หรงเซวียนกวาดตามองหรงไหวแวบหนึ่ง เดิมทีเขาคิดว่าแม้หรงไหวเจ้าคิดเจ้าแค้น แต่ก็นับว่าเป็นบุคคลที่มองข้ามไม่ได้เลยทีเดียว ทว่าบัดนี้ดูท่าทางแล้วก็ธรรมดา รีบถือโอกาสกำจัดทิ้งโดยเร็วเสียดีกว่า คนที่ทั้งโง่เขลาและไร้เหตุผลมากกว่าพวกเขาเช่นนี้ ช่างน่าอับอายเสียจริง
ครั้นหรงเซวียนเห็นหรงไหวกระฟัดกระเฟียดเดินออกไปเช่นนั้นก็ขมวดคิ้ว จากนั้นก็หันไปมองหรงเหยี่ยนเอ่ย “น้องเก้านิสัยเด็กน้อยเสียจริง” บทจะมาก็มา บทจะไปก็ไป เขาไม่สนใจเรื่องต่อจากนี้และนึกถึงความคิดของเสด็จพ่อแม้แต่น้อย มีเพียงองค์ชายเก้าคนโปรดเท่านั้นที่จะมีอิสระทำเช่นนี้ได้
หรงเหยี่ยนมุ่นคิ้วเล็กน้อย เอ่ยเสียงขรึม “ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว พี่รองระวังไว้หน่อยดีกว่า ต่อให้เรื่องหลังจากนี้น้องเก้าจะไม่เข้ามายุ่งด้วย แต่เกรงว่าเหล่าราษฎรจะจดจำแต่บุญคุณของน้องเก้ามากกว่า” ในเมื่อความดีความชอบที่เสริมให้ดูดีขึ้นและการช่วยเหลือในยามทุกข์ยากเป็นเรื่องที่ชวนให้คนซาบซึ้งใจมากอยู่แล้ว ถึงแม้ตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ถือว่าสร้างภาพลักษณ์ที่ดีมากขนาดนั้น แต่การกระทำของน้องเก้าเมื่อวานกลับเป็นการช่วยเหลือคนอื่นๆ ไม่น้อยเลยทีเดียว
หรงเหยี่ยนแอบรู้สึกลึกๆ ว่าน้องเก้าไม่ธรรมดาอย่างที่ตนคิดไว้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ส่วนเรื่องกู้หลิวอวิ๋น รวมถึงเรื่องครั้งนี้ไม่มีทางเป็นเรื่องบังเอิญแน่นอน หากเป็นเรื่องบังเอิญมากมายขนาดนั้น เช่นนั้นคงต้องมีเงื่อนงำบางอย่างซ่อนไว้แน่นอน
หรงเซวียนเงียบไปครู่หนึ่ง พยักหน้าแล้วเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นบัดนี้คนที่สำคัญที่สุดก็คือฉินอ๋อง” ใช่ว่าหรงเซวียนจะมองหรงจิ่นไม่ออก แต่ความจริงหรงจิ่นไม่มีอะไรเลย เขามีเพียงความรักใคร่โปรดปรานของเสด็จพ่อเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ทว่าหรงไหวกลับแตกต่างกันออกไป ถึงอย่างไรเขาก็ขึ้นชื่อว่าเป็นหลานคนโตของฮ่องเต้ รวมถึงมีฮองเฮาในวังเป็นแรงหนุน กระทั่งอิทธิพลมากมายที่จื้ออ๋องทิ้งไว้ สิ่งเหล่านี้อดสร้างความระแวงให้พวกเขาไม่ได้
หรงเหยี่ยนพยักหน้ากล่าว “พี่รองพูดถูก” หรงจิ่นเป็นเช่นไรค่อยลอบสังเกตการณ์แบบลับๆ แต่ภัยคุกคามอย่างหรงไหวกลับวางทนโท่อยู่ตรงหน้า ดังนั้นคงไม่กำจัดไม่ได้
มู่ชิงอีและหรงจิ่นยังคงเดินอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่วุ่นวายอย่างช้าๆ ราษฎรรอบด้านไม่ได้มีท่าทีอกสั่นขวัญแขวนเฉกเช่นเมื่อวานแล้ว ถึงแม้จะปรากฏความหดหู่และโศกเศร้าบนใบหน้า แต่เริ่มมีแสงสว่างรำไรโผล่มาให้เห็นบ้าง บุรุษร่างกำยำมากมายเริ่มสาละวนอยู่กับการทำความสะอาดกองหิมะและซากปรักหักพัง ส่วนคนเฒ่าคนแก่และเด็กๆ ก็ช่วยกันเก็บของที่ยังใช้ได้ภายใต้ซากปรักหักพังเหล่านั้น
ครั้นเห็นพวกเขาเดินย่างกรายเข้ามาอย่างช้าๆ พวกคนแก่และเด็กๆ ก็แห่เข้ามารายล้อมพวกเขาไว้
“ขอบพระทัยท่านอ๋อง…และขอบคุณในบุญคุณของคุณชายที่ช่วยพวกเราไว้ด้วย” ผู้เฒ่าอายุราวหกสิบปีเส้นผมขาวโพลนคนหนึ่งก้าวขึ้นมาพร้อมก้มลงคำนับบนพื้น มู่ชิงอีรีบใช้สองมือประคองร่างผู้เฒ่าไว้แล้วเอ่ย “ท่านผู้เฒ่าทำอะไรกัน รีบลุกขึ้นมาเร็วเข้า”
หรงจิ่นที่อยู่ด้านข้างกลัวว่านางจะพยุงไม่ไหวถึงได้ยื่นมือเข้าไปประคองผู้เฒ่าด้วยอีกแรง เวลานี้ผู้เฒ่าคนนั้นเลยก้มลงคำนับไม่ได้ จากนั้นเลยทำได้เพียงมองพวกเขาแน่นิ่ง “เมื่อวาน…หากไม่ได้ท่านอ๋องกับคุณชายมาช่วยไว้ได้ทันท่วงที เกรงว่าคนแก่และเด็กน้อยอย่างพวกเราคงหนาวตายแน่ บุญคุณล้นฟ้าของพวกท่านทั้งสองตอบแทนไม่มีวันหมด”
มู่ชิงอียิ้มกล่าว “เรื่องภัยพิบัติยากจะเลี่ยงได้ ดังนั้นไม่มีหนี้บุญคุณใดทั้งสิ้น พวกเราก็แค่ช่วยในเรื่องที่พวกเราพอจะช่วยได้เท่านั้น ท่านผู้เฒ่าสุขภาพไม่ดีก็อย่ามัวแต่ทนหนาวอยู่เลยรีบกลับไปพักผ่อนเถิด”
ไม่ง่ายเลยกว่าทุกคนที่ซาบซึ้งใจพวกเขาจะยอมจากไปแต่โดยดี มู่ชิงอีหันไปมองหรงจิ่นที่เผยสีหน้ามึนงงข้างกายแล้วยิ้มบางกล่าว “ท่านอ๋องคิดอะไรอยู่หรือ”
หรงจิ่นขมวดคิ้วเอ่ย “เหมือนชิงชิงจะมีความสุขมาก?” พวกคนธรรมดาเหล่านี้ซาบซึ้งใจแล้วมีอะไรให้น่าดีใจกัน พวกเขาช่วยอะไรพวกตนไม่ได้สักหน่อย อีกทั้งยังนำพาผลประโยชน์ใดมาให้พวกตนก็ไม่ได้ด้วย รอวันใดที่คนอื่นดีกับพวกเขาบ้าง พวกเขาก็ต้องไปขอบคุณคนอื่นเช่นกัน
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “ชาวบ้านเหล่านี้อ่อนแอ อีกทั้งนำพาผลประโยชน์ใดๆ มาให้พวกเราไม่ได้ กระทั่งบางครั้งอาจจะหูเบาได้ง่าย หรือพอได้ฟังข่าวลือใดก็ยิ่งเชื่อว่าเป็นความจริงได้ง่ายมาก แต่…พวกเขากลับจริงใจมากกว่าใคร ท่านช่วยพวกเขา พวกเขาก็จะซาบซึ้งใจท่านโดยไม่หวังผลใดทั้งสิ้น ยิ่งไปกว่านั้น…ท่านอ๋องเป็นเชื้อพระวงศ์ก็คงเคยได้ยินประโยคที่ว่า…หากได้ใจปวงชนก็จะปกครองใต้หล้าได้กระมัง”
หรงจิ่นผงะไป งุดหน้าพลางขบคิดพักหนึ่งถึงเอ่ย “ชิงชิงมีความสุขก็ดีแล้ว ข้ารู้แล้วว่าวันหลังควรทำอย่างไร”
มู่ชิงอีถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย นางรู้ว่าคงอธิบายให้เขาเข้าใจไม่ได้ในระยะเวลาสั้นๆ นางคงบังคับขอร้องให้เขาชอบชาวบ้านตาดำๆ เหล่านี้ไม่ได้ ขอแค่เขารู้ว่าควรทำอะไรก็พอแล้ว
“ชิงชิง พวกเรากลับเมืองหลวงกันดีกว่า อย่ายืนตากลมหนาวอยู่เลย” หรงจิ่นจูงมือมู่ชิงอีเดินออกไปนอกหมู่บ้าน
หลังจากหมุนตัวก็หันไปเจอหรงไหวยืนอยู่ตรงถนนอีกฝั่งจากมุมที่ไม่ไกลนักด้วยสีหน้าดุดันจับจ้องมาทางพวกเขาสองคน หรงจิ่นเลิกคิ้วแล้วลากมู่ชิงอีเดินจากไปด้วยท่าทีหยิ่งผยอง
ทันทีที่มาถึงจวนอวี้อ๋อง ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็ส่งคนเอาของมาประทานให้มากมาย อีกทั้งยังชื่นชมการกระทำในสองวันนี้ของหรงจิ่นอย่างมาก บอกหรงจิ่นให้ระวังสุขภาพและพักดูแลตนอยู่ในจวนดีๆ หรงจิ่นลากมู่ชิงอีไปเก็บตัวอยู่ในเรือนเล่นหมากรุกและอ่านหนังสือโดยไม่สนใจสายตาของคนที่เดินเข้าๆ ออกๆ สักนิด แถมวางตัวอย่างเป็นธรรมชาติ ผ่านไปไม่กี่วันหลังจากนั้นก็จัดการเรื่องภัยพิบัติหิมะถล่มนอกเมืองเรียบร้อย รวมถึงเนี่ยอวิ๋น...เซี่ยซิวจู๋ที่อยู่ในจวนอวี้อ๋องก็พักฟื้นร่างกายเกือบหายดีแล้ว เพราะเหตุนี้สีหน้าของหรงจิ่นจึงดูรื่นเริง
หลังจวนอวี้อ๋องปรากฏเงาคนร่างสูงใหญ่ปะทะฝีมือกันอย่างดุเดือด ที่นี่เป็นจุดที่อยู่ด้านในสุดของจวนอวี้อ๋อง ปกตินอกจากคนเข้ามาทำความสะอาดแล้วก็มีเพียงอวี้อ๋องและหัวหน้าผู้ดูแลกู้เท่านั้นที่เข้าออกได้อย่างอิสระ หากคนอื่นเข้าออกโดยพลการก็จะถูกสังหารทันที หลายวันมานี้หรงจิ่นถือโอกาสเอาคนที่พามาจากเมืองเทียนเชวียวางไว้ตามจุดต่างๆ ในจวน ยิ่งไปกว่านั้นยังจัดสรรวางไว้ที่เรือนชิงหนิงของมู่ชิงอี รวมถึงจวนอ๋องและสวนหย่อมพักผ่อนหย่อนใจของตัวเองโดยป้องกันอย่างหนาแน่น ทำให้คนที่อยู่ที่นี่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ
เพราะเหตุนี้หรงจิ่นและเซี่ยซิวจู๋จึงกล้าประมือกันที่นี่อย่างโจ่งแจ้ง
มู่ชิงอีนั่งอมยิ้มอยู่หลังเตาผิงในศาลาด้านข้างที่ไม่ไกลนักพลางอ่านม้วนกระดาษในมือด้วยท่วงท่าสบายๆ ครั้นได้ยินเสียงดังที่แว่วมาเป็นระยะก็แย้มยิ้มบางแต่งแต้มใบหน้า
พวกเขาที่สู้กันอย่างดุเดือนต่างผละตัวออกแล้วเซถอยไปด้านหลังหลายก้าว หรงจิ่นเก็บมีดซิวหลัวในมือพลางยักคิ้วกล่าว “หอกเหมันต์ภูษาขาวนี้สมคำร่ำลือเสียจริง เพียงแต่น่าเสียดาย…ที่ไร้วาสนาได้เห็นฝีมือของสหายเซี่ย”
ครั้นเห็นหรงจิ่นเช็ดมีดซิวหลัวในมืออย่างทะนุถนอม เซี่ยซิวจู๋ก็ยิ้มเจื่อนอย่างจนใจ เวลานี้เขาอายุใกล้เลขสามเข้าไปทุกที อีกทั้งก่อนหน้านี้เพิ่งเลื่อนขั้นไปครั้งหนึ่งไม่นาน ทว่าฝีมือกลับแค่พอๆ กับอวี้อ๋องเท่านั้น ความจริงเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่น่าภาคภูมิใจอะไรเลย ในเมื่ออวี้อ๋องเป็นเพียงหนุ่มน้อยที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปีเสียด้วยซ้ำ หากเมื่อครึ่งปีก่อนคุณชายอวิ๋นอิ่นหาเรื่องตนที่แคว้นหวา เซี่ยซิวจู๋กลัวว่าตนคงเอาชนะอีกฝ่ายได้ยาก
“ฝีมือของท่านอ๋องเองก็เป็นเลิศไม่แพ้กัน กระหม่อมนับถือยิ่งนัก วันหน้าหากมีโอกาสหวังว่าจะได้ประลองกับท่านอ๋องอีก” เซี่ยซิวจู๋เอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง
หรงจิ่นถือมีดพลางเดินไปทางศาลาด้วยท่าทีพึงพอใจ “ชิงชิง”
มู่ชิงอีวางม้วนกระดาษลงก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองพวกเขาทั้งสองด้วยรอยยิ้ม “ดูท่าทางคงจะสมใจแล้วกระมัง ซิวจู๋นั่งก่อนเถิด”
เซี่ยซิวจู๋เอ่ยขอบคุณเสียงเบาแล้วนั่งลงฝั่งตรงข้ามมู่ชิงอี ทว่าหรงจิ่นกลับนั่งลงข้างกายมู่ชิงอีโดยไม่คิดเกรงใจสักนิด จากนั้นก็สอดส่องกาสุราบนเตาผิงตรงหน้านางพร้อมเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “ชิงชิงจะดื่มสุรา?”