หรงจิ่นยิ้มเอ่ย “ชิงชิงวางใจเถิด ข้าไม่ได้มีความแค้นกับพวกเขา” ถึงแม้เขาจะไม่ได้ชอบนักแต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นดูแคลนราวกับเป็นต้นหญ้าเล็กๆ อย่างน้อยคนพวกนี้ก็น่ามองมากกว่าคนในวังหลวงอยู่มาก
บัดนี้พอจวนอวี้อ๋องและตระกูลกู้อยู่ภายใต้การจัดการของมู่ชิงอีก็ได้ประสิทธิภาพถึงขีดสุด ผ่านไปสักพักร้านข้าวสารอาหารแห้ง โรงหมอ กระทั่งโรงทอผ้าภายใต้นามอวี้อ๋องก็นำเสบียงมาถึงอย่างว่องไว จัดการซ่อมแซมบ้านพักอาศัยที่ไม่ได้ถล่มลงมาพร้อมรักษาอาการคนที่บาดเจ็บหนัก จุดที่ไม่มีลมหนาวพัดผ่านบนพื้นหิมะเกิดประกายไฟลุกโชน ผ่านไปสักพักก็มีกลิ่นโจ๊กหอมฉุยร้อนๆ และกลิ่นยาลอยมาเตะจมูก
เสื้อผ้ามากมายถูกทับอยู่ใต้กองหิมะจนใส่ไม่ได้อีก ตระกูลกู้เองก็ส่งเสื้อผ้าเก่าและผ้านวมมากมายมาเช่นกัน ผู้หญิงหลายคนรีบเข้ามามุงช่วยกันตัดเย็บเสื้อผ้าเพื่อใช้กันลมหนาว ถึงแม้จะยังหนาวเหน็บ ถึงแม้จะรู้สึกหมดหวังกับสภาพตรงหน้า แต่ถึงอย่างไรก็สัมผัสได้ถึงไออุ่นจางๆ
ศาลบรรพชนภายในหมู่บ้าน บัดนี้เป็นสถานที่เพียงแห่งเดียวที่ยังคงรักษาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ที่สุดในตอนนี้แล้ว เหล่าราษฎรและผู้บาดเจ็บมากมายต่างพักรักษาตัวที่นี่ มู่ชิงอีและหรงจิ่นนั่งอยู่ข้างกองไฟภายในศาลบรรพชนโดยไม่คิดรังเกียจสภาพซอมซ่อนั้นเลยสักนิด
ผู้เฒ่าร่างกายโงนเงนผู้นั้นอายุมากที่สุดในหมู่บ้านแห่งนี้แล้ว เวลานี้เขาสวมเสื้อกันลมของหรงจิ่นนั่งอยู่ข้างกองไฟพลางใช้แววตาซาบซึ้งระคนตกใจจับจ้องพวกเขาทั้งสองที่ใบหน้างดงามหล่อเหลายิ่งกว่าเทพเซียนในภาพวาดเสียอีก
หรงจิ่นย่อมนึกรำคาญใจเลยหลับตาพักผ่อน ทว่าคนจิตใจดีอย่างมู่ชิงอีกลับอมยิ้มบางส่งกลับไปให้ผู้เฒ่าที่กวาดตามองมาทางพวกเขาแทน
ผู้เฒ่ามองรอยยิ้มสดใสของหนุ่มน้อยชุดขาวตรงหน้า ลังเลใจครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นว่า “พวกท่านทั้งสองมาจากเมืองหลวงหรือ”
มู่ชิงอียิ้มกล่าว “ท่านผู้เฒ่าอย่าเกรงใจไปเลย ข้าแซ่กู้ ส่วนเขา…เรียกเขาว่าองค์ชายเก้าก็พอแล้ว”
ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “พวกท่านทั้งสองช่วยพวกเรามากมายเหลือเกิน…ข้าไม่รู้ว่าควรขอบคุณเช่นใดเลยจริงๆ” ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น หากไม่มีหมอมาดูอาการคนบาดเจ็บจากเหตุการณ์หิมะถล่มได้ทันเวลา แปดเก้าในสิบคนเหล่านั้นคงไม่รอดแน่ เดิมทีอาการป่วยของคนธรรมดาล้วนขึ้นอยู่กับสวรรค์อยู่แล้ว อย่างเช่นในเวลานี้คงทำได้แค่ฟังคำบัญชาจากสวรรค์เท่านั้น
มู่ชิงอียิ้มบางเอ่ย “แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ท่านผู้เฒ่าอย่าได้กังวลไปเลย อีกเดี๋ยวทางราชสำนักก็คงมาช่วยหมู่บ้านซ่อมแซมสร้างใหม่ ไม่ว่าอย่างไร…เรื่องนี้ก็จะผ่านไปด้วยดี”
ท่านผู้เฒ่าถอนหายใจพร้อมพยักหน้าเอ่ย “คุณชายพูดถูก” เขาเพียงแค่ฝืนเค้นรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย ถึงอย่างไรท่านผู้เฒ่าก็มีชีวิตอยู่มาถึงเจ็ดสิบปีย่อมผ่านเรื่องใดๆ มามากกว่า ที่แห่งนี้ไม่ได้ห่างจากเมืองหลวงมากนัก แต่ผ่านไปนานขนาดนี้แล้วคนในราชสำนักกลับยังไม่ส่งคนมา เกรงว่าคงฝากความหวังไว้กับราชสำนักไม่ได้กระมัง
“คุณชาย ข้ามีเรื่องด่วนมารายงาน” มีบุรุษสวมชุดผ้าป่านคนหนึ่งปรากฏตัวอยู่นอกประตู เขาเป็นหนึ่งในทหารหกสิบคนที่หรงจิ่นพามาจากเมืองเทียนเชวีย แต่ภายหลังถูกมู่ชิงอีจัดให้ไปอยู่ในหมู่บ้านของตระกูลกู้เป็นการชั่วคราว
มู่ชิงอีฉงนใจ ลุกขึ้นแล้วเอ่ย “เข้ามาคุยด้านในเถิด”
บุรุษผู้นั้นเข้าประตูมาแล้วเอ่ยเสียงขรึม “ด้านล่างเขาชุ่ยอวิ๋นที่ห่างจากที่นี่ไปอีกสี่สิบลี้มีหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง เมื่อคืนจู่ๆ เขาชุ่ยอวิ๋นก็ถล่มลงมาก หมู่บ้านถูกทับไปเกินกว่าครึ่งขอรับ!”
มู่ชิงอีสูดลมหายใจเข้าลึก ส่วนหรงจิ่นที่อยู่ด้านข้างก็ลุกขึ้นพลางเบิกตากว้าง
มู่ชิงอีหันไปเอ่ยกับผู้เฒ่าว่า “ท่านผู้เฒ่า พวกเราคงต้องขอตัวลาก่อน”
ผู้เฒ่าเองก็รู้ว่าเป็นเหตุการณ์คับขันเลยไม่กล้ารั้งไว้ “ผู้มีพระคุณทั้งสองโปรดระวังตัวด้วย”
ขบวนคนกลุ่มหนึ่งออกจากหมู่บ้านไปอย่างรวดเร็ว แต่ประจวบกับปู้อวี้ถังมาถึงพอดี หรงจิ่นตวาดขึ้นด้วยใบหน้าอันดุดัน “ผู้ว่าการของเมืองหลวงตายไปแล้วหรืออย่างไรกัน”
ปู้อวี้ถังเผยสีหน้าจนใจพร้อมปาดเม็ดเหงื่อที่ผุดบนหน้าผากเพราะรีบวิ่งมาแล้วกล่าว “ยัง…ยังพ่ะย่ะค่ะ แต่…เมื่อคืนผู้ว่าการจัดงานเลี้ยง ตอนนี้เลยยังไม่สร่างเมา”
“หากผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้วยังไม่เจอเขาอีก ข้าจะไปช่วยทำให้เขาสร่างเมาเอง” หรงจิ่นเอ่ยเสียงเย็นยะเยือก
หมู่บ้านเล็กๆ นั้นตั้งอยู่ห่างจากเมืองหลวงออกไปราวหกสิบเจ็ดสิบลี้ซึ่งไม่เป็นที่เตะตาเท่าไรนัก ถึงแม้ตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเมืองหลวง ทว่าไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของเมืองหลวง หากหมู่บ้านละแวกเมืองหลวงยังไม่มีใครมาดูแล สถานที่แบบนี้ยิ่งไม่มีใครใส่ใจเข้าไปใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เพิ่งผ่านช่วงปีใหม่มา แต่ยังไม่พ้นปีใหม่ดีก็เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นเสียแล้ว หากกราบทูลฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ไปก็จะเป็นการหาเหาใส่หัว ดังนั้นเหล่าขุนนางจึงปกปิดเรื่องนี้ไว้
หมู่บ้านแห่งนั้นตั้งอยู่ตรงตีนเขาชุ่ยอวิ๋น เพราะเหตุนี้ถึงเรียกว่าหมู่บ้านชุ่ยอวิ๋น ปกติมีคนค้าขายแวะเวียนไปมาไม่ขาดสายเพราะติดกับเมืองหลวง ชาวบ้านในหมู่บ้านเองก็ใช้ชีวิตไม่เลวเลยทีเดียว แต่ครั้งนี้กลับประสบภัยพิบัติกะทันหัน หิมะที่ตกโปรยปรายลงมาต่อเนื่องถึงหนึ่งวันหนึ่งคืนทำให้บ้านพักอาศัยที่ไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไรทยอยถล่มลงมา แค่นี้ยังพอว่า แต่เพราะเขาชุ่ยอวิ๋นที่อยู่ด้านหลังหมู่บ้านแห่งนี้ถล่มลงมาด้วยเลยทำให้หิมะชั้นหนาลึกอันหนาวเหน็บพลอยทับชาวบ้านตาดำๆ ไปด้วย
ยามที่มู่ชิงอีและหรงจิ่นมาถึงเขาชุ่ยอวิ๋นก็ปาไปตอนบ่ายแล้ว ทั่วทั้งหมู่บ้านถูกถล่มเละไปครึ่งหนึ่งอย่างที่รายงานจริงๆ บ้านเรือนครึ่งหมู่บ้านถูกฝังอยู่ใต้หิมะและดินโคลน ส่วนอีกครึ่งก็ถูกหิมะทับปกคลุมจนขาวโพลน ทั่วทั้งหมู่บ้านเต็มไปด้วยเสียงร่ำไห้ดังระงมกึกก้อง
มู่ชิงอีมุ่นคิ้วเอ่ย “เหตุใดข้าหลวงในวังถึงไม่ส่งคนมาสักที”
ปู้อวี้ถังที่อยู่ด้านหลังเอ่ยเสียงต่ำ “คุณชายกู้คงไม่รู้ว่าปกติหมู่บ้านเล็กๆ เช่นนี้จะไม่มีคนคอยดูแล หากเกิดเรื่องใดขึ้นก็ต้องส่งจดหมายไป…จากนั้นค่อยเอาขึ้นไปรายงานต่อ”
ข้าหลวงในราชสำนักที่ตำแหน่งต่ำต้อยที่สุดในโลกใบนี้ก็คงไม่พ้นหมื่นแคว้น ดังนั้นฮ่องเต้จึงไม่สนใจคนตำแหน่งเล็กๆ เหล่านี้ ทั้งหมดล้วนเป็นหน้าที่ของเหล่าอาวุโสตามเมืองแขวนต่างๆ มู่ชิงอีขมวดคิ้วเอ่ย “ต่อให้เป็นเช่นนั้น ผ่านไปนานขนาดนี้ก็ยังไม่มีใครมาสอดส่องดูบ้างเลยหรือ”
ปู้อวี้ถังยิ้มเจื่อนอย่างระอาใจ จุดที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงไม่ไกลยังรับมือไม่ทันเลย นับประสาอะไรกับหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลถึงหกสิบเจ็ดสิบลี้เล่า
มู่ชิงอีรู้ว่าเรื่องนี้คงโทษปู้อวี้ถังไม่ได้ ถอนหายใจเสียงเบาเอ่ย “ท่านไปจัดการเรื่องของท่านเถิด” ปู้อวี้ถังประสานมือทำความเคารพพวกเขาสองคนแล้วรีบหมุนตัวเดินจากไป
พวกเขาสองคนเดินมายังถนนที่ข้าวของเกลื่อนกลาด เด็กน้อยที่ไร้บ้านพักพิงมากมายต่างหลบอยู่ใต้ชายคาสองข้างทางพลางจับจ้องบุรุษใบหน้างดงามเหนือใครทั้งสองตรงหน้าอย่างระแวดระวัง ปู้อวี้ถังจัดการหาบุรุษร่างบึกบึนมาช่วยเหลือคน หาเสบียงอาหารและไปรับขบวนเสบียงที่ขนมาจากเมืองหลวงจึงไม่มีใครว่างดูแลเด็กน้อยวัยเยาว์และสตรีร่างบอบบางเหล่านี้
บนท้องฟ้ามีหิมะตกโปรยปรายลงมาอีกแล้ว ครั้นเห็นเด็กน้อยร่างสั่นสะท้านท่ามกลางลมหนาว มู่ชิงอีก็ถอนหายใจแล้วเดินไปหาเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังจูงมือเด็กสาววัยสี่ห้าขวบตรงหน้า เอ่ยถามเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าชื่ออะไร อายุกี่ขวบแล้ว”
ดูท่าทางเด็กผู้ชายอายุคงราวเจ็ดแปดขวบเท่านั้น แต่สายตาที่มองมู่ชิงอีกลับเต็มไปด้วยความระแวงและป้องกันตัว เมื่อเห็นว่าเขาไม่ยอมตอบ มู่ชิงอีเองก็ไม่สนใจแล้วยกมือขึ้นลูบศีรษะของเด็กสาวตัวน้อยเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “หนูน้อย เจ้าชื่ออะไรหรือ”
เด็กสาวเผยดวงตาสุกใส ถึงแม้จะยังคงสับสนมึนงง แต่เพราะความไม่รู้เลยยิ่งขับให้ไร้เดียงสามากกว่าเดิม เด็กสาวแหงนหน้ามองพี่ชายก่อนเม้มริมฝีปากตอบ “ข้าชื่อว่าอวิ๋นเอ๋อร์ สี่ขวบแล้วเจ้าค่ะ”