ดูจืดจาง…ถึงแม้จะอยู่ในฝูงชนของบรรดาขุนนางร่ำรวย แต่ก็ไม่ดูด้อยไปกว่าพวกเขาเลย
มู่ชิงอีเงยหน้าขึ้นมอง มีคนหนึ่งคนที่เหมือนตัวเอง เขาคือเว่ยอู๋จี้
เห็นได้ชัดว่าเว่ยอู๋จี้มาถึงนานแล้ว นั่งอยู่ถัดจากจวงอ๋อง พอเห็นพวกเขาเดินเข้ามาเขาก็ยิ้มแล้วยกแก้วทักทายมู่ชิงอี เว่ยอู๋จี้สวมชุดแพรสีขาวพระจันทร์ลายก้อนเมฆธรรมดา เข้ากับเชียนหลิงที่สวมชุดสีแดงอ่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ ช่างเหมาะสมกันเสียจริง
การจัดที่นั่งของงานเลี้ยงช่างน่าสนใจ หรงเซวียน องค์ชายที่อายุมากที่สุดนั่งอยู่ทางขวา แต่คนแรกทางซ้ายที่นั่งตรงข้ามกับเขากลับไม่ใช่หรงจัง องค์ชายสาม แต่กลับเป็นหรงไหวที่เป็นหลานของฮ่องเต้ เว่ยอู๋จี้นั่งอยู่ข้างหลังหรงเซวียน และข้างล่างหรงไหวคือที่นั่งของหรงจิ่น ข้างหลังออกไปอีกคือหรงเหยี่ยน หรงจังและองค์ชายคนอื่นๆ นั่งลงตามลำดับ มู่ชิงอีและหรงจิ่นนั่งตรงข้ามเว่ยอู๋จี้ ข้างซ้ายและข้างขวาของเว่ยอู๋จี้คือหรงเซวียนและหรงจัง ข้างซ้ายและข้างขวาของมู่ชิงอีและหรงจิ่นคือหรงไหวและหรงเหยี่ยน
สำหรับเรื่องที่น้องชายที่อายุน้อยกว่าตัวเองครึ่งหนึ่งและหลานชายของตัวเองนั่งข้างหน้าตัวเอง ดูเหมือนหรงเหยี่ยนจะไม่ได้ไม่พอใจอะไร เขามีท่าทีไม่สนใจ แล้วยังไม่ลืมที่จะยิ้มทักทายมู่ชิงอี แต่สีหน้าของพระชายาตวนดูไม่มีชีวิตชีวา แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรที่ไร้มารยาท
มู่ชิงอีนั่งมองดูผู้คนในห้องโถงด้วยความสนใจอยู่ข้างหรงจิ่น ตั้งแต่มาแคว้นเย่ว์ นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นทุกคนในราชวงศ์แคว้นเย่ว์ หรงจิ่นที่อยู่ข้างๆ ฟุบหน้าลงบนโต๊ะด้วยท่าทีง่วงนอน สีหน้าที่ดูซีดเซียวของเขาสอดคล้องกับข่าวลือที่ว่าเขาเพิ่งจะไม่สบาย
“จื่อชิง…” ไม่รู้ว่าเรื่องอันใด ตงฟังซวี่ที่นั่งอยู่ข้างหลังมองเห็นพวกเขาสองคน มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “คุณชายตงฟังมาแล้วหรือ”
ตงฟังซวี่นั่งลงข้างๆ มู่ชิงอีอย่างไม่เกรงใจ เดิมทีโต๊ะขององค์ชายและท่านอ๋องต้องเป็นโต๊ะยาวที่นั่งได้สามคน คนส่วนใหญ่จะพาพระชายาและบุตรชายคนโตมานั่งด้วย โชคดีที่มู่ชิงอีออกมากับหรงจิ่น ไม่เช่นนั้น หรงจิ่นคงจะกลายเป็นท่านอ๋องที่โดดเดี่ยวในงาน
“…ทำไมเขาถึงดูนอนไม่พอขนาดนี้” ตงฟังซวี่มองดูเขาฟุบโต๊ะด้วยความง่วง จับจ้องใบหน้าอันหล่อเหลาที่กำลังจะหลับใหล หากคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่องค์ชายเก้าที่มีชื่อเสียงร้ายกาจ บางทีคุณชายตงฟังอาจจะยื่นมือออกไปตบบนใบหน้าที่ขาวราวกับหยกสักสองครั้ง
มู่ชิงอียิ้มอย่างแผ่วเบาแล้วเอ่ยว่า “สองสามวันที่ผ่านมาท่านอ๋องไม่ค่อยสบาย ทำไมคุณชายตงฟังถึงอยู่ที่นี่เล่า”
ตงฟังซวี่มุ่นคิ้วเอ่ย “เจ้าไม่รู้หรือ งานเลี้ยงต้องใช้เวลาสักพักถึงจะเริ่ม ฝ่าบาทไม่มีทางออกมาเร็วขนาดนี้ หากเป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์ยังสามารถออกไปเดินเล่นได้ แต่หิมะตกเช่นนี้ใครจะออกไป เดิมทีข้าคิดว่าประเดี๋ยวค่อยมาก็คงไม่มาสาย แต่ท่านพ่อกับท่านแม่ไม่เห็นด้วย นั่นไง ท่านพ่อกับท่านแม่ของข้า”
มองตามสายตาของตงฟังซวี่ จิ้งหย่วนโหวและองค์หญิงเซียงเฉิงนั่งอยู่ข้างหน้า แน่นอนว่าพวกเขานั้นโดดเด่น จิ้งหย่วนโหวมาจากตระกูลแม่ทัพ อายุสี่สิบกว่าปีแต่ยังดูเหมือนชายวัยกลางคนที่เพิ่งจะอายุสามสิบปีก็ไม่ปาน ส่วนองค์หญิงเซียงเฉิงแค่มองก็รู้ว่าเป็นหญิงงามที่ภายนอกดูอ่อนโยนแต่ภายในกลับแข็งแกร่ง เมื่อสังเกตเห็นสายตาที่มองมาของพวกเขา นางก็ส่งยิ้มแล้วพยักหน้าทักทายมู่ชิงอี จากนั้นก็เบิกตากว้างใส่ตงฟังซวี่