ผ่านไปสักพักแรงกดดันก็ค่อยๆ ลดลง มู่ชิงอีลอบผ่อนลมหายใจทีหนึ่ง ทว่าสีหน้ากลับราบเรียบราวกับไม่รู้สึกอะไร จากนั้นก็มีเสียงเนิ่บนาบของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ดังขึ้นข้างหูว่า ”ลุกขึ้นเถิด”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” หลังจากมู่ชิงอีเอ่ยขอบพระทัยแล้วถึงหยัดกายลุกขึ้น
“ลูกหลานของคนในตระกูลกู้สมคำร่ำลือเสียจริง” ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ตรัสเสียงเรียบ
มู่ชิงอีก้มหน้าลงแล้วกล่าว ”ฝ่าบาททรงชมเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ กู้หลิวอวิ๋นมิบังอาจ” ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์จับจ้องนางอยู่นาน ก่อนจะตรัสเสียงขรึมว่า “ในเมื่อคุณชายหลิวอวิ๋นต้องสานต่อปณิธานของบรรพบุรุษ เหตุใดเจ้าถึงเลือกจิ่นเอ๋อร์เล่า”
มู่ชิงอีพลันใจหาย แต่ไม่นานก็กลับมาสงบอย่างรวดเร็วแล้วเงยหน้ามองสองดวงตาดุดันภายใต้เหมี่ยนกวาน[1] ยิ้มบางกล่าว “ฝ่าบาทตรัสเช่นนี้…เพียงเพราะเมื่อครู่หลิวอวิ๋นจงใจตอกกลับฉินอ๋องอย่างนั้นหรือ”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ยิ้มเยาะ มู่ชิงอีถอนหายใจกล่าว “ฝ่าบาทโปรดอย่าทรงกริ้วไป ตอนที่อยู่แคว้นหวาองค์ชายเก้ามีบุญคุณกับกระหม่อม ถึงแม้จะรู้จักกันไม่นาน แต่ก็นับว่าเป็นสหายกัน เรื่องวันนี้…อวี้อ๋องข่มฉินอ๋องจริงๆ น่ะหรือ หากหลิวอวิ๋นไม่ตอกกลับแทนอวี้อ๋อง ด้วยนิสัยของอวี้อ๋องแล้ว…ฝ่าบาทคงทราบกระมังว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เผยสีหน้าเย็นชามากกว่าเดิม “คนของตระกูลกู้ช่างเบี่ยงประเด็นเก่งจริงๆ มิน่าไหวเอ๋อร์ถึงถูกเจ้าต้อนจนมุมขนาดนั้น แต่…เจ้าคิดว่าจิ่นเอ๋อร์จะปกปิดความคิดเราได้หรือ เรานั่งตำแหน่งนี้มานานมากกว่าอายุของพวกเจ้าสองคนรวมกันเสียอีก!”
มู่ชิงอีเงียบกริบ นางไม่กล้ามองฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เป็นคนโง่เขลา แต่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์กลับประสาทสัมผัสไวกว่ากษัตริย์ที่ขี้ระแวงอย่างมาก ยามที่หรงจิ่นอยู่ต่อหน้าเสด็จพ่อเช่นนี้ นอกเสียจากฮ่องเต้แคว้นเย่ว์จะเต็มใจยกอำนาจให้แก่เขา มิเช่นนั้น…นอกเสียจากก่อกบฏบีบฮ่องเต้ให้ออกจากตำแหน่ง เขาจะยังทำอะไรได้อีก
แต่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ตรงหน้ากลับไม่คิดจะทำเช่นนั้นอย่างเห็นได้ชัด กระทั่งขอแค่หรงจิ่นสัมผัสอำนาจแม้แต่นิดเดียวก็พอจะทำให้ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ปะทุอารมณ์รุนแรงได้แล้ว เรื่องที่ทำมาหลายวันนี้อาจจะไม่ได้ถือว่าสมบูรณ์แบบนัก แต่หากเปลี่ยนเป็นองค์ชายคนอื่นล่ะก็ ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ไม่มีทางสังเกตเห็นอย่างแน่นอน กล่าวได้เพียงว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ให้ความสนใจและระแวงหรงจิ่นมากกว่าองค์ชายคนอื่นๆ ไม่น้อย
มู่ชิงอีงก้มหน้าลง มือที่ซ่อนอยู่ภายใต้แขนเสื้อกำแน่น นี่นับว่าเป็นอันตรายครั้งแรกตั้งแต่นางอยู่ในร่างมู่ชิงอีมาเลยก็ว่าได้ นางรู้แก่ใจดีหากวันนี้จัดการเรื่องได้ไม่ดี ไม่เพียงแค่นางเท่านั้น แต่เบี้ยต่อรองทั้งหมดของหรงจิ่นอาจจะสูญเปล่าได้
มู่ชิงอีลอบสูดลมหายใจเข้าลึก เงยหน้าขึ้นสบตากับฮ่องเต้ด้านบนพระที่นั่งด้วยท่าทีสงบ เอ่ยเสียงเรียบ ”ฝ่าบาทหมายความว่า…หากอวี้อ๋องมีอำนาจก็ต้องได้รับโทษถึงความตายอย่างนั้นหรือ
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์สีหน้าหม่นลงพลางจับจ้องหนุ่มน้อยที่เผยท่าทีสงบตรงหน้าตาเขม็ง ตรัสเสียงขรึม ”อวี้อ๋องยังอ่อนเยาว์นัก หากไม่มีพวกเจ้าคอยเป่าหูแล้วเขาจะมีความทะเยอทะยานเช่นนี้ได้อย่างไร”
มู่ชิงอีผุดรอยยิ้มจางบนใบหน้า ”ยังทรงอ่อนเยาว์อยู่อย่างนั้นหรือ ฝ่าบาท…อวี้อ๋องอายุใกล้ยี่สิบชันษาแล้ว ยามที่ฝ่าบาทอายุยี่สิบชันษาทรงทำอันใด แล้วอวี้อ๋องทำอันใด ส่วนองค์ชายในราชสำนักคนอื่นๆ ทำอันใด หากฝ่าบาททรงยืนกรานว่าอวี้อ๋องยังไม่ควรมีอำนาจในมือ หากฝ่าบาททรงรักอวี้อ๋องจริงๆ เวลานี้ก็ฝ่าบาทคงทรงทำให้เขากลายเป็นประชาชนคนธรรมดาไปแล้ว
”เจ้ากำเริบเสิบสานนัก!” ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์คำรามด้วยความโกรธ ”องค์ชายเก้าของเราเกิดมาสูงส่ง แล้วจะลดตำแหน่งให้เขากลายเป็นประชาชนคนธรรมดาได้เช่นไร”
มู่ชิงอีพยักหน้าเอ่ย ”ใช่พ่ะย่ะค่ะ องค์ชายเก้าเกิดมาสูงส่ง ทว่ากลับไม่มีอำนาจใดในมือจนไร้ความสำคัญต่อบ้านเมืองและราษฎร แต่สถานะกลับอยู่เหนือเหล่าองค์ชายและหลานคนอื่นๆ ฝ่าบาทคิดจะทำลายอวี้อ๋องหรือ หากเป็นอย่างที่ว่าจริงๆ ยามที่ฝ่าบาททรงสวรรคตก็คิดจะพาองค์ชายเก้าตามไปด้วยหรือ แต่ไม่รู้ว่าหากพระสนมเหมยเห็นเข้าจะดีใจหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์อดผงะไปไม่ได้ จับจ้องมู่ชิงอี “แม้แต่เรื่องนี้…เขาก็เล่าให้เจ้าฟังด้วย? ดูท่าทาง…จิ่นเอ๋อร์จะเป็นกังวลจริงๆ”
มู่ชิงอีเอ่ย “ถึงแม้องค์ชายเก้าอาจจะไม่ได้ฉลาดเท่าองค์ชายคนอื่นๆ แต่เขาก็ไม่ได้โง่พ่ะย่ะค่ะ”
ครั้งนี้ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เงียบไปนาน ในที่สุดก็โบกมือตรัสว่า “เจ้าออกไปก่อน”
มู่ชิงอีแอบผ่อนลมหายใจ เอ่ยเสียงนิ่งสงบ “กู้หลิวอวิ๋นขอตัวพ่ะย่ะค่ะ”
มู่ชิงอีค่อยๆ เดินออกมาจากพระตำหนัก ลมหนาวเย็นยะเยือกนอกประตูพัดผ่านร่างนางจนสะดุ้งตัวโยน ลมหนาวเย็นยะเยือกนี้ชวนให้นางรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง วันนี้ตอนอยู่ในพระตำหนักนางรู้สึกถึงอันตรายมากจริงๆ
หากไม่ระวังตัวนางอาจจะออกมาไม่ได้อีกเลย แต่สุดท้ายนางก็เลือกที่จะเดิมพัน คนอย่างฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ ลำพังวิเคราะห์อธิบายผิวเผินอาจทำอะไรเขาไม่ได้ ดังนั้นนางเลยเลือกที่จะตอกกลับด้วยคำถามแทน
“จื่อชิง” หรงจิ่นในชุดสีดำนอกพระตำหนักรีบสาวเท้าเข้ามาแล้วหยุดลงตรงหน้านาง เขาสำรวจนางรอบหนึ่งก่อนที่สีหน้าเคร่งขรึมในเดิมทีจะอ่อนลง เอ่ยเสียงเบา ”จื่อชิง ไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
มู่ชิงอียิ้มบาง ส่ายศีรษะกล่าว “กลับไปค่อยคุยกันเถิด”
หรงจิ่นกวาดตามองประตูพระตำหนักที่ปิดสนิทด้านหลังแวบหนึ่ง จากนั้นถึงลากตัวมู่ชิงอีเดินไปทางประตูวัง
ในพระตำหนัก
“ฝ่าบาท องค์ชายเก้ากับคุณชายกู้กลับไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เจี่ยงปินก้าวขึ้นมาทูลรายงานอย่างระมัดระวัง เขาย่อมได้ยินคำพูดเมื่อครู่ของคุณชายกู้อยู่แล้ว ความจริงเขาแอบเหงื่อซึมแทนหนุ่มน้อยชุดขาวที่สง่างามผู้นั้นอยู่บ้าง ข้ารับใช้บริเวณรอบกายพระองค์ย่อมรู้สึกถึงความย้อนแย้งที่ฝ่าบาททรงมีต่อองค์ชายเก้าอยู่แล้ว แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่มีคนกล้าพูดต่อหน้าฝ่าบาทอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ หากฝ่าบาทเกิดโทสะขึ้นมาชั่วขณะ เกรงว่าหนุ่มน้อยรูปงามดั่งเทพเซียนคงตายไปแล้ว
“จิ่นเอ๋อร์รออยู่ข้างนอกตลอดเลยหรือ” ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ตรัสถามพลางขมวดคิ้ว
เจี่ยงปินพยักหน้ากล่าว “ทูลฝ่าบาท องค์ชายเก้ารอคุณชายกู้อยู่ข้างนอกตลอดเลยพ่ะย่ะค่ะ เพิ่งกลับไปพร้อมกันเมื่อครู่นี้”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์พยักหน้า ผ่านไปนานถึงตรัสเสียงต่ำ ”แต่ไหนแต่ไรมาจิ่นเอ๋อร์ไม่เคยทำดีกับใครเลย แต่ก็ไม่เสียแรงเปล่า เพราะกู้หลิวอวิ๋นกล้าออกโรงแทนเขาโดยไม่กลัวว่าเราจะลงโทษเลยสักนิด
เจี่ยงปินมองสีหน้าของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์อย่างระมัดระวังถึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “องค์ชายเก้ากับคุณชายกู้ล้วนเป็นหนุ่มใจร้อน ฝ่าบาทยังคิดเล็กคิดน้อยกับพวกเขาอีกหรือ”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์โบกมือเชิงว่าให้เขาออกไป จากนั้นก็นั่งอยู่ท่ามกลางพระตำหนักที่แสนว่างเปล่าเงียบๆ อย่างเดียวดาย ฉับพลันก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจ แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่ใช่คนขี้เหงาอะไรแต่จู่ๆ กลับรู้สึกโดดเดี่ยวจับใจ ตอนวัยเยาว์เขายังเคยผูกมิตรกับเพื่อนคนอื่นๆ และพี่น้องที่ดูแลซึ่งกันและกันมาบ้าง แต่ไม่รู้ว่าที่นั่งสูงสุดตรงนี้เหลือเขาเพียงลำพังตั้งแต่เมื่อไร ช่าง…โดดเดี่ยวเหลือเกิน
กู้หลิวอวิ๋นบอกว่าความรักที่ตนมีต่อจิ่นเอ๋อร์เป็นการทำร้ายเขาอย่างนั้นหรือ…ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ส่ายศีรษะ บางทีอาจจะใช่กระมัง
พอออกวังมาขึ้นรถม้า มู่ชิงอีก็นั่งลงบนรถม้าพลางปิดตาลงอย่างไร้เรี่ยวแรง แม้แต่แรงเปิดเปลือกตายังไม่มีด้วยซ้ำ
หรงจิ่นก้าวขึ้นไปยกมือขึ้นลูบหน้าผากอย่างเป็นห่วง เอ่ยเสียงอ่อนโยน ”ชิงชิง เป็นอะไรไป ไม่สบายตรงไหนหรือ”
[1]เหมี่ยนกวาน คือพระมาลาร้อยลูกปัดที่อยู่บนศีรษะฮ่องเต้