หรงจิ่นเอนตัวพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน ยิ้มมุมปากเอ่ย “เช่นนั้นก็หมายความว่าฉินอ๋องและจวงอ๋องวางแผนที่จะแก้แค้นส่วนตัว หรือเห็นข้าเป็นตัวตลก? หากไม่มีคำอธิบายให้ข้า วันนี้อย่าได้คิดที่จะค้นจวนของข้าเลย ถ้าอย่างนั้นก็ให้ข้าพาพวกเจ้าเข้าไปด้านในจวนอวี้อ๋องก็แล้วกัน ถือโอกาสดูว่าจวนของข้ามีคนที่ไม่เหมาะสมหรือไม่!”
สีหน้าของหรงไหวและหรงเซวียนเปลี่ยนไป “น้องเก้าหมายความว่าเช่นไร” หรือว่าหรงจิ่นจะกักบริเวณพวกเขาอย่างนั้นหรือ คนทั่วไปไม่มีทางกล้าทำเช่นนี้…แต่หรงจิ่นไม่ใช่คนทั่วไป
หรงจิ่นกวักมือเรียกองครักษ์หน้าประตูเข้ามา “ไป ไปดูว่าจวงอ๋องและฉินอ๋อง ค้นจวนตระกูลไหนแล้วบ้าง”
“น้องเก้า” หรงเซวียนรีบเอ่ย “น้องเก้าเข้าใจผิดแล้ว พี่สองไม่ได้หมายความแบบนั้น” หรงจิ่นเลิกคิ้วเอ่ย “เช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร”
หรงเซวียนถอนหายใจเอ่ย “สองสามปีมานี้นักฆ่าอาละวาดไม่หยุด เสด็จพ่อทรงกริ้วเป็นอย่างมาก ที่เรามาก็เพราะจะมาบอกน้องเก้าว่าให้เสริมกำลังองครักษ์ในจวน จะค้นจวนองค์ชายตามอำเภอใจได้ที่ไหนกัน”
แต่หรงจิ่นกลับไม่รับน้ำใจ แค่นเสียงหัวเราะ “เมื่อครู่ที่ข้าได้ยินพวกเจ้าไม่ได้กล่าวแบบนี้ หรือว่าข้าเดาผิด จวงอ๋องและฉินอ๋องไม่ได้ไปค้นจวนอ๋องคนอื่น แค่อยากมาค้นจวนของข้ากระมัง ดูเหมือนว่าพี่สองจะไม่ชอบหน้าข้า แต่ไม่เป็นไร ข้าไม่ใช่คนใจแคบ อยากจะค้นก็ค้น แต่หลังจากค้นเสร็จแล้ว…เราก็จะถือโอกาสไปจวนพี่สาม พี่สี่กับพี่ห้าด้วย และแน่นอนว่ายังมีจวนของพี่สองและฉินอ๋อง”
หรงเซวียนเบิกตามองหรงไหวด้วยความโมโห หากไม่ใช่เพราะเขาหาเรื่องหรงจิ่น มันจะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร หากค้นจวนทุกจวนของบรรดาองค์ชายจริงๆ พี่ๆ น้องๆ คงจะเกลียดชังพวกเขา
หรงจิ่นมองดูหรงไหวที่กำลังโมโหจนหน้าแดงก่ำอย่างเมินเฉย หรงไหวกัดฟันแล้วมองหน้าหรงจิ่นด้วยความเดือดดาล เขาคือหลานชายคนโตของฮ่องเต้ แต่ตั้งแต่เล็กจนโตเสด็จปู่ไม่เคยแม้แต่จะมองเขา แต่กลับโปรดปรานองค์ชายเก้าที่อายุน้อยกว่าเขาตั้งสิบปี หรงไหวจะไม่เกลียดหรงจิ่นได้อย่างไร ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่หรงจิ่นจงใจช่วยปู้อวี้ถัง เรื่องครั้งนี้เขาแค่อยากทำให้หรงจิ่นเสียหน้า แต่คิดไม่ถึงว่าหรงจิ่นที่ตัวเองดูถูกมาตลอดจะพูดจาเฉียบขาดแบบนี้
“หรงจิ่น อย่าให้มันมากเกินไป! ข้าสงสัยว่าเจ้าซ่อนตัวนักฆ่าเอาไว้ แล้วจะทำไม!” หรงไหวพูดขึ้นอย่างทนไม่ไหว
“ทำไมหรือ” หรงจิ่นยิ้มเย็นชา เขาลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ
ฟึ่บ! เงาแส้สีดำพุ่งเข้าไปที่หรงไหวอย่างรวดเร็ว หรงไหวรู้สึกได้จึงรีบเบี่ยงตัวหลบทันควัน เสียงแส้กระทบกับเก้าอี้ที่หรงไหวเพิ่งนั่ง บนเก้าอี้ไม้จันทน์ชั้นดีมีรอยแส้ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน
“หรงจิ่น เจ้า…” หรงไหวทั้งตกใจทั้งโมโห ยังพูดไม่ทันจบ แส้ก็หวดเข้ามาอีกครั้ง หรงไหวจึงต้องหลบต่อไป ใบหน้าที่หล่อเหลาของหรงจิ่นมีรอยยิ้มเยือกเย็น เขาสะบัดแส้ใส่หรงไหวโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
“น้องเก้าใจเย็นๆ ก่อนเถิด…ไหวเอ๋อร์ไม่รู้ความ…” หรงเซวียนถอยออกไปอยู่ข้างๆ พลางพูดเกลี้ยกล่อมอย่างไม่จริงใจ ช่วงนี้หรงไหวเป็นศัตรูกับเขาทุกเรื่อง พลอยทำให้เขาเกลียดขี้หน้าอยู่ไม่น้อย เห็นหรงจิ่นฟาดแส้ใส่เขา หรงเซวียนก็รู้สึกพึงพอใจ เขาจะเกลี้ยกล่อมด้วยความจริงใจทำไม
“พูดอีกสิ ข้าจะฟาดท่านด้วย!” หรงจิ่นเอ่ยอย่างเย็นชา
หรงเซวียนเงียบปากทันควัน เดินเข้าไปยืนข้างกายมู่ชิงอี ถอนหายใจเอ่ย “เดิมทีคิดว่าน้องเก้าไม่อารมณ์ร้อนแล้ว คิดไม่ถึงว่าเขายังเป็นเช่นนี้ … “
มู่ชิงอีเอ่ยอย่างเฉยเมย “ภูเขาแม่น้ำยังเปลี่ยนได้ แต่สันดานคนเรายากที่จะเปลี่ยน”
“หรงจิ่น อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าทำอะไรเจ้านะ!”
ถึงแม้หรงไหวจะว่องไว แต่เขาก็พลาดท่าถูกแส้หวดถึงสองสามครั้ง รอยแผลบนตัวแสบร้อน จึงทำให้เขาอารมณ์ร้อนตาม ไม่หลบแส้ไปๆ มาๆ ด้านข้างอีกแล้ว แต่กลับพุ่งตัวเข้ามาหาหรงจิ่น
หรงจิ่นไม่ได้ตั้งใจจะต่อสู้กับเขา เมื่อเห็นหรงไหวสู้กลับ เขาก็เก็บแส้ทันที สายตาของหรงไหวเป็นประกาย จากนั้นก็ยกมือขึ้นหมายจะต่อยหรงจิ่น ฉับพลันเงาสีเทาก็แทรกเข้ามาอย่างรวดเร็ว เข้ามายืนอยู่หน้าหรงจิ่น ประมือกับหรงไหวครู่หนึ่ง จากนั้นก็ต่อยเขากลับ
“ท่านอ๋อง” อู๋ฉิงเหลือบมองหรงไหวอย่างไม่สนใจแล้วพูดอย่างเคร่งขรึม
หรงจิ่นมองหรงไหวแน่นิ่งอยู่นาน หรงไหวกำลังจะพูดอะไรบางอย่างก็เห็นว่าหรงจิ่นไอขึ้นมาอย่างรุนแรง จากนั้นก็ล้มลงไป
“ท่านอ๋อง… ท่านอ๋อง…” อู๋ฉิงรีบหันกลับไปประคองหรงจิ่น ตะโกนออกไปข้างนอก “ไปเชิญท่านหมอมา ท่านอ๋องประชวร!” พอพูดจบก็ประคองหรงจิ่นออกไปอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่สนใจหรงไหว ปล่อยให้มู่ชิงอีและพวกเขาสองคนอยู่ในห้องโถงที่กว้างใหญ่
มู่ชิงอีกระแอมเบาๆ มองพวกเขาสองคนแล้วถอนหายใจ “กระหม่อมขอตัวไปดูท่านอ๋องก่อน ท่านอ๋องทั้งสองท่าน…หากจะค้นจวน ก็เชิญตามสบายพ่ะย่ะค่ะ”
กล่าวจบก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว
นี่…นี่มันไร้ยางอายเกินไปแล้ว!
หรงไหวมองบาดแผลบนตัวของตัวเองด้วยความเดือดดาล ถึงแม้ฤดูหนาวสวมเสื้อผ้าหนาจึงมองไม่เห็นเลือด แต่เสื้อผ้าก็ยังถูกแส้ของหรงจิ่นโบยจนฉีกขาด อีกทั้งยังรู้สึกเจ็บแปลบ ต้องรู้ว่าหรงจิ่นเคยมีประวัติใช้แส้โบยคนจนตาย หรงไหวอาจต้องเจ็บไปสักสองสามวัน
บนโลกใบนี้ไม่มีคนที่ถูกตีแล้วไม่โกรธเคือง เจ้าหมอนั่นที่ตีเขามีปัญหาอันใดกัน ย่อมต้องเสแสร้งแกล้งป่วยแน่นอน ไร้ยางอายเสียจริง!
“ท่านอารอง…” หรงไหวอดกลั้นต่อความเจ็บปวดบนร่างกาย มองหรงเซวียนด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม หรงเซวียนลอบสะใจในใจแต่บนใบหน้ากลับถอนหายใจเอ่ย “ไหวเอ๋อร์ เจ้าหุนหันพลันแล่นเกินไป เจ้าก็รู้ว่าน้องเก้าสุขภาพเป็นเช่นไร เรื่องนี้…เกรงว่าประเดี๋ยวเสด็จพ่อต้องทราบแน่นอน”
“เขาถือแส้โบยข้า ข้าเป็นคนผิดเช่นนั้นหรือ” หรงไหวกัดฟันพูด
หรงเซวียนพูดอะไรไม่ออก เด็กน้อย…เจ้าไร้เดียงสาเกินไป เรื่องของน้องเก้า เสด็จพ่อไม่เคยสนใจว่าใครผิดใครถูก หากทำให้น้องเก้าโมโหจนล้มป่วย ไม่ว่าเจ้าจะมีเหตุผลมากมายแคไหนแต่เจ้าก็ต้องลำบากอยู่ดี
“ช่างมันเถิด เดิมทีก็ไม่มีเรื่องอันใด เราไปดูอาการของน้องเก้าก่อนแล้วค่อยกลับกันเถิด”
หรงไหวมีสีหน้าไม่พอใจ “กลับไปแบบนี้ แล้วเรื่องนักฆ่า…”
หรงเซวียนโบกมือ “หากเจ้าคิดว่าจวนของน้องเก้ามีนักฆ่าจริงๆ เจ้าก็อยู่ค้นที่นี่ก็แล้วกัน” หรงไหวเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เดินตามหรงเซวียนออกไป แต่น่าเสียดาย พวกเขาสองคนเดินไปดูหรงจิ่นที่กำลังนอนหลับตาอยู่ในเรือน ยังไม่ทันได้ออกไปจากจวนอวี้อ๋อง คนในวังก็มาถึงเพื่อเรียกฉินอ๋องและจวงอ๋องเข้าไปในวัง
ในห้องของหรงจิ่น หลังจากไล่ท่านหมอและบ่าวรับใช้ออกไป มู่ชิงอีนั่งมองคนที่นอนอยู่บนเตียงด้วยความไม่พอใจเอ่ย “วันนี้ท่านอ๋องต้องการทำอะไรหรือ” ถึงแม้ไม่อยากให้พวกเขาค้นจวน แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้กระมัง
หรงจิ่นที่นอนหลับตาพริ้มหลุดเสียงหัวเราะ อยู่ใต้ผ้าห่มหนาอย่างสบายกายแล้วเอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “ไม่มีอะไร ข้าไม่ชอบขี้หน้าเขา อยากโบยเขาตั้งนานแล้วเลยคันไม้คันมือ…ยิ่งเห็นสายตาหรงไหวที่ใช้มองเจ้า ข้าก็อยากจะควักตาเขาออกมา!”