มู่ชิงอีอมยิ้มพลางหยิบสุราอุ่นบนเตาผิงขึ้นมาก่อนจะเอ่ยขึ้น “เมื่อครู่มีคนส่งสุราดอกเหมยที่บ่มไว้กว่าสิบปีมาให้ จะลองหน่อยหรือไม่”
หรงจิ่นสูดลมหายใจเข้า ใบหน้าเปื้อนยิ้ม “มิน่าเล่า ข้าก็ว่าในจวนไม่มีดอกเหมย เหตุใดถึงมีกลิ่นดอกเหมยลอยมาได้ ก่อนหน้านี้นึกว่าชิงชิงปรุงเครื่องหอมใหม่เสียอีก” มู่ชิงอีหยิบจอกสุราขึ้นมาสามใบก่อนจะเทสุราแล้วยกไปวางไว้ตรงหน้าพวกเขาพลางเอ่ย “หม่อมฉันคงจนใจจะทำเครื่องหอมดอกเหมยใดได้เท่าเครื่องหอมโยวหันแล้ว คงไม่ทุ่มแรงเช่นนั้นหรอกเพคะ ซิวจู๋ลองชิมสุรานี้ดูว่าเป็นเช่นใดบ้าง หากชอบล่ะก็ พวกเขาเอามาให้หลายไหทีเดียว เดี๋ยวจะให้คนเอาไปให้ท่านสักสองไหก็แล้วกัน”
ในตระกูลกู้ นอกจากเฝิงจื่อสุ่ยก็ไม่มีใครรู้แล้วว่ามู่ชิงอีเป็นผู้หญิง บัดนี้เฝิงจื่อสุ่ยไปเมืองเผิงแล้วย่อมไม่มีใครรู้สักคน ดังนั้นของกำนัลที่ส่งมาให้จึงกลายเป็นสุราชั้นดีที่พวกหนุ่มๆ ชื่นชอบทั้งสิ้น
หรงิจ่นจิบไปอึกหนึ่งก่อนก้มหน้ากลั้นยิ้มกล่าว “ชิงชิง สหายเซี่ยคงไม่ชอบสุราเช่นนี้หรอก หากเจ้าอยากให้เขาพอใจก็เลือกมอบสุราแรงๆ ให้เขาจะดีกว่า” ถึงแม้สุราบ่มดอกเหมยนี่จะเป็นสุราชั้นดี แต่กลับเบาบางนัก รสชาติใกล้เคียงกับสุราอวี้เฉวียนในวัง ดีก็ดีอยู่หรอก แต่หากให้คอสุราแท้จริงดื่มคงรู้สึกว่ารสชาติยังหนักไม่พอ สู้สุราแรงๆ สักสองไหไม่ได้ด้วยซ้ำ
เซี่ยซิวจู๋คลี่ยิ้ม ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเห็นด้วยกับคำพูดของหรงจิ่น มู่ชิงอีเลิกคิ้ว ความชอบระหว่างชายหญิงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ใช่ว่านางแต่งตัวพรางกายเป็นชายแล้วจะชดเชยสิ่งเหล่านี้ได้ นางเลยทำได้แค่เอ่ยขึ้นว่า “เอาเถิด หนานกงบอกว่าสุราดอกเหมยปี้สี่ไม่มีรสชาติเช่นกัน สุราชิงจู๋ที่บ่มมาสามสิบปียังเหลืออยู่อีกไห เดี๋ยวให้ซิวจู๋เอาไปก็แล้วกัน”
“ขอบคุณมาก” เซี่ยซิวจู๋เอ่ยพลางประสานมือ วีรบุรุษฝีมือชั้นสูงชอบดื่มสุราชั้นดี ถึงแม้เซี่ยซิวจู๋จะเกิดมาจากตระกูลผู้ดีแต่กลับเติบโตมากับตระกูลนักรบ ฉะนั้นย่อมซึมซับนิสัยของนักรบมามากเป็นธรรมดา สุราชิงจู๋เป็นสุราขึ้นชื่อของแคว้นเย่ว์โดยเฉพาะ บ่มมาเป็นสามสิบปียิ่งหายากเข้าไปใหญ่ หากปฏิเสธคงดูไม่ให้เกียรติเท่าไรนัก
หรงจิ่นมองมู่ชิงอีแล้วเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “ชิงชิงยกสุรากว่าครึ่งให้หนานกงอวี้ ที่เหลือก็ยกให้สหายเซี่ย ข้ากลับไม่ได้ลิ้มรสแม้แต่จอกเดียว”
มู่ชิงอีเหลือบมองเขาแวบหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์กล่าว “สุขภาพของท่านดื่มสุราแรงๆ ได้หรือเพคะ มีสุราบ่มดอกเหมยนี่ดื่มก็ควรดีใจได้แล้ว”
หรงจิ่นแค่นเสียงเบา “ข้าจะไปขโมยสุราของสหายเซี่ย”
มู่ชิงอีกุมขมับ เป็นถึงอ๋องคนหนึ่งแต่ดันกล้าพูดแบบนี้ต่อหน้าเขาโดยไม่อายสถานะของตนเองบ้างเลย นางจึงโบกไม้บอกมือเอ่ย “ตามใจเถิด ถ้าท่านแตะต้องซิวจู๋ได้ ต่อให้ดื่มทั้งไหก็ไม่มีใครสนใจท่านหรอก”
หรงจิ่นมองเซี่ยซิวจู๋อย่างชอบใจ เซี่ยซิวจู๋ลังเลครู่หนึ่งก่อนเอ่ยจากใจจริง “สุขภาพของท่านอ๋องไม่ค่อยดีนัก ท่านดื่ม…สุราดอกเหมยจะดีกว่า” ดื่มสุราไม่ใช่แค่ทำลายสุขภาพเท่านั้น แต่หากสุขภาพไม่ดีแล้วดื่มสุรามั่วซั่วก็เป็นการทำลายรสชาติสุราเช่นกัน
รอยยิ้มบนใบหน้าของหรงจิ่นเรียบตึงในทันที จากนั้นก็มองรอยยิ้มบางบนใบหน้าของมู่ชิงอีที่อยู่ข้างเตาผิงอย่างเงียบๆ มู่ชิงอียกจอกสุราตรงหน้าเขาขึ้นก่อนกรอกใส่ปากแล้วเอ่ย “เลิกโวยวายได้แล้ว”
หรงจิ่นคว้ามือของนางไว้ จากนั้นก็เอาสุราบ่มดอกเหมยกลิ่นอ่อนๆ มาลิ้มรสด้วยท่าทีสบายๆ เอ่ยชื่นชม “ชิงชิงเป็นคนรินสุราให้เอง สุราบ่มดอกเหมยก็มีรสชาติอยู่เหมือนกัน”
จากนั้นมู่ชิงอีก็ใช้มือดันปากของใครบางคนไปอีกฝั่ง ขณะที่นางอยากพูดอะไรบางอย่างปู้อวี้ถังก็ขอเข้าพบ “ทูลท่านอ๋อง หัวหน้าผู้ดูแลกู้ คนในวังบอกว่าขอให้พวกท่านทั้งสองเข้าวัง”
หรงจิ่นมุ่นคิ้วเอ่ย “เรียกเข้าวังตอนนี้มีเรื่องอันใดกัน”
ปู้อวี้ถังเงียบไปพักหนึ่งถึงเอ่ย “เหมือนว่าจวงอ๋อง ตวนอ๋องและฉินอ๋องจะกลับมาจากนอกเมืองแล้ว”
“ฝ่าบาทให้ข้าเข้าวังไปกับท่านอ๋องหรือ” มู่ชิงอีขมวดคิ้วเอ่ยถาม
ปู้อวี้ถังพยักหน้ากล่าว “ใช่แล้ว ฝ่าบาททรงรับสั่งให้หัวหน้าผู้ดูแลกู้และท่านอ๋องเข้าวังไปด้วยกัน”
พวกเขาที่กำลังนั่งในศาลาต่างสบตากัน ไม่รู้ว่าตาเฒ่านั่นคิดจะทำอะไรอีก
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเข้าวังแล้วก็มีคนพาเดินเข้าไปพบฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ภายในพระตำหนักขณะที่องค์ชายคนอื่นๆ และขุนนางสำคัญบางส่วนต่างอยู่กันพร้อมหน้า รวมถึงผู้ว่าการผู้โชคร้ายเองก็กำลังนั่งคุกเข่าด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวดแต่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ครั้นเห็นหรงจิ่นเข้ามา ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ที่เดิมทีสีหน้าดุดันก็คลายลงไปมาก จากนั้นก็กวักมือเรียกหรงจิ่นพลางตรัส “จิ่นเอ๋อร์ รีบเข้ามาเร็วเข้า”
หรงจิ่นมุ่นคิ้วแล้วสับเท้าเดินขึ้นไปทำความเคารพ “เสด็จพ่อเรียกลูกเข้าเฝ้าตอนนี้มีเรื่องอันใดหรือ” ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์มองเขาพลางตรัส “เมื่อก่อนเห็นว่าจิ่นเอ๋อร์ยังเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าพริบตาเดียวจะเติบใหญ่ขนาดนี้แล้ว”
หรงจิ่นกวาดตามองเหล่าองค์ชายด้านข้างอย่างฉงน ตาเฒ่านี่เป็นบ้าอะไรขึ้นมา
องค์ชายคนอื่นๆ ต่างก้มหน้าอย่างละอายใจ ทว่ามีเพียงหวงจั่งซุนหรงไหวคนเดียวที่เผยสีหน้าเกรี้ยวโกรธ
คนมากมายในพระตำหนักเงียบกริบ มู่ชิงอีย่อมไม่พูดอะไรอยู่แล้ว หลังจากทำความเคารพเสร็จก็มายืนข้างกายหรงจิ่นด้วยสีหน้านิ่งสงบ หรงจิ่นเอ่ยอย่างหงุดหงิดใจว่า “เสด็จพ่อเรียกลูกมาด้วยเรื่องอันใดกันแน่”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ตรัสว่า “ฉินอ๋องมารายงานว่าเจ้าเฆี่ยนขุนนาง แย่งที่พักอาศัยชาวบ้าน เรื่องนี้จิ่นเอ๋อร์มีสิ่งใดจะพูดหรือไม่”
คิ้วทรงดาบของหรงจิ่นเลิกขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็กวาดตามองหรงไหวที่อยู่อีกฝั่ง เชิดคางขึ้นเอ่ย “ข้าก็ตีไปแล้ว จะเอาอย่างไรอีก”
หรงไหวก้าวขึ้นมาก่อนเอ่ยเสียงขรึม “อาเก้า ต่อให้ขุนนางจะบกพร่องในหน้าที่ แต่เสด็จปู่ก็ไม่ได้ถอดถอนตำแหน่งของเขาออกสักหน่อย ท่านอาเฆี่ยนตีเขาต่อหน้าคนมากมายเช่นนั้น ท่านอาเอาอำนาจและศักดิ์ศรีของเสด็จปู่ไปไว้ที่ใด”
หรงจิ่นยิ้มเย้ย “เหตุใดข้าถึงไม่รู้เลยเล่าว่าอำนาจและศักดิ์ศรีของเสด็จพ่อต้องอาศัยผู้ว่าการตัวเล็กๆ คนหนึ่งมาช่วยดูแลรักษา”
“ท่านอาเถียงข้างๆ คูๆ!” หรงไหวตวาดเสียงสูง “ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าผู้ว่าการเป็นขุนนางที่เสด็จปู่ทรงแต่งตั้งให้เองกับมือ ทว่ากลับเฆี่ยนตีเขาต่อหน้าคนมากมาย แบบนี้ก็เท่ากับว่าไม่เห็นเสด็จปู่อยู่ในสายตาเลยมิใช่หรือ”
“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นหลานแท้ๆ ของเสด็จพ่อ แต่ก็ยังเฆี่ยนตีเจ้า แล้วเจ้าอยากเอาคืนหรือไม่เล่า” หรงจิ่นเอ่ยเย้ยหยัน
หรงไหวใบหน้าแดงก่ำ จากนั้นก็กวาดตามองสีหน้าอึมครึมของทุกคนตรงนั้นอย่างรวดเร็ว เอ่ยยิ้มเย็นชา “หลานมิบังอาจ มีใครไม่รู้บ้างว่าอาเก้าเป็นองค์ชายคนโปรดของเสด็จปู่ อย่าว่าแต่เฆี่ยนตีสั่งสอนหลานเลย ต่อให้หลานต้องตายหลานก็มิบังอาจตัดพ้อใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่ผู้ว่าการเมืองหลวงก็อาวุโสน้อยกว่าท่านอาหรืออย่างไร”
หรงจิ่นหัวเราะเสียงทุ้มต่ำ “เขาอาวุโสน้อยกว่าข้าหรือไม่ เจ้าถามเสด็จพ่อก็รู้แล้วมิใช่หรือ”
“เจ้า…” หรงไหวหน้าเขียวปั๊ดด้วยความโมโห
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์คลึงหว่างคิ้วที่เต้นตุบๆ แล้วตรัสขึ้นอย่างไม่พอพระทัยว่า “พวกเจ้าเงียบไปเลย พูดจาเหลวไหลอะไรกัน จิ่นเอ๋อร์ เจ้าเองก็โตแล้ว วันหลังอย่าลงไม้ลงมือกับขุนนางใหญ่โดยไร้สาเหตุ เข้าใจหรือไม่”
หรงจิ่นเลิกคิ้วกล่าว “ลูกลงไม้ลงมือกับขุนนางใหญ่โดยไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อใดกัน” ทุกครั้งที่เขาทำสิ่งใดย่อมมีเหตุผลเสมอมิใช่หรือ
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เพิกเฉยทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของเขาแล้วตรัสต่อไป “แต่ครั้งนี้…เจ้าหมอนี่สมควรโดนจริงๆ ไม่ใช่แค่สมควรโดน แต่ควรตายซะด้วยซ้ำ! องค์ชายเก้าทำไปเพื่อแบ่งเบาภาระเรา เรื่องนี้จบเพียงเท่านี้ก็แล้วกัน”
เพราะเหตุนี้เรื่องที่องค์ชายเฆี่ยนตีขุนนางชั้นผู้ใหญ่ก็ถูกไกล่เกลี่ยลงอย่างง่ายดาย
หรงไหวทั้งร้อนรุ่มใจทั้งโมโห เอ่ยด้วยความเดือดดาลว่า “เสด็จปู่! อวี้อ๋องแย่งที่พักอาศัยของชาวบ้าน อีกทั้งบีบให้ตระกูลเฉินบริจาคทรัพย์สินเกินกว่าครึ่ง ทั้งๆ ที่เขาเอาเงินค่าซื้อเสบียงเหล่านั้นกลับคืนไปแล้ว”
“พอได้แล้ว!” ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ขมวดคิ้วแล้วตัดบทหรงไหวที่พยายามพูดไม่เลิกอย่างไม่ชอบใจนัก ตรัสกับเขาว่า “เราไม่ได้ความจำเลอะเลือน เจ้ากลับไปยืนประจำที่เสีย จิ่นเอ๋อร์เป็นถึงอาของเจ้า แต่เจ้าอยากเห็นเขาต้องเผชิญกับเรื่องเลวร้ายมากขนาดนั้นเชียวหรือ”