มู่ชิงอีเม้มปากยิ้ม “น่าสนใจมากใช่หรือไม่”
“ไม่สำคัญ หากไม่มายุ่งกับข้า ข้าก็ขี้เกียจที่จะสนใจเขา” หรงจิ่นเลิกคิ้วแล้วยิ้ม มู่ชิงอีถอนหายใจ นางมองออกว่าความรักที่หรงจิ่นมีต่อบิดาอย่างฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์ช่างน้อยยิ่งนัก ตอนที่นักฆ่าคนนั้นพุ่งผ่านหน้าหรงจิ่นไป ไม่ต้องพูดว่าเขาเป็นห่วง แม้แต่แววตาของเขาก็ไม่วูบไหวเลยแม้แต่น้อย ราวกับนักฆ่าคนนั้นไม่ได้มาฆ่าพ่อของตัวเอง แค่มาฆ่าคนที่ไม่มีความสำคัญกับตัวเองอย่างไรอย่างนั้น
หรงจิ่นยื่นมือออกไปโอบตัวนางเข้ามาไว้ในอ้อมแขน หัวเราะเบาๆ “ชิงชิงไม่ต้องห่วง ถึงแม้เขาจะอายุเยอะแล้ว แต่ฝีมือของเขาไม่ธรรมดา แต่สองสามปีนี้เขาไม่จำเป็นต้องจัดการเอง เขาจะถูกนักฆ่าระดับนั้นฆ่าได้เช่นไร”
มู่ชิงอียิ้ม นางลืมไปว่ายามที่ฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์ยังหนุ่มยังแน่น เขามีชื่อเสียงทั้งบู๊ทั้งบุ๋น แต่หลังจากที่ได้ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ถึงค่อยๆ ลดน้อยลง สองสามปีที่ผ่านมา ไม่มีใครรู้ว่าฝีมือการต่อสู้ของฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์เป็นเช่นไร แต่ในเมื่อหรงจิ่นพูดเช่นนี้ ย่อมต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
“ดังนั้น…คิดอยากจะลอบสังหารเขาไม่ใช่เรื่องง่าย” หรงจิ่นถอนหายใจ
“…”
กลับมาถึงจวนอวี้อ๋อง ปู้อวี้ถังและเซวียเริ่นรีบออกมาต้อนรับ เรื่องที่ในวังมีนักฆ่าตอนนี้คนนอกต่างก็รู้กันหมดแล้ว เห็นทั้งสองคนกลับมาอย่างปลอดภัย พวกเขาจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หรงจิ่นมองดูท้องฟ้า เกือบจะเที่ยงคืนแล้ว เขาโบกมือบอกให้ปู้อวี้ถังและคนอื่นๆ ออกไป จับมือมู่ชิงอีพลางยิ้มเอ่ย “เราจะข้ามปีกันแล้วใช่หรือไม่ ชิงชิงอยู่ส่งท้ายปีเก่ากับข้าได้หรือไม่”
มู่ชิงอีมองดูเวลา นางยิ้มเอ่ย “ในเมื่อท่านอ๋องชอบ หม่อมฉันจะขัดได้อย่างไรเล่า”
พวกเขาสองคนอยู่รอฉลองปีใหม่ด้วยกัน เพียงแค่อยู่ที่ศาลาในลานเล็กของเรือนชิงหนิง ศาลาถูกปิดทุกด้าน ข้างในเผาถ่านทำให้อากาศอบอุ่น สั่งให้คนนำขนมและของว่างสองสามอย่างเข้ามา มองดูทิวทัศน์หิมะข้างนอกอย่างสบายใจ
มู่ชิงอีจิบสุรา กลิ่นอายของความร้อนกระจายไปทั่วร่างกายของนางทันที ร่องรอยความหนาวเย็นพลันจางหายไป หรงจิ่นเอนตัวบนเก้าอี้ จ้องมองทิวทัศน์ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะอย่างมีความสุข ยกจอกสุราขึ้นมาดื่มอย่างเกียจคร้านพลางถอนหายใจ “ข้ายังไม่เคยฉลองปีใหม่กับใครเลย”
มู่ชิงอีงุนงง “แล้วปีที่ผ่านๆ มาองค์ชายเก้าฉลองปีใหม่อย่างไรเพคะ”
หรงจิ่นพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หากอารมณ์ดีก็ไปงานเลี้ยง หากอารมณ์ไม่ดีก็นอนในตำหนักเหมย”
มู่ชิงอีนึกถึงตำหนักเหมยที่กว้างขวาง ตอนนี้ดอกเหมยกำลังบานสะพรั่ง แล้วยังมีหอเล็กๆ ที่โดดเดี่ยวในตำหนัก จินตนาการถึงค่ำคืนที่หนาวเหน็บ เดิมทีควรเป็นวันแห่งความสุขของครอบครัว แต่เด็กคนหนึ่งต้องอยู่ที่หอเล็กนั้นอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ดมกลิ่นไอเย็นแล้วหลับไป ผ่านไปแต่ละปี…
มู่ชิงอีรู้สึกเศร้าใจ นางพูดเบาๆ “ต่อไปหม่อมฉันจะฉลองกับท่านเอง”
หรงจิ่นพยักหน้า “ต่อไปข้าก็จะฉลองกับปีใหม่กับชิงชิง”
มู่ชิงอียิ้มอย่างแผ่วเบา ถึงแม้ว่าหรงจิ่นจะมีพี่น้องมากมาย แต่อยู่ในเมืองหลวงที่กว้างใหญ่นี้ เขาราวกับอยู่ตัวคนเดียวตลอด แต่นาง…นอกจากลูกพี่ลูกน้องและพี่ใหญ่ นางก็ไม่มีญาติคนอื่นบนโลกใบนี้อีกแล้ว พวกเขาสองคนอยู่ด้วยกันมันจะได้ไม่โดดเดี่ยว
“ชิงชิงอยากฟังข้าเล่นพิณหรือไม่” หรงจิ่นยิ้มแป้น
มู่ชิงอีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ได้ฟังท่านเล่นพิณ นับเป็นวาสนาของหม่อมฉัน หม่อมฉันจะตั้งใจฟังเพคะ” หรงจิ่นขมวดคิ้วเอ่ย “ข้าเล่นได้ไม่ไพเราะเท่าชิงชิง ข้าเล่นให้ชิงชิงฟังก่อน แล้วชิงชิงค่อยเล่นให้ข้าฟังได้หรือไม่”
มู่ชิงอีพยักหน้า หรงจิ่นลุกขึ้นเดินออกไป จากนั้นไม่นานก็กอดพิณเดินเข้ามา เขานั่งลง ดีดสายพิณด้วยมือสองข้าง จากนั้นเสียงพิณอันไพเราะก็ดังขึ้น
มู่ชิงอีคิดว่าหรงจิ่นดีดพิณได้ไม่เลวเลยทีเดียว แล้วยังดีกว่านางเสียอีก จึงทำให้มู่ชิงอีแปลกใจ ต้องรู้ว่า หรงจิ่นไม่เหมือนองค์ชายทั่วไป พูดได้ว่า หรงจิ่นไม่เคยได้รับการสั่งสอนจากทางราชวงศ์อย่างเป็นทางการ ก่อนอายุแปดชันษา หรงจิ่นอ่านหนังสือออกเพราะเซวียเริ่นสอนเขา เซวียเริ่นเป็นแค่ขันทีทั่วไป เขาสอนอะไรหรงจิ่นได้ไม่ค่อยมากนัก เมื่อเทียบกับองค์ชายที่เริ่มศึกษาตำราตั้งแต่ก่อนอายุสามสี่ชันษา หรงจิ่นที่เริ่มศึกษาตำราเมื่ออายุแปดชันษา ถือว่าเริ่มช้ากว่าคนทั่วไปมาก และหลังจากอายุแปดชันษา ความรักที่ฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์มีต่อหรงจิ่น เขาไม่เคยต้องการให้หรงจิ่นชาญฉลาดมากมาย ความสามารถและความสำเร็จของหรงจิ่นในทุกวันนี้ ล้วนแต่มาจากความฉลาดที่ติดตัวเขามาตั้งแต่เกิด
มองเห็นสายตาที่ประหลาดใจของมู่ชิงอี หรงจิ่นก็เผยรอยยิ้มบาง “ในตำหนักเหมยมีพิณโบราณที่เสด็จแม่ทิ้งไว้ ตอนเด็กๆ ไม่มีอะไรทำข้ามักจะไปเล่น” มู่ชิงอีก็สังเกตเห็นว่านิ้วที่กำลังดีดพิณของหรงจิ่นไม่ค่อยถูกต้องตามพื้นฐานสักเท่าไร เห็นได้ชัดว่าเขาเรียนรู้ด้วยตัวเองจริงๆ
“ไพเราะมากเพคะ ไพเราะกว่าหม่อมฉันเสียอีก” มู่ชิงอีพูดเบาๆ เคยมีคนชื่นชมการดีดพิณของนาง ยามที่นางยังเป็นกู้อวิ๋นเกอ ส่วนใหญ่มักบอกว่าเสียงพิณของนางไพเราะน่าฟัง แต่เสียงพิณกลับเข้าถึงความรู้สึกของผู้คนยาก ถึงแม้คุณหนูใหญ่ตระกูลกู้จะอ่อนโยนและเป็นมิตร แต่เสียงพิณมักจะแฝงความทะนงตนเอาไว้
ต่อมาเกิดเรื่องขึ้นกับตระกูลกู้ เสียงพิณของหว่านอวิ๋นกลายเป็นที่รู้จักในเมืองหลวง แต่กลับฟังดูเจ็บปวด ทำให้ผู้คนที่ได้ยินรู้สึกโศกเศร้า ทำให้เสียงพิณของนางไม่มีความสงบ ต่อมา เสียงพิณของนางก็ค่อยๆ เริ่มไม่นุ่มนวลและเต็มไปด้วยความอาฆาต ห่างไกลจากการเสียงพิณที่อาจารย์สอนมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่เสียงพิณของหรงจิ่นกลับทำให้ผู้คนงุนงง เพราะในเสียงพิณของเขาไม่มีอะไรแฝงเอาไว้เลย ไม่ได้หมายความว่าเสียงพิณของเขาไร้อารมณ์ แต่อารมณ์ทั้งหมดที่แสดงนั้นคืออารมณ์ของเขา ไม่เกี่ยวข้องกับคนอื่น ยามที่หรงจิ่นดีดพิณ ในใจของเขาไม่มีอารมณ์ความรู้สึกอะไรทั้งนั้น คนอื่นที่ได้ยินมักจะรู้สึกลุ่มหลง ทำให้พวกเขาอยากฟังมันต่อไป
เสียงพิณดังก้องไปทั่วท้องฟ้ายามเที่ยงคืน มู่ชิงอีเอนตัวบนเก้าอี้แล้วเผลอหลับไป ก่อนที่นางจะหลับไป นางกำลังรู้สึกสงบ เสียงพิณของหรงจิ่นเหมือนกับหัวใจของเขา ล้วนแต่ว่างเปล่า ความเหงาที่มากกว่าความเหงา ความแค้นที่มากกว่าความแค้น ความเจ็บปวดที่มากกว่าความเจ็บปวด เหงาจนลืมความเหงา แค้นจนหมดความแค้น เจ็บปวดจนลืมความเจ็บปวด ในใจของหรงจิ่น...ไม่มีอะไรเลย…
มองดูมู่ชิงอีที่หลับใหลตรงหน้า นิ้วที่กำลังดีดสายพิณก็หยุดชะงัก หากตอนนี้มู่ชิงอียังตื่นอยู่ นางคงจะได้ยินความเปลี่ยนแปลงของเสียงพิณ…
ตึง!
เสียงพิณหยุดชะงัก หรงจิ่นลุกขึ้นไปปิดหูของมู่ชิงอีที่กำลังหลับใหล เพื่อไม่ให้เสียงดังข้างนอกทำให้นางสะดุ้งตื่น หรงจิ่นก้มหน้ามองมู่ชิงอีที่กำลังหลับตาพริ้ม เขาก้มหน้าลงประทับจูบบนหน้าผากนางเบาๆ ““ชิงชิง สวัสดีปีใหม่ ข้ามีความสุขอย่างมาก” ในที่สุดเขาก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวอีกแล้ว ตราบใดที่มีนางอยู่ ไม่ว่านางจะหลับใหล ไม่ว่านางจะไม่พูดอะไร เขาก็รู้สึกชอบและพอใจเป็นอย่างมาก ราวกับว่าแค่มีนาง หรือบนโลกใบนี้มีแค่พวกเขาสองคน เขาก็มีความสุขและพอใจแล้ว ดูเหมือนว่าตอนนี้แผนการพวกนั้นมันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว ขอแค่นางอยู่กับเขาตลอดไปก็พอ