“ไสหัวไปให้หมด!” หรงไหวเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
เหล่าที่ปรึกษาสบตากันแวบหนึ่งก่อนจะถอนหายใจลุกขึ้นแล้วขอตัวกลับ
ภายในสวนดอกไม้พลันตกอยู่ในความเงียบสงัด สักพักหรงไหวถึงกล่าวขึ้นเสียงขรึมว่า “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าหรงจิ่นจะสำคัญมากจนแตะต้องไม่ได้!”
องครักษ์ที่คอยรับใช้อยู่ด้านหลังหรงไหวเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ท่านอ๋องอย่าทรงกริ้วไป อย่าเสียสุขภาพเพียงเพราะอวี้อ๋องเลยพ่ะย่ะค่ะ” หรงไหวแค่นเสียงเย็นชาก่อนตวาดขึ้นว่า “จะไม่ให้ข้าโกรธได้อย่างไร ท่านพ่อจากไปแล้ว…องค์รัชทายาทเต้ากงคงต้องพึ่งพาแรงสนับสนุนของข้าเป็นหลัก พอเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป มีใครในเมืองหลวงไม่เห็นข้าเป็นตัวตลกบ้างเล่า”
องครักษ์ถอนหายใจแล้วเอ่ยเสียงเบา “อวี้อ๋องถูกฝ่าบาทตามใจจนเคยตัว แค่พอไม่ลงรอยกันแต่ถึงขั้นฟาดแส้ใส่ท่านอ๋องก็ออกจะ…”
“นั่นสิ มันเกินไปจริงๆ ใช่ไหมเล่า” หรงไหวขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “น่าเสียดายที่เสด็จปู่ไม่ทรงคิดเช่นนั้น หากข้าปล่อยให้หรงจิ่นลำพองใจต่อไปเช่นนี้ แล้วศักดิ์ศรีของหวงจั่งซุนอย่างข้าจะวางไว้ที่ใดเล่า”
“ท่านอ๋องคิดจะ…”
หรงไหวเอ่ยเสียงเย็นเฉียบ “ข้าต้องสั่งสอนหรงจิ่นสักครา!”
องครักษ์เอ่ยอย่างเป็นกังวล “แต่…ฝ่าบาททรงโปรดปรานอวี้อ๋อง หากท่านอ๋องทำอะไรอวี้อ๋องแล้วฝ่าบาททรงรู้เข้าคงไม่พอพระทัยอย่างมาก ท่านอ๋องโปรดไตร่ตรองด้วยเถิด ไม่เช่นนั้น…”
หรงไหวดวงตาไหววูบก่อนหันไปมองคนด้านหลัง “ไม่เช่นนั้นอะไรหรือ”
องครักษ์เอ่ยอย่างชั่งใจ “ในเมืองเล่าลือกันว่า…อวี้อ๋องให้ความสำคัญกับหัวหน้าผู้ดูแลกู้ในจวนอย่างมาก ไม่เช่นนั้นท่านอ๋องวางแผนจัดการสั่งสอนหัวหน้าผู้ดูแลกู้สักครั้ง แบบนี้ก็ถือว่าเป็นการสั่งสอนอวี้อ๋องด้วยเช่นกัน ต่อให้ฝ่าบาททรงทราบก็คงไม่ลงโทษท่านอ๋องเพียงเพราะหัวหน้าผู้ดูแลตัวเล็กๆ คนหนึ่งหรอกกระมัง”
หรงไหวมุ่นคิ้ว ครุ่นคิดบางอย่างอยู่พักหนึ่งก่อนผุดรอยยิ้มพึงพอใจออกมา “ความคิดนี้ไม่เลวเลย เจ้าไปจัดการ” หรงไหวออกคำสั่งเสียงเบา องครักษ์ผู้นั้นขานรับ หลังจากลับสายตาหรงไหวมาแล้ว องครักษ์ก็ผุดรอยยิ้มประหลาดขึ้นบนใบหน้า
“พี่สองแผนการดีไม่หยอก แต่ไหวเอ๋อร์จะติดกับเราหรือ”
ภายในสวนดอกไม้หลังจวนจวงอ๋อง หรงเหยี่ยนตวนอ๋องนั่งอยู่ในศาลามองทิวทัศน์หิมะด้านนอกพลางเอ่ยชื่นชมเสียงเบา ถึงแม้ด้านนอกจะปกคลุมไปด้วยหิมะอันหนาวเหน็บ แต่รอบศาลากลับปิดไว้อย่างมิดชิด ถ่านสีเงินตรงมุมด้านในมีไฟแผดเผาลุกโชน ทำให้ภายในศาลาเล็กๆ อบอุ่นน่านอนราวกับวันในฤดูใบไม้ผลิ
หรงเซวียนถือจอกสุราพลางมองภาพหิมะด้านนอก ยิ้มเย็นชากล่าว “ถึงแม้หรงไหวจะไม่ได้โง่ แต่น่าเสียดายที่ถูกพ่อของเขาเลี้ยงดูจนเสียคน หลงคิดว่าพอได้รับความสำคัญจากเสด็จพ่อก็มีศักดิ์สูงส่ง แต่กลับหารู้ไม่ว่าในสายตาของเสด็จพ่อ เกรงว่าลูกหลานองค์ชายอย่างพวกเรารวมกัน…ยังสู้น้องเก้าคนเดียวไม่ได้เสียด้วยซ้ำ”
นี่จึงเป็นสิ่งที่เหล่าองค์ชายอย่างพวกเขาไม่คิดจะทำเป็นอันขาด กระทั่งช่วงเวลาที่หรงหวงบิดาของหรงไหวยังมีชีวิตอยู่ก็ยังมิกล้าใช้สถานะความเป็นโอรสของฮองเฮารังแกหรงจิ่นเลย เพราะพวกเขารู้ดีว่าสำหรับเสด็จพ่อแล้ว พวกเขาเป็นเหมือนลูกที่มีหรือไม่มีก็ได้ มีเพียงหรงจิ่นที่เป็นดั่งลูกสุดที่รักของเสด็จพ่อ แต่หรงไหวกลับไม่รู้เรื่องเหล่านี้ ความจริงแต่ไหนแต่ไรมารุ่นหลานจะไม่ค่อยได้สัมผัสใกล้ชิดกับฮ่องเต้แคว้นเย่ว์สักเท่าไร ดังนั้นต่อให้จะรู้ว่าฮ่องเต้ทรงโปรดอวี้อ๋อง แต่ความเข้าใจและสิ่งที่สัมผัสได้ย่อมสู้เหล่าองค์ชายที่เจอมาโดยตรงไม่ได้ เพราะเหตุนี้พวกเขาถึงลอบยุยงหรงไหวให้ยุแหย่หรงจิ่น
“พี่สองพูดถูก ไหวเอ๋อร์ยังเด็กนัก เด็กมักเลี่ยงการกระทำบุ่มบ่ามได้ยาก” หรงเหยี่ยนเลิกคิ้วยิ้มบาง พวกเขาสองคนสบตากันพร้อมรอยยิ้มราวรู้ใจกันดี พวกเขาเป็นศัตรูกันก็จริง แต่ไม่มีใครตั้งกฎว่าศัตรูจะร่วมมือกันไม่ได้ พวกเขาต่างเป็นบุตรของสนม ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ต้องรวมแรงรวมใจปัดกวาดลูกหลานของฮองเฮาให้พ้นทางเสียก่อน จากนั้นค่อยแข่งแพ้ชนะกันอีกทีก็ใช่ว่าจะไม่ได้สักหน่อย
“เพียงแต่ไม่รู้ว่า…ไหวเอ๋อร์จะทำเช่นไร” หรงเหยี่ยนเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
หรงเซวียนเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ว่าทำเช่นไรก็ไม่เกี่ยวกับเรา เขาอยากเข้าไปยุแหย่น้องเก้าเองมิใช่หรือ”
“พี่สองพูดถูก”
เพิ่งผ่านพ้นปีใหม่ไปก็มีหิมะตกโปรยปรายต่อเนื่องไม่ขาดสาย ถึงจะกล่าวว่าหิมะตกถือเป็นเรื่องมงคล แต่หากตกมากเกินไปก็สร้างความลำบากได้เช่นกัน
ภายในห้องหนังสือที่แสนอบอุ่น มู่ชิงอีหลุบตาลงคอยฟังผู้ดูแลรายงานว่าบ้านในหมู่บ้านหลายหลังถูกหิมะถล่มภายในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน ประชาชนไร้ที่พักอาศัย ขณะนั้นสีหน้าก็ราบเรียบดั่งวารีไปชั่วขณะ
ปู้อวี้ถังที่นั่งอยู่อีกฝั่งมองสีหน้าของมู่ชิงอีพลางเอ่ยเสียงขรึม “นี่เป็นเรื่องของภัยธรรมชาติ ผู้ดูแลกู้อย่าเป็นเช่นนี้เลย”
มู่ชิงอีถอนหายใจแล้วมองหรงจิ่นที่อยู่ข้างกาย “ถ่ายทอดคำสั่งลงไปว่าพยายามหาที่พักพิงให้แก่ประชาชนที่ไร้บ้านพักอาศัย ส่งข้าวสารอาหารแห้งภายใต้ร้านค้าของจวนอวี้อ๋องและตระกูลกู้ไปนอกเมืองเพื่อแจกจ่ายช่วยเหลือพวกเขาเถิด”
“หัวหน้าผู้ดูแลกู้ เรื่องนี้คงไม่เหมาะสม” ปู้อวี้ถังรีบทักท้วง
มู่ชิงอีเลิกคิ้ว “ไม่เหมาะสม?”
ปู้อวี้ถังลังเลใจครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของราชสำนัก ถึงแม้จะเป็นเพราะความเมตตาของหัวหน้าผู้ดูแลกู้ แต่…เกรงว่าหากจวนอวี้อ๋องกระทำการเช่นนั้นคนนอกจะมองว่าใช้วิธีสกปรกเพื่อเอาหน้า เช่นนั้นคงไม่ดีต่อจวนอวี้อ๋องแน่”
มู่ชิงอีจับจ้องปู้อวี้ถัง ผ่านไปสักพักถึงถอนหายใจเสียงเงียบเอ่ย “ปู้ถัง ถึงอย่างไรท่านก็เคยเป็นผู้ปกครองมาก่อน”
ใบหน้าอ่อนเยาว์ของปู้อวี้ถังเผยความละอายใจพาดผ่าน เขาเคยเป็นข้าหลวงปกครองเมืองและนึกละอายใจในทุกการกระทำที่ผ่านมา แต่ในเมื่อเวลานี้เขาเป็นรองหัวหน้าผู้ดูแลของจวนอวี้อ๋องย่อมต้องวางแผนทุกอย่างเพื่อเรื่องต่างๆ ในจวนอวี้อ๋อง ดังนั้นเลยเห็นประชาชนเป็นลำดับสุดท้ายโดยไม่รู้ตัว นี่เป็นสิ่งสำคัญข้อแรกตามหลักการปกครองบ้านเมืองที่เขาเคยเรียนมาในตอนนั้นเชียว
มู่ชิงอีส่ายศีรษะ ความจริงปู้อวี้ถังก็ไม่ได้ทำผิดอะไร บัดนี้เขาทำงานในจวนอวี้อ๋องย่อมให้ความสำคัญกับเรื่องในจวนอวี้อ๋องเป็นอันดับแรก ดังนั้นนางเลยไม่ได้เอ่ยเรื่องนี้ให้ยืดเยื้ออีก เพียงแค่เอ่ยเสียงขรึมว่า “ต่อให้จะถูกมองว่าใช้วิธีสกปรกเพื่อเอาหน้า แต่ก็ดีกว่าคนที่ไม่ทำอะไรเลย ยิ่งไปกว่านั้นด้วยชื่อเสียงของจวนอวี้อ๋องแล้วจะมีเกียรติศักดิ์ศรีใดอีกหรือ”
องค์ชายคนอื่นอาจกังวลว่าจะถูกคนอื่นมองว่าเอาหน้า แต่จวนอวี้อ๋องไม่ต้องไปกังวลเรื่องนี้เลย เพราะเดิมทีชื่อเสียงของอวี้อ๋องก็ย่ำแย่ถึงขีดสุดแล้ว ต่อให้ทำอะไรก็คงถูกมองว่าจู่ๆ เป็นบ้าอะไรขึ้นมาเสียมากกว่า แต่บางครั้งผลลัพธ์จากความคิดเช่นนี้ก็ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงไม่น้อยเช่นกัน
“ประชาชนเหล่านั้น…แตกต่างจากคนในเมืองหลวง” มู่ชิงอีเอ่ยพลางถอนหายใจเสียงเบา ประชาชนธรรมดาพวกนั้นค่อนข้างอ่อนโยน จิตใจดี โอบอ้อมอารี ไร้พละกำลังที่จะต่อต้าน นอกจากจะทนไม่ไหวจริงๆ มิเช่นนั้นพวกเขาก็คงว่าง่ายเชื่อฟังเช่นนี้ตลอดไป หากมีคนทำดีด้วยพวกเขาก็จะซาบซึ้งใจ ซึ่งแตกต่างจากพวกตระกูลทรงอิทธิพลที่ทะเยอทะยานและโลภมากเหล่านั้นอย่างสิ้นเชิง
ครั้นเห็นสีหน้าราบเรียบของหนุ่มน้อยชุดขาว ปู้อวี้ถังก็ก้มหน้าจำยอมแต่โดยดี “หัวหน้าผู้ดูแลกู้พูดถูก อวี้ถังผิดเอง” ควรกล่าวว่าสมแล้วที่มาจากตระกูลผู้ดี ถึงแม้จะเกิดมาในกองเงินกองทอง ผ่านหายนะตระกูลล่มสลายตั้งแต่อายุยังน้อย ทว่าความเห็นอกเห็นใจและความเมตตาที่มีต่อประชาชนกลับฝังลึกอยู่ในกระดูกดำ
หรงจิ่นมองพวกเขาสองคนแล้วถอนหายใจเบาๆ เอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ทำตามที่จื่อชิงบอกเถิด”
มู่ชิงอีมองหรงจิ่นแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “กระหม่อมอยากออกไปดูนอกเมืองสักหน่อย”
หรงจิ่นมุ่นคิ้วแล้วเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วยนักว่า “ราชสำนักย่อมส่งคนไปแจกจ่ายข้าวสารอาหารแห้งอยู่แล้ว พวกเราเองก็ส่งคนออกไปแจกจ่ายแล้วเช่นกัน จื่อชิงยังไม่วางใจเรื่องใดอีกหรือ”