เขาเหลือบมองผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์อย่างเย็นชา ก่อนจะตรัสอย่างเคร่งขรึม “ลากออกไป”
จากนั้นก็มีองครักษ์วังหลวง เดินเข้ามาลากศพออกไป ทำความสะอาดพื้นหิมะ เมื่อทุกคนกลับมาที่ห้องโถง รอยเลือดข้างนอกก็ถูกหิมะปกคลุมอีกครั้ง
“จิ่นเอ๋อร์” ฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์มองดูบรรดาขุนนางและองค์ชายในพระตำหนัก เขาเรียกหรงจิ่นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
หรงจิ่นลากมู่ชิงอีออกมาช้าๆ ข้างหลังตามมาด้วยตงฟังซวี่ที่ถือดาบอยู่ในมือ เมื่อเห็นหรงจิ่นไม่เป็นอะไร ฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์ก็พยักหน้าอย่างโล่งใจ “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
ตงฟังซวี่ยิ้มเอ่ย “ฝ่าบาท มีซวี่เอ๋อร์อยู่ องค์ชายเก้าจะเป็นอะไรได้อย่างไร” พูดจบ เขาก็ยกดาบที่เปื้อนเลือดในมือขึ้นอย่างภาคภูมิใจ จิ้งหย่วนโหวที่อยู่ข้างล่างสีหน้ามืดมนลง “ซวี่เอ๋อร์ บังอาจ! ใครอนุญาตให้เจ้านำดาบเข้ามาในพระตำหนัก”
ตงฟังซวี่สะดุ้งโหยง จากนั้นก็ตระหนักขึ้นมาได้เลยรีบโยนดาบในมือทิ้ง กางมือราวกับบอกว่าตัวเองไม่รู้เรื่องเพราะดาบเล่มนั้นไม่ใช่ของตน ทิ้งไปก็ไม่เสียดาย
ฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์ไม่ได้คิดอะไร ตรัสด้วยรอยยิ้มสรวล “ดูเหมือนว่าฝีมือของซวี่เอ๋อร์ไม่ธรรมดา จิ้งหย่วนโหวมีผู้สืบทอดแล้ว” จิ้งหย่วนโหวเบิกตามองตงฟังซวี่อย่างคาดโทษ จากนั้นก็กล่าวขอบพระทัยฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์
ทุกคนที่อยู่ในพระตำหนักล้วนรู้ว่าการที่ตงฟังซวี่นำดาบเข้ามาในพระตำหนักนั้นไม่ใช่ความผิดเล็กน้อย แต่ฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์เห็นแก่ที่เขาปกป้องหรงจิ่น แน่นอนว่าเขาต้องไม่ลงโทษตงฟังซวี่ “เด็กดี ตงฟังซวี่ บุตรชายของจิ้งหย่วนโหวเชี่ยวชาญทั้งบู๊ทั้งบุ๋น ช่วยปกป้ององค์ชาย อืม…มอบรางวัลให้หนึ่งพันตำลึงทอง ดาบหนึ่งเล่ม พรุ่งนี้ไปรายงานตัวที่กองทหารรักษาพระองค์เถิด”
สายตาของตงฟังซวี่เป็นประกาย “ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” กองทหารรักษาพระองค์ไม่เหมือนองครักษ์วังหลวง ที่นั่นคือกองทหารแค้วนเย่ว์ อีกทั้งยังเป็นกองทหารชั้นสูง แม้แต่แม่ทัพที่มีชื่อเสียงอย่าง จิ้งหย่วนโหว ท่านพ่อของเขาหรือหนานกงเจวี๋ยก็เคยอยู่ที่กองทหารรักษาพระองค์มาก่อน นับเป็นหัวใจของฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์
เมื่อฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์ตรัสเช่นนี้ ทุกคนต่างอิจฉา ในขณะเดียวกันก็แอบคิดว่าหากฝ่าบาทจะมอบรางวัลให้ง่ายดายเช่นนี้ พวกเขาคงจะปกป้ององค์ชายเก้าอย่างสุดชีวิต
เพิ่งถูกลอบสังหาร ถึงแม้ไม่มีเรื่องใหญ่อะไรเกิดขึ้น แต่ฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์ก็ยังคงไม่สบอารมณ์ เขากวาดสายตามองผู้คนอย่างเยือกเย็น ก่อนจะตรัสบอกจวงอ๋อง ตวนอ๋อง ฉินอ๋อง และอ๋องคนอื่นๆ รวมถึงหนานกงเจวี๋ยให้อยู่ต่อก่อน ส่วนคนอื่นก็ให้กลับไป
ออกมาจากพระราชวัง ขึ้นรถม้า รถม้ากำลังแล่นกลับไปจวนอวี้อ๋องก็มีร่างร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ตงฟังซวี่มองหรงจิ่นด้วยสายตาเอาอกเอาใจ “พี่เก้า… “
หรงจิ่นเอนตัวพิงรถม้า เหลือบมองตงฟังซวี่อย่างนิ่งเฉยเอ่ย “ไม่กลับจวนไปกับจิ้งหย่วนโหว เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
ตงฟังซวี่ฝืนยิ้มเอ่ย “ก็เพราะว่า… อยากมาขอบพระทัยพี่เก้า หากไม่ใช่เพราะพี่เก้า ข้าจะได้ไปอยู่ในกองทหารรักษาพระองค์ได้เช่นไรกัน” ฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์เข้มงวดกับบรรดาแม่ทัพเป็นอย่างมาก แม่ทัพที่มีชื่อเสียงในสมัยหนานกงเจวี๋ยล้วนแต่ต้องมีความดีความชอบ นอกจากนำทัพนอกเมืองในยามที่เกิดสงครามแล้ว ล้วนไม่มีใครกล้าก้าวเข้ามาในเมืองหลวง พูดให้น่าฟังก็คือให้ช่วยเฝ้าระวังรอบเมืองหลวง แต่ที่จริงแล้วนี่คือการแยกพวกเขาออกจากกองทัพทหารในแคว้นเย่ว์
ท่านปู่ของตงฟังซวี่ อดีตจิ้งหย่วนโหวก็เป็นแม่ทัพที่มีชื่อเสียงเหมือนกัน ชื่อเสียงของเขาไม่แพ้หนานกงเจวี๋ยในตอนนี้ แต่หลังจากที่อดีตจิ้งหย่วนโหวเสียชีวิตไป ฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์ให้องค์หญิงใหญ่แต่งงานกับตระกูลตงฟัง ท่านพ่อของตงฟังซวี่แม้แต่อำนาจในกองทัพทหารก็ไม่มี ถึงแม้เขาจะเคยสู้ศึกสงครามหนึ่งครั้ง มีประสบการณ์อยู่บ้าง แต่สองสามปีนี้เขากลับได้แต่อยู่เฉยๆ ที่จวน
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ถึงแม้ตงฟังซวี่จะเป็นหลานชายตระกูลนอกของฮ่องเต้ แต่ก็เป็นแค่ลูกผู้ลากมากดีที่เร่ร่อนในเมืองหลวง แต่วันนี้ เพราะเขาปกป้ององค์ชายเก้า ฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์พอพระทัยเลยให้เขาเข้าไปอยู่ในกองทหารรักษาพระองค์ ถึงแม้ต่อไปอาจถูกกดดัน แต่มีโอกาสก้าวหน้าก็ยังดีกว่าการเดินดูเหล่าคุณชายคุณหนูไปวันๆ
หรงจิ่นแค่นเสียงหัวเราะ
มู่ชิงอีเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ “ท่านรู้ว่าคืนนี้จะมีนักฆ่าเช่นนั้นหรือ”
หรงจิ่นเอ่ย “เรื่องในพระราชวังก็มีแค่ไม่กี่เรื่อง เกิดเรื่องเป็นเรื่องดี ไม่เกิดเรื่องก็ไม่เสียเปรียบ แต่ว่าเจ้า…” หรงจิ่นเหลือบมองตงฟังซวี่ “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าวันนี้พระราชวังจะเกิดเรื่อง”
ตงฟังซวี่หัวเราะ เอ่ยอย่างเขินอาย “เอ่อ…พี่เก้าก็รู้ว่าข้ามีสหายมากมาย เรื่องนี้… มีที่ที่หนึ่งที่ข่าวเร็วมาก บังเอิญได้ยินข่าวลือบางอย่าง” ชื่อเสียงลูกผู้ลากมากดีของตงฟังซวี่โด่งดังไปทั่วเมืองหลวง เขาชอบผูกมิตรกับคนในสำนักต่างๆ แล้วยังชอบไปโรงน้ำชา ร้านอาหาร แน่นอนว่าเขาต้องได้ยินข่าวลือไม่น้อย
“ข่าวลือ?” หรงจิ่นเลิกคิ้ว ที่จริงแล้วในใจของคุณชายตงฟัง การมีคนเข้ามาลอบสังหารในพระราชวังเป็นแค่ข่าวลือ?
ตงฟังซวี่พูดด้วยความลำบากใจ “ข้าพูดความจริง ได้ยินว่าช่วงนี้มีผู้คนมากมายเข้ามาในเมืองหลวง ข้าจึงคิดว่า… ปีนี้พระราชวังคงจะเกิดเรื่องครั้งสองครั้ง หากข้าวิ่งเข้าไปบอกฝ่าบาทในวังว่ามามีคนมาลอบสังหาร หากมีจริงๆ ก็คงดี แต่หากไม่มีข้าคงจะซวย”
หรงจิ่นสะบัดมือ เขาพูดอย่างไม่สนใจ “ช่างมันเถิด มีคนลอบสังหารหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า ต่อไปนี้…”
ตงฟังซวี่โน้มตัวไปข้างหน้า “ต่อไปนี้หากมีข่าวอะไรข้าจะมารายงานพี่เก้าทันที”
หรงจิ่นเลิกคิ้ว “ข้าจะบอกว่า ต่อไปนี้อย่าไปสถานที่เช่นนั้นบ่อยนัก ในเมื่อเจ้ามีน้ำใจ ข้าก็จะรับเอาไว้ กลับไปเถิด ประเดี๋ยวจิ้งหย่วนโหวจะเป็นห่วง” เอ่ยจบ หรงจิ่นก็โบกมือไล่เขาอย่างไม่เกรงใจ
ตงฟังซวี่ไม่มีทางเลือกจึงเปิดม่านแล้วกระโดดลงมาจากรถม้า
“ชิงชิงคิดอะไรอยู่หรือ” ทันใดนั้นบรรยากาศในรถม้าก็เงียบสงัด หรงจิ่นถามมู่ชิงอีที่นั่งเงียบบนรถม้า
นางเงยหน้าขึ้นมามองเขา มู่ชิงอีขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “คิดเรื่องที่เกิดขึ้นคืนนี้อยู่เพคะ”
หรงจิ่นหัวเราะเยาะแล้วพูดว่า “สองสามปีนี้ เรื่องมีนักฆ่าในพระราชวังไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง แม้แต่เขาเองก็ยังไม่คิดอะไรเลย” เขาฆ่าคนมากมาย คนที่อยากได้ชีวิตของเขาก็มีมากมายเหมือนกัน คิดไปก็ไร้ประโยชน์ ไม่สู้จับนักฆ่ามาฆ่าให้หมดยังจะดีกว่า
มู่ชิงอีเลิกคิ้วแล้วพูดว่า “ท่านไม่ได้ยินที่นักฆ่าพูดก่อนตายหรือ ครั้งนี้ไม่สำเร็จยังมีครั้งต่อไป เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ใช่นักฆ่าทั่วไป ล้วนแต่เป็นคนที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ในที่ที่เราไม่รู้ ยังมีคนที่มีอำนาจเช่นนี้อยู่ ท่านไม่กังวลเลยหรือ”
หรงจิ่นครุ่นคิด “ชิงชิงหมายความว่าคนเหล่านั้นไม่ใช่คนที่ไม่ชอบหน้าหรือมีความแค้นต่อเขาอย่างนั้นหรือ”
มู่ชิงอีเอ่ยตอบ “อาจจะมีความแค้นต่อเขาจริงๆ ก็ได้ แต่ว่า…เกรงว่าจะไม่ใช่แค่การแก้แค้นเท่านั้น หากต้องการแก้แค้น พวกเขาย่อมไม่มีทางเลือกที่จะปรากฏตัวในค่ำคืนนี้” คืนนี้มีทั้งขุนนางนักปราชญ์และแม่ทัพทั้งเหมืองหลวง แค่หนานกงเจวี๋ยคนเดียวก็สามารถทำลายแผนการของนักฆ่าเหล่านั้นได้แล้ว
หรงจิ่นเคาะเบาะนั่งข้างๆ แล้วเอ่ยอย่างไม่สนใจนัก “นักฆ่าพวกนั้นเเค่อยากทำให้เขาเสียหน้าต่อหน้าเหล่าขุนนาง? หรือว่า…อยากทำให้เขาไม่พอใจ?”