ดังนั้นหรงจิ่นจึงอ้างว่าตัวเองไม่สบายแล้วพามู่ชิงอีไปพักผ่อนที่ห้องโถงข้างพระตำหนักชิงเหอ
นั่งอยู่ในห้องโถงที่อบอุ่น มองดูหิมะสีขาวนอกหน้าต่าง ฟังเสียงประทัดและดอกไม้ไฟที่ดังมาจากข้างนอก มู่ชิงอีถอนหายใจอย่างสบายใจ นางหยิบสมุดบันทึกขึ้นมา เอนหลังพิงเก้าอี้แล้วอ่าน ถึงแม้จวนอวี้อ๋องจะสร้างขึ้นมาอย่างพิถีพิถัน แต่เมื่อเอ่ยถึงเรื่องความอบอุ่นก็ยังเทียบกับวังหลวงไม่ได้ จวนอวี้อ๋องเองก็มีเตาเผาสมุนไพรเหมือนกัน แต่ราคายังสูงไม่พอจึงไม่อบอุ่นเท่าพระตำหนักชิงเหอ ไม่ว่าจะเป็นห้องโถงหลักหรือห้องโถงด้านข้าง ทุกที่ทุกเวลาล้วนแต่อบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิก็ไม่ปาน
เห็นท่าทีสบายใจของนาง หรงจิ่นเลิกคิ้วพลางยิ้มเอ่ย “หากรู้ว่าชิงชิงชอบวังหลวงขนาดนี้ ตอนนั้นข้าไม่ย้ายออกไปดีกว่า”
มู่ชิงอีเหลือบมองเขา “หากท่านยังอยู่ในวัง หม่อมฉันจะไม่เข้ามา” ความยิ่งใหญ่ของวังหลวงนั้นทำให้ผู้คนอิจฉาก็จริง แต่หากให้อยู่ในวังนานๆ คงจะทุกข์ระทม ดังนั้นแทนที่จะให้ตัวเองถูกขังอยู่ในวังอย่างไม่มีอิสระ ไม่สู้สวมเสื้อผ้าหนาหน่อย กอดเตาอุ่นมือเสียดีกว่า
“จะว่าไปแล้ว องค์ชายเก้าชอบความคึกคักไม่ใช่หรือ ทำไมวันนี้ถึงไม่ออกไปดูเล่า”ความคึกคักที่นางเอ่ยถึงไม่ใช่การดูดอกไม้ไฟ แต่พูดถึงเรื่องที่ตงฟังซวี่เตือนพวกเขาว่าอาจจะเกิดเรื่อง เมื่อเทียบกับห้องโถงใหญ่ที่มีองครักษ์ป้องกันอย่างแน่นหนาในระหว่างงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง หากจะเกิดเรื่องจริงๆ ตอนนี้เป็นเวลาที่เป็นไปได้ที่สุด
หรงจิ่นยิ้มพลางจ้องมองนางแต่ไม่ได้พูดอะไร มู่ชิงอีกะพริบตาพลันเข้าใจในทันที นางเอ่ยเบาๆ “ท่านไม่ต้องห่วงเพคะ อยู่ในวัง ถึงแม้ว่าจะเกิดเรื่องจริงๆ ก็คงไม่มีใครเล็งเป้ามาที่หม่อมฉัน” หรงจิ่นไม่ยอมออกไป ก็เพราะกลัวนางอยู่ที่นี่คนเดียวแล้วจะไม่ปลอดภัย
หรงจิ่นไม่สนใจ เขายิ้ม “งานเลี้ยงเป็นเช่นนี้ทุกปี ข้าดูจนเบื่อแล้ว นอนที่ห้องโถงข้างดีกว่า”
“กราบทูลองค์ชายเก้า ฝ่าบาททรงเรียกองค์ชายไปเข้าเฝ้าขอรับ” นอกประตู ขันทีของฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์รีบเดินเข้ามารายงาน
หรงจิ่นมุ่นคิ้ว เอ่ยอย่างไม่พอใจ “เกิดอะไรขึ้น”
ขันทีคนนั้นเอ่ยตอบ “เมื่อครู่อานซุ่นจวิ้นอ๋องมอบสมบัติล้ำค่าของสำนักเย่าหวังกู่ให้ฝ่าบาท ฝ่าบาทพอพระทัยจึงให้องค์ชายเก้าไปเลือกสิ่งของที่ถูกใจพ่ะย่ะค่ะ”
“มู่หรงอวี้?” หรงจิ่นขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “จื่อชิง เจ้าอยากไปหรือไม่”
ตั้งแต่ขันทีกล่าวประโยคแรก มู่ชิงอีก็ยืนขึ้นแล้ว นางพยักหน้าเอ่ย “ไปกันเถิด ฝ่าบาททรงเรียกท่าน ไม่ไปไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิ่นเลิกคิ้ว หยิบเสื้อคลุมขนจิ้งจอกหิมะของมู่ชิงอีมาคลุมให้นาง นิ้วที่เรียวยาวขยับไปมาอย่างคล่องแคล่ว ผูกปมที่สวยงามตรงคอปกเสื้อคลุม จากนั้นก็พยักหน้าให้มู่ชิงอีอย่างภาคภูมิใจ
มู่ชิงอีส่ายหน้า บอกให้เขาสวมเสื้อคลุม ถึงแม้องค์ชายจะไม่ขี้หนาว แต่อยู่ข้างนอก เขายังต้องทำตัวเป็นองค์ชายที่ร่างกายอ่อนแอไร้ซึ่งกำลังภายใน
“จื่อชิง ผูกให้ข้าที” องค์ชายเก้าสวมเสื้อคลุม แต่กลับไม่ยอมผูกปมเอง มู่ชิงอีไม่มีทางเลือกจึงยื่นมือออกไปช่วยเขาผูกเสื้อคลุม หรงจิ่นสูงกว่านาง ยืนอยู่หน้าหรงจิ่นทำให้นางดูตัวเล็กจนไม่เหมือนบุรุษ แต่โชคดีที่ตนอายุเพียงสิบสี่สิบห้าปี จึงไม่มีใครสงสัยอะไร
หรงจิ่นยิ้มอย่างพอใจ เขาโน้มตัวลงไปจูบริมฝีปากของมู่ชิงอีอย่างรวดเร็ว ทำเอามู่ชิงอีตกใจรีบมองไปที่ประตู โชคดีที่ขันทีที่มาทูลราชโองการยืนก้มหน้าอยู่ที่ประตูท่าทางนอบน้อม หากเขาเงยหน้าขึ้นมาเห็นภาพเมื่อครู่คงจะตกใจตาย นางเบิกตากว้างมองหรงจิ่น ก่อนจะเอ่ยด้วยความไม่พอใจ “ไปกันเถิด”
เห็นหรงจิ่นและมู่ชิงอีจับมือกันเดินเข้ามา ฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์ก็อึ้งตะลึง ให้ขันทีไปเชิญหรงจิ่นมา ที่จริงแล้วเขาเองก็ไม่ได้หวังว่าหรงจิ่นจะมา บุตรชายคนเล็กคนนี้ถูกตัวเองตามใจจนเสียคน บางครั้งหากเขาไม่พอใจ แม้แต่ราชโองการก็ยังกล้าขัด เมื่อเห็นบุตรชายตัวเองค่อยๆ เดินเข้ามาด้วยท่าทีปกติ ฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์ก็ตกอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าตั้งแต่มีกู้หลิวอวิ๋น จิ่นเอ๋อร์ก็รู้ความขึ้นไม่น้อย
เมื่อนึกถึงข่าวลือของหรงจิ่นกับกู้หลิวอวิ๋นที่ฮองเฮาเคยเล่าให้ฟัง ฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์ก็ไม่สนใจ หรงจิ่นเป็นองค์ชายของราชวงศ์ เขาจะชอบอะไรก็ได้ ชอบผู้ชายมันจะเป็นอะไรไป ขอแค่ไม่ส่งผลกระทบต่อการแต่งงานและมีลูกของตัวเองในอนาคตก็พอ ยิ่งไปกว่านั้น ฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์ครองราชมาหลายสิบปี เขามองคนออก กู้หลิวอวิ๋นคนนี้มีท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตนและใจกว้าง สุภาพเรียบร้อย ท่าทางไร้เดียงสา ไม่ใช่คนคาดเดายากและประจบสอพลอเจ้านาย
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จิ่นเอ๋อร์จะถูกใจใครสักคน ฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์ไม่ได้ทำให้กู้หลิวอวิ๋นลำบากใจเหมือนคนอื่น เพราะเขาก็เป็นแค่ชายหนุ่มธรรมดาคนหนึ่ง
“จิ่นเอ๋อร์ รีบมาดูเร็ว” ฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์ยิ้มแล้วกวักมือเรียกหรงจิ่น
ในห้องหน่วนเก๋อบรรดาองค์ชายองค์อื่นพลันรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เห็นมาหลายปีแล้วแต่ก็ยังไม่คุ้นชินกับการที่เสด็จพ่อผู้แสนเย็นชาแต่กลับใจดีและตามใจแต่องค์ชายเก้าแบบนี้
หรงจิ่นจับมือมู่ชิงอีเดินเข้าไป โต๊ะหน้าฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์มีสิ่งของวางอยู่มากมาย “แต่ไหนแต่ไรมาฝ่าบาทไม่เคยเอาของขวัญออกมาโอ้อวด ตอนนี้เหตุใดถึงได้นำออกมาเล่าพ่ะย่ะค่ะ ไม่รู้หรือว่าอากาศมันหนาว?”
ฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์ตรัสอย่างไม่สบอารมณ์ “อานซุ่นจวิ้นอ๋องผู้ที่มอบของขวัญล้ำค่าให้ยังไม่ทุกข์ร้อนอันใด ให้เจ้ามาเลือกเพียงชิ้นสองชิ้นแต่เจ้ากลับเหนื่อยเช่นนั้นหรือ”
หรงจิ่นเดินไปนั่งลงด้านข้างแล้วอ้าปากหาว “จื่อชิง เจ้าไปเลือกเถิด ข้าขี้เกียจดู”
“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง”
มู่ชิงอีเดินเข้าไป มองสิ่งของที่อยู่บนโต๊ะ มู่หรงอวี้ช่างลงทุนเสียจริง ตั้งแต่รู้จักมั่วเวิ่นฉิง มู่ชิงอีก็พอจะรู้จักสำนักเย่าหวังกู่อยู่บ้าง สิ่งของที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าคือสมบัติล้ำค่าของสำนักเย่าหวังกู่อย่างแท้จริง
มู่ชิงอีเลือกหยกเย็นที่แกะสลักอย่างงดงาม ทันทีที่นางจับก็รู้สึกถึงความเย็นยะเยือก ที่สำคัญคือ หยกเย็นชิ้นนี้มีกลิ่นหอมของสมุนไพร ทำให้คนที่ได้กลิ่นรู้สึกสบายใจ มีประโยชน์ต่อนิสัยอารมณ์ร้อนของหรงจิ่น หยกชิ้นนี้มีประโยชน์ที่สุด
นางกำลังจะจับหยก หรงจิ่นก็เดินเข้าไปจับมันออกไป หรงจิ่นสำรวจพลางเอ่ยขึ้น “จื่อชิงชอบชิ้นนี้หรือ ข้าก็คิดว่าไม่เลวเลยทีเดียว ถ้าอย่างนั้นก็เอาชิ้นนี้เถิด”
มู่ชิงอีดึงมือที่เย็นเฉียบกลับไป สิ่งของมากมายบนโต๊ะ สิ่งที่เขาชอบก็มีแค่หยกชิ้นนี้ ของชิ้นอื่นถึงแม้จะเป็นของหายากและน่าสนใจ แต่กลับไม่มีประโยชน์อะไร จากนั้นเขาก็ถือพัดไม้จันทน์ที่มีกลิ่นหอมของสมุนไพรขึ้นมาแล้วถอยออกไป
ฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์มองมู่ชิงอีด้วยความพอพระทัย ช่างฉลาดนัก ซ้ำยังไม่โลภสิ่งของบนโต๊ะล้วนแต่เป็นของขวัญปีใหม่ที่มู่หรงอวี้มอบให้ฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์ ของขวัญแสดงความยินดีที่บรรดาขุนนางมอบให้ทุกปีล้วนแต่เหมือนๆ แต่สิ่งของของสำนักเย่าหวังกู่กลับดูแปลกใหม่และน่าสนใจเป็นพิเศษ สิ่งของบนโต๊ะ เป็นสมบัติล้ำค่า แล้วยังมีของเล่นที่ดูแปลกใหม่ แต่ชายหนุ่มชุดขาวคนนี้กลับมีท่าทีสุขุม ในสายตาไม่มีความโลภ สมแล้วที่เป็นคนของตระกูลกู้แห่งแคว้นหวา ตระกูลนักปราชญ์ วิธีการเลี้ยงดูคนในตระกูลไม่เหมือนใครจริงๆ