มู่ชิงอียิ้มเย้ย “ราคาเป็นธรรมหรือ เจ้าสัวเฉินนึกว่าพวกข้าโง่มากกระมัง ตอนนี้ราคาข้าวตกอยู่ที่เจ็ดถึงแปดเหวินต่อลิตร เจ้าสัวเฉินโพล่งว่าต้องการยี่สิบเหวิน เห็นพวกเราใช้จ่ายเงินสุรุ่ยสุร่ายนักหรืออย่างไร”
เจ้าสัวเฉินเผยสีหน้าบูดบึ้ง เขาเห็นสองคนนี้ดูร่ำรวยจริงๆ แค่ดูก็รู้ว่าเป็นคุณชายจากตระกูลมั่งคั่งที่มีบริวารเหลือเฟือ ครั้นเห็นชาวบ้านเหล่านี้เดือดร้อนเลยฮึกเหิมอยากเป็นคนดีขึ้นมาชั่วขณะ ดังนั้นถึงเปิดปากเสนอราคาสูงลิ่ว เวลานี้พอถูกมู่ชิงอีหักหน้าจึงเผยสีหน้าไม่สู้ดี แค่นเสียงเบาทีเอ่ย “ในเมื่อพวกเจ้าทั้งสองเห็นว่าแพง เช่นนั้นก็ไปซื้อที่อื่นเถิด ข้าขายข้าวราคานี้แหละ”
มู่ชิงอีกลอกตาพลางอมยิ้มบาง “เอาเถิด ท่านเอาตั๋วเงินไปแล้วข้าจะให้คนมาขนข้าว เจ้าสัวเฉินบอกว่า…อยากได้เท่าไรก็มีมากเท่านั้นใช่หรือไม่”
เจ้าสัวเฉินยิ้มร่าพลันลอบยิ้มเยาะว่าสองคนนี้ช่างโง่เขลาจริงๆ จากนั้นก็รีบคว้าตั๋วเงินมา แต่ละใบเป็นตั๋วเงินราคาพันตำลึงทั้งสิ้น ทันใดนั้นเขาก็เอ่ยอย่างพึงพอใจว่า “ไม่เลวเลย! เจ้าให้คนมาขนไปได้เลย”
จากนั้นมู่ชิงอีก็เผยสีหน้าขรึมเอ่ยยิ้มเสียงเย็นชา “ใครก็ได้เข้ามานี่ ขนข้าวสารอาหารแห้งของจวนตระกูลเฉินออกไปให้หมด ห้ามเหลือแม้แต่ข้าวเม็ดเดียว อีกอย่างห้ามทุกคนในจวนตระกูลเฉิน…ออกจากเรือนแม้แต่ก้าวเดียว!”
องครักษ์คนหนึ่งนอกประตูขานรับ “น้อมรับคำสั่ง!”
เจ้าสัวเฉินชะงักไป “เจ้า…คุณชายหมายความว่าเช่นใดกัน” มู่ชิงอียิ้มบางเอ่ย “เจ้าสัวเฉินบอกว่าอยากได้เท่าไรก็มีมากเท่านั้นมิใช่หรือ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น…ท่านมีเท่าใดข้าก็จะเอามากเท่านั้น หรือจะบอกว่าตั๋วเงินในมือไม่พอหรือ”
พออยู่แล้ว อย่าว่าแต่ข้าวสารอาหารแห้งในร้านและจวนของเขาเลย ต่อให้ขายร้านค้าไปพร้อมด้วยยังพอด้วยซ้ำ มู่ชิงอีพยักหน้าเอ่ยอย่างพึงพอใจ “หากพอแล้วก็ดี เช่นนั้น…ท่านเฉินโปรดอยู่ในจวนดีๆ ไปแล้วกัน”
เจ้าสัวเฉินกำตั๋วเงินในมือพร้อมเหม่อลอยอย่างคนไร้สติ
หลังจากได้สติกลับมาก็ค้นพบว่าทุกคนในตระกูลเฉินถูกกักบริเวณเรียบร้อย อีกทั้งเป็นเวลาที่ในจวนตระกูลเฉินไม่มีแม้แต่ข้าวเม็ดเดียว ในที่สุดเจ้าสัวเฉินก็เข้าใจขึ้นมาทันทีว่าหนุ่มน้อยชุดขาวผู้นั้นต้องการจะทำอะไร
จวนตระกูลเฉินกักตุนข้าวสารอาหารแห้งไว้ไม่น้อยเลยจริงๆ พอมีเสบียงพวกนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ไม่นานเหล่าคนไร้บ้านก็ถูกจัดไปอยู่ในเรือนที่ยังสมบูรณ์อยู่ ส่วนชาวบ้านที่ได้รับบาดเจ็บก็มีหมอคอยรักษา ข้าวสารอาหารแห้งที่ขนมาจากร้านค้าของตระกูลเฉินช่วยทำให้ทุกคนอิ่มท้อง ทุกคนต่างพากันซาบซึ้งใจคุณชายทั้งสองที่จู่ๆ โผล่มาราวกับเทพเซียนก็ไม่ปาน ทว่าครั้นไม่เห็นวี่แววของคนในราชสำนัก มู่ชิงอีที่ยังอยู่ในเรือนเฉินก็เริ่มเผยสีหน้าเคร่งขรึมลงเรื่อยๆ
เพราะกลับเมืองหลวงไม่ได้ พวกเขาทั้งสองเลยนอนพักที่จวนตระกูลเฉินหนึ่งคืน เช้าตรู่วันต่อมาภายนอกก็ยังคงขาวโพลนเฉกเช่นเดิม ทว่าชาวบ้านในหมู่บ้านกลับไม่ได้อกสั่นขวัญแขวนอีกต่อไป บางคนยังพยายามตามหาญาติพี่น้องภายใต้ซากปรักหักพัง ส่วนบางคนเริ่มทำความสะอาดจุดที่บ้านเรือนเสียหายพลางเก็บข้าวของที่ยังพอใช้ได้ขึ้นมา และบางคนก็เริ่มทำความสะอาดบ้านเรือนของตนเพื่อเตรียมเริ่มต้นชีวิตใหม่
ภายในจวนตระกูลเฉิน นอกเสียจากเมื่อวานคนในตระกูลเฉินเริ่มหิวแล้ว ทุกอย่างก็ยังคงเรียบร้อยดี
“จื่อชิง ทานอาหารเช้าก่อนเถิด” มู่ชิงอีเดินเข้าโถงใหญ่มาก็เห็นหรงจิ่นรออยู่ที่นั่นพร้อมโจ๊กที่มีไอร้อนพวยพุ่งหอมกรุ่นบนโต๊ะอยู่ก่อนแล้ว แต่แตกต่างจากโจ๊กเนื้อหยาบของชาวบ้านด้านนอกอย่างสิ้นเชิง มู่ชิงอีเลิกคิ้วถาม “เอามาจากไหนกันเพคะ”
หรงจิ่นยิ้มเอ่ย “คนครัวของตระกูลเฉินดีไม่หยอก” ภายในจวนตระกูลเฉิน คนที่ไม่ต้องทนหิวโซก็คงมีแต่คนครัวนี่แหละ ในเมื่อหรงจิ่นต้องการพ่อครัวมาทำกับข้าวนี่นา
มู่ชิงอียิ้มพลางนั่งลงทานโจ๊กที่หรงจิ่นส่งมาให้ มู่ชิงอีมองหิมะขาวโพลนด้านนอกพลางขมวดคิ้วเอ่ย “กระทั่งตอนนี้ก็ยังไร้วี่แวว คนในราชสำนักช่างใจกล้านัก”
หรงจิ่นเอ่ยเสียงเนิบๆ “ชิงชิงอย่าโกรธไปเลย เมื่อคืนข้าเรียกให้อู๋ฉิงกลับไปทูลรายงานเสด็จพ่อแล้ว เดี๋ยวคงมีคนมา”
มู่ชิงอีถอนหายใจเอ่ย “หากเรื่องเล็กแค่นี้ต้องรอให้ฝ่าบาททรงรับสั่งก่อนถึงลงมือทำ แล้วถ้าเกิดเรื่องใหญ่ใดขึ้นคงยากจะจินตนาการได้ว่าเหตุการณ์จะเป็นเช่นไรจริงๆ”
หรงจิ่นเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ความจริงควรจัดการคนพวกนี้สักรอบ”
หลังจากทานมื้อเช้าเสร็จ พวกเขาก็เดินเคียงไหล่ออกจากประตูมา เด็กผู้ชายคนเมื่อวานจับมือน้องสาวรออยู่ตรงหน้าประตูคล้ายกำลังรอพวกเขาอยู่ มู่ชิงอีเอ่ยถามอย่างแปลกใจ “เช้าขนาดนี้ พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่”
เด็กผู้ชายมองนางพลางจ้องไปทางหรงจิ่นแล้วเอ่ย “พวกท่านช่วยข้า ข้าต้องตอบแทน”
มู่ชิงอีอดคลี่ยิ้มไม่ได้แล้วเอ่ย “หืม เจ้าจะตอบแทนข้าเช่นใดหรือ”
เด็กผู้ชายกล่าว “เป็นทาสรับใช้ ไม่ว่าท่านให้ข้าทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น” มู่ชิงอีถอนหายใจพลางยกมือลูบศีรษะของเขายิ้มเอ่ย “ข้าไม่ได้ต้องการให้เจ้าทำสิ่งใด เจ้ายังเล็กนัก พ่อแม่ของเจ้าเล่า”
เด็กผู้ชายเอ่ยเสียงเบาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “พวกเขาตายหมดแล้ว”
มู่ชิงอีพูดไม่ออก เด็กเจ็ดแปดขวบคนหนึ่งต้องเลี้ยงน้องสาวอายุที่เพิ่งสี่ขวบเท่านั้น…
นางเงียบไปครู่หนึ่งถึงเอ่ย “ข้ามีฟาร์มอยู่ฟาร์มหนึ่ง ในนั้นเลี้ยงสัตว์ไว้บางส่วน ข้าต้องการคนมาช่วยเลี้ยงแพะ เจ้าทำได้หรือไม่”
เด็กผู้ชายดวงตาลุกวาว “ข้าเลี้ยงแพะเป็น แต่…ข้าพาน้องสาวไปด้วยได้หรือไม่” มู่ชิงอีเอ่ย “ได้อยู่แล้ว ถ้าเจ้าต้องการล่ะก็ เจ้ายังสามารถเรียนศิลปะป้องกันตัวหรือเรียนหนังสือด้วยก็ได้ รอเจ้าโตก่อนค่อยคืนเงินที่ติดค้างข้าแล้วกัน”
“ได้ คำไหนคำนั้นขอรับ!” เด็กผู้ชายเอ่ยพลางยิ้มร่า
มู่ชิงอียิ้มกล่าว “คำไหนคำนั้น เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน พอถึงเวลาจะมีคนมารับเจ้า ดูแลน้องสาวให้ดีล่ะ” มู่ชิงอีลูบบ่าของเขาก่อนหันไปพูดกับหรงจิ่นว่า “พวกเราไปกันเถิด”
หรงจิ่นก้มหน้าเหลือบมองเด็กผู้ชายที่ดวงตาเป็นประกายแวบหนึ่ง จากนั้นก็เดินจากไปอย่างเงียบๆ
เด็กผู้ชายด้านหลังตะโกนขึ้นว่า “ขอบคุณท่านมาก ข้ามีนามว่าเว่ยไหว”
มู่ชิงอีหันกลับไปยิ้มแผ่วเบา “ข้ามีนามว่ากู้หลิวอวิ๋น”
หรงจิ่นพูดไว้ไม่ผิดเลยจริงๆ ยังไม่ถึงตอนเที่ยงราชสำนักก็ส่งคนมาแล้ว อีกทั้งยังพากันมาไม่น้อย ไม่เพียงแต่คนของผู้ว่าการเมืองหลวงเท่านั้น ทว่ายังมีคนของท่านอ๋องและองค์ชายคนอื่นๆ…ไม่ว่าจะเป็นฉินอ๋องหรงไหว จวงอ๋องหรงเซวียน ตวนอ๋องหรงเหยี่ยน หมู่บ้านเล็กๆ อย่างชุ่ยอวิ๋นมีองค์ชายโผล่มาถึงสี่คนในคราวเดียว วันหน้าคงถือว่าเป็นสถานที่ที่ควรค่าแก่การหวงแหนไม่น้อย อีกทั้งสีหน้าของเหล่าอ๋องทั้งหลายยังดูไม่ดีเท่าใดนัก ไม่ต้องคิดก็พอเดาได้ว่าคงถูกฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก่นด่ามาด้วย
ใต้เท้าผู้ว่าการผู้นั้นยิ่งหน้าดำคร่ำเครียด ครั้นเห็นหรงจิ่นเดินรุดหน้าเข้ามาก็คุกเข่าก้มหน้าลงพื้นโดยไม่คิดสนใจว่าอยู่กลางถนนเลยสักนิด “กระหม่อม…กระหม่อมขอคารวะองค์ชายเก้าอวี้อ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
ทุกคนรอบข้างต่างตกตะลึง พวกเขานึกไม่ถึงว่าคนฐานะดีที่จู่ๆ โผล่มาเมื่อคืนจะเป็นองค์ชายเก้าที่ใครหลายคนต่างเล่าลือถึงชื่อเสียงอันเสื่อมเสียกันอย่างเห็นได้ชัด
หรงจิ่นยิ้มเย็นชากล่าว “คงมิบังอาจ ในเมื่อใต้เท้าผู้ว่าการเก่งกาจมากถึงเพียงนี้ เมื่อคืนข้าส่งคนไปบอกข่าวเจ้าแล้ว แต่เจ้าดันโผล่มาตอนนี้ ช่างโอหังเสียจริง”
ผู้ว่าการหน้าซีดเอ่ยเสียงสั่นเครือ “กระหม่อม…กระหม่อมสำนึกผิดแล้ว” ถึงแม้หรงจิ่นจะส่งคนไปบอกข่าว แต่เขากลับไม่เก็บเอามาใส่ใจเลยสักนิด สิ่งสำคัญที่สุดก็คือยังไม่ผ่านพ้นช่วงปีใหม่ดีก็เกิดภัยพิบัติหิมะตกหนักจนคร่าชีวิตผู้คนไปมากมายแล้ว หากกราบทูลฝ่าบาท เกรงว่าฝ่าบาทจะทรงกริ้วเอาได้ ดังนั้นข้าหลวงเบื้องล่างตัวเล็กๆ และเหล่าองค์ชายทั้งหรงเซวียนและหรงเหยี่ยนจึงต่างปิดข่าวอย่างเงียบกริบ แต่กลับนึกไม่ถึงว่าหรงจิ่นที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่คิดสนใจเรื่องบ้านเมืองกลับคาบข่าวมากราบทูลฮ่องเต้เสียได้