หากเป็นแคว้นหวา สถานะอย่างหรงไหวอาจมีโอกาสมากกว่าพวกหรงเซวียนหรงเหยี่ยนอยู่บ้าง ในเมื่อเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของโอรสของฮองเฮาย่อมสถานะสูงส่งกว่าโอรสจากเหล่าสนมเป็นธรรมดา แต่ควรรู้ว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ไม่ใช่คนทำอะไรตามธรรมเนียม กระทั่งเกรงว่าเขาจะไม่เห็นเรื่องบุตรภรรยาเอกหรือบุตรอนุอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ มิเช่นนั้นคงมิอาจคานอำนาจของหรงหวงมาได้นานหลายปีขนาดนี้ เขาเป็นถึงโอรสของฮองเฮาแต่กลับถูกน้องชายทั้งสองข่มจนผงาดขึ้นมาไม่ได้
หรงไหวหน้ามืดตามัวเพราะการกระกระทำของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ ดังนั้นเขาถึงกล้าบุ่มบ่ามเข้ามาตรวจค้นในจวนของอวี้อ๋องด้วยท่าทีฮึกเหิมขนาดนั้น ซ้ำยังกล้าตวาดขึ้นเสียงเรียกชื่อของหรงจิ่น ทว่าพอสิ่งเหล่านี้ไปถึงหูของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์กลับเป็นความผิดมหันต์ที่ให้อภัยไม่ได้ แม้แต่การฟาดแส้ด้วยท่าทีโหดเหี้ยมของหรงจิ่นยังกลายเป็นการกระทำทั่วไปของอาคนหนึ่งที่สั่งสอนหลานชายเท่านั้น ไม่เพียงแต่หรงไหวที่ฟังคำก่นด่านี้จนใบหน้าบูดบึ้ง เพราะแม้แต่หรงเซวียนหรงเหยี่ยนก็ยังอดลอบสบถด่าในใจว่าลำเอียงไม่ได้ หากอาอย่างพวกเขาถือแส้ฟาดหรงไหวสักยกล่ะก็ เกรงว่าฮ่องเต้คงรีบเปลี่ยนสีหน้าแล้วสั่งห้ามพร้อมให้หรงไหวถือแส้ฟาดกลับมากกว่ากระมัง
แม้แต่ตอนนี้ ทั้งๆ ที่ได้ยินหมอหลวงกล่าวว่าหรงจิ่นไม่เป็นอะไรแล้ว แต่ก็รั้นสั่งเขาแวะมาส่งของให้องค์ชายเก้าเป็นการปลอบใจอยู่ดี เหตุผลก็เพราะองค์ชายเก้ายังทรงเยาว์นัก ในเมื่อถูกพี่ชายที่อายุมากกว่าและหลานชายรังแกจึงย่อมรู้สึกเกรี้ยวโกรธในใจเป็นธรรมดา ฉะนั้นเลยจำต้องมาปลอบใจเขาสักหน่อย
หรงเหยี่ยนแอบอยากตัดพ้อเสด็จพ่อว่าเขาลำเอียงไม่รู้จบรู้สิ้นนับครั้งไม่ถ้วน ทว่า…ความเป็นจริงกลับเผยสีหน้าเอือมระอาต่อน้องชายผู้หล่อเหลาจนชวนให้น่าอิจฉายังคงล่วงเกินไม่ได้เช่นเคย ทางที่ดีพยายามดึงเข้าพวกโดยเร็วจะดีกว่า
หรงจิ่นเลิกคิ้วมองหรงเหยี่ยนด้วยสีหน้าเมินเฉย “ขอบพระทัยพี่สี่ที่เป็นห่วง ข้าระวังเนื้อระวังตัวอยู่แล้ว” คิดจะแดกดันเขาหรือ หากหรงไหวยังกล้าท้าทายอีกเขาคงพิจารณาฟาดแส้ใส่อีกสักยก เสด็จพ่อทรงอยากแสดงความรักที่มีต่อเขามากนักมิใช่หรืออย่างไร เช่นนั้นคงไม่ติดใจอะไรหากเขาจะสะบัดแส้ฟาดหลานที่ไม่เอาถ่านนี่อีกสักยก ก่อนที่ข้าจะถูกเจ้าฆ่าตาย ข้าต้องชิงลงมือฆ่าเหล่าองค์ชายหลานชายอย่างพวกเจ้าให้ตายสิ้นเสียก่อน! หรงจิ่นแอบขบคิดพลางกัดฟันพูดในใจ
เมื่อเห็นแววตาแปลกๆ ของหรงจิ่น หรงเหยี่ยนก็กลืนคำพูดปรารถนาดีที่หมายจะพูดออกมาจากปากอย่างรู้เวลา แต่ไหนแต่ไรมาหรงจิ่นก็ไม่ใช่คนเอาใจง่ายอยู่แล้ว หากครั้งนี้ไม่สำเร็จเขาก็ไม่สนใจเช่นกัน ขอแค่หรงจิ่นไม่หาเรื่องวุ่นวายมาให้เขาก็ถือว่าดีแล้ว ส่วนจะไปหาเรื่องเดือดร้อนคนอื่นหรือไม่นั้น หรงเหยี่ยนย่อมไม่ใส่ใจ
พอนึกถึงเรื่องนี้ หรงเหยี่ยนก็ลุกขึ้นเตรียมขอตัวกลับ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ น้องเก้าก็พักผ่อนรักษาตัวให้ดีเถิด พี่สี่ขอตัวกลับก่อน”
หรงจิ่นโบกมือเรียกปู้อวี้ถังตรงหน้าประตูให้ไปส่งหรงเหยี่ยน
หลังจากเห็นเงาของหรงเหยี่ยนลับตาไป รอยยิ้มที่เดิมทีปรากฏบนใบหน้าของหรงจิ่นก็ค่อยๆ จางลง พลันยิ้มเย็นชาอย่างไม่สบอารมณ์เอ่ยว่า “แต่ละคนนึกว่าข้าโง่จริงๆ หรืออย่างไร”
หรงไหวคิดจะถีบเขาออกยังช่างมันได้ แต่หรงเหยี่ยนคิดจะดึงเขาเข้าพวกเพื่อยืมมือฆ่าคนอื่น จู่ๆ หรงจิ่นก็นึกประหลาดใจขึ้นมาว่าหากวันหนึ่งธาตุแท้ของเขาปรากฏต่อหน้าพี่น้องเหล่านี้ขึ้นมา สีหน้าของพวกเขาจะเป็นเช่นไรกันบ้าง
ณ จวนฉินอ๋อง
ห้องหนังสือที่สะอาดเรียบร้อยในเดิมทีกลับกระจัดกระจายไปด้วยข้าวของ หรงไหวใช้สองดวงตาแดงก่ำจับจ้องห้องหนังสือที่เละเทะเกลื่อนกลาดตรงหน้าพลางหอบหายใจถี่ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความดุดันขึงขัง ส่วนภายในสวนดอกไม้นอกห้องหนังสือ เหล่าบุรุษที่ดูเหมือนเป็นที่ปรึกษาต่างผุดลุกผุดนั่งรอหรงไหวระบายอารมณ์ความโกรธอย่างเงียบๆ
ผ่านไปสักพัก ในที่สุดหรงไหวก็เดินออกมา ทุกคนรีบลุกขึ้นทำความเคารพ “ท่านอ๋อง”
หรงไหวแค่นเสียงเย็นชาพลางโบกมือสื่อว่าให้ลุกขึ้น ภายในห้องหนังสือไม่มีพื้นที่ให้เหยียบย่ำอีกต่อไป ทุกคนจึงนั่งลงในสวนดอกไม้พร้อมสนทนา ครั้นเห็นสีหน้าของหรงไหวยังคงขึงขังเช่นเคย บุรุษหัวหน้าคนหนึ่งจึงเอ่ยเสียงขรึมว่า “ท่านอ๋อง แต่ไหนแต่ไรมาฝ่าบาทก็ทรงโปรดปรานอวี้อ๋องอยู่แล้ว องค์ชายที่เสียเปรียบอวี้อ๋องก็มีอยู่ไม่น้อย ความจริงท่านอ๋องมิต้องเก็บมาใส่ใจเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ความจริงหลายปีมานี้พอหรงจิ่นอายุมากขึ้นก็ยิ่งนิสัยประหลาดมากขึ้นทุกวัน หากองค์ชายคนใดไม่เคยเสียเปรียบและรองรับอารมณ์องค์ชายเก้าคงเรียกได้ว่าผิดปกติ เพราะเหตุนี้หรงจิ่นจึงกลายเป็นคนชั่วช้าที่ยากจะหายาใดรักษาได้ หลังจากพวกที่คิดจะดึงองค์ชายผู้เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้มาเป็นพวกในเดิมที เจอเขาแผลงฤทธิ์ใส่เข้าหลายทีเลยต่างทยอยพับความคิดนี้เก็บไป
หรงไหวตบพนักเก้าอี้อย่างแรงทีหนึ่งก่อนตวาดขึ้น “เสด็จปู่ทรงลำเอียงเกินไปแล้ว!”
“ระวังคำพูดหน่อยพ่ะย่ะค่ะ” ที่ปรึกษาด้านล่างรีบเอ่ยโน้มน้าว มีคนในนั้นมองฉินอ๋องที่ดวงตาแดงก่ำตรงหน้าอย่างนึกกังวลใจ การเปลี่ยนไปของสถานะและตำแหน่งนำพาความเปลี่ยนแปลงมาให้คนคนหนึ่งได้มากจริงๆ แต่ก่อนใช่ว่าฉินอ๋องจะไม่เคยโดนอวี้อ๋องกลั่นแกล้งมาก่อน ถึงแม้จะไม่ได้ถูกฟาดแส้ใส่อย่างในวันนี้ แต่ก็ไม่ได้ดีกว่ากันเท่าไรเลย ฉินอ๋องในเวลานั้นยังพอกล้ำกลืนฝืนทนได้ ทว่ายามที่ควรอดทนอดกลั้นอย่างเช่นตอนนี้กลับทนไม่ไหว ไม่รู้ว่านี่เป็นเรื่องดีหรือหายนะกันแน่
หรงไหวกวาดตามองภายในสวนดอกไม้แวบหนึ่งก่อนยิ้มเย็นชาเอ่ย “ระวังคำพูด? ที่นี่ก็คนกันเองทั้งนั้นมิใช่หรือ ข้าโวยวายไม่กี่ประโยคเรื่องจะดังไปถึงหูเสด็จปู่เชียวหรือ แต่ต่อให้เรื่องดังไปถึง…” หรงไหวกลืนคำพูดหลังจากนั้นไปด้วยท่าทีขึงขัง ต่อให้เรื่องดังไปถึงหูเสด็จปู่แล้วอย่างไรเล่า เขาไม่ได้พูดเรื่องจริงหรืออย่างไร
เหล่าที่ปรึกษาต่างก็เอือมระอา มนุษย์เราย่อมมีความลำเอียง ฮ่องเต้เองก็ไม่ต่างกัน ฝ่าบาททรงพอพระทัยโปรดปรานองค์ชายเก้า ต่อให้คนอื่นๆ อิจฉาแค่ไหนก็ทำอะไรไม่ได้
หรงไหวขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าว “หรงจิ่นต้องเจอดีสักครา!”
ที่ปรึกษาผู้เป็นหัวหน้าตกใจรีบเอ่ยเกลี้ยกล่อม “ท่านอ๋อง อย่าเลยพ่ะย่ะค่ะ เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะแตะต้องอวี้อ๋อง”
หรงไหวหรี่ตาลงเล็กน้อยพลางจับจ้องที่ปรึกษาที่ท่านพ่อทรงไว้วางใจมากที่สุดขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ “ไม่ได้หรือ ทำไมเล่า ต่อให้เสด็จปู่จะทรงโปรดปรานเขา แต่เขาก็เป็นแค่องค์ชายที่ไร้อำนาจคนหนึ่งเท่านั้น กระทั่งจวนฉิงอ๋องก็ยังต่อกรด้วยไม่ได้เลยหรือ หากเป็นเช่นนี้…เช่นนั้นเจ้าก็อย่ามาพูดโอ้อวดกับข้าเลยว่าเจ้าเก่งกาจมากเพียงใด นี่เป็นที่ปรึกษาอันดับหนึ่งของจื้ออ๋องอย่างนั้นหรือ”
คนเหล่านั้นอดสีหน้าซีดลงไม่ได้ อ้าปากอึกอักหมายจะพูดอะไรแต่สุดท้ายก็ไม่พูดออกมา ดั่งคำที่ว่าไว้ว่า ข้าหลวงมักเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ที่ปรึกษาอย่างพวกเขาก็เช่นกัน ขณะที่จื้ออ๋องมีชีวิตมักเชื่อใจพวกเขา ส่วนฉินอ๋องเองก็มีคนสำคัญข้างกายเช่นกัน แล้วเขาจะให้ความสำคัญกับคนของจื้ออ๋องที่เหลืออยู่ได้เช่นไรเล่า ถึงแม้อวี้อ๋องจะไร้อิทธิพลอำนาจ แต่พระองค์เป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ามีจวงอ๋องและตวนอ๋องคอยจ้องตาไม่กะพริบ หากฉินอ๋องทำอะไรอวี้อ๋อง เกรงว่าคนที่โชคร้ายจะเป็นฉินอ๋องเสียมากกว่า
แต่เขารู้ว่าคนที่ถูกทำให้โกรธจนหน้ามืดตามัวอย่างฉินอ๋องในเวลานี้ย่อมไม่ฟังคำพูดโน้มน้าว
หรงไหวอดทำใจไม่ให้โมโหไม่ได้จริงๆ เพียงแค่คิดถึงสายตาของเหล่าอาๆ ทั้งหลายที่จับจ้องเขาในวัง เขาก็อยากสับหรงจิ่นให้แหลกละเอียด เขาเป็นถึงหลานคนโตของฮองเฮา เขาไม่ใช่บุตรของสนมที่ไร้หัวนอนปลายเท้าคนใดคนหนึ่งเสียเมื่อไร มีสิทธิ์อะไรมาทำกับเขาเช่นนี้ ทั้งๆ ที่เป็นความผิดของหรงจิ่นอยู่ทนโท่แต่เหตุใดเสด็จปู่ถึงทรงตำหนิเขาเล่า แถมตำหนิต่อหน้าเหล่าอาๆ มากมายอีกต่างหาก
หากเวลานี้ท่านพ่อของเขายังอยู่ล่ะก็คงบอกเขาว่าผ่านการขัดเกลามาน้อยเกินไป นับประสาอะไรกับคำด่าของฮ่องเต้เล่า องค์ชายที่เป็นโอรสของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์สิบเอ็ดคน นอกจากหรงจิ่นแล้วมีใครไม่เคยถูกด่าทอบ้าง ยามที่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ด่าคนขึ้นมาแสลงหูจนแทบทนไม่ไหว แต่แล้วอย่างไรเล่า หากด่าจบแล้วเหล่าองค์ชายพวกนี้จะทุกข์ทรมานเศร้าสร้อยน่ะหรือ ดังนั้นเพราะรุ่นหลานไม่เคยเข้าไปฟังงานในราชสำนัก มองโลกคับแคบ เพราะเหตุนี้จึงต้านทานแรงลมพายุใดไม่ได้เลย