มู่ชิงอียิ้มขมขื่นอย่างเหนื่อยหน่ายใจเอ่ย “ยากที่จะล่วงเกินผู้ทรงอิทธิพลได้” ฮ่องเต้คนหนึ่งที่มือแปดเปื้อนเลือดแผ่รังสีสังหารคุกคามน่ากลัวขนาดไหน นี่เป็นครั้งแรกที่มู่ชิงอีได้ลิ้มลองรสชาติ นางสามารถยืนหยัดไม่แสดงท่าทีหวาดกลัวหรือหลุดพิรุธใดต่อหน้าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ได้ถือว่าทำเอานางเปลืองแรงไปไม่น้อยทีเดียว
เพราะนางรู้ว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์แข็งแกร่งขนาดไหนและตัวนางนั้นอ่อนแอเพียงใด ดังนั้นความรู้สึกนี้เลยยิ่งชัดเจนมากขึ้น ผู้ไม่รู้ถึงจะเป็นผู้ที่ไม่เกรงกลัวสิ่งใด และใช่ว่ามู่ชิงอีจะเป็นคนไม่รู้ความอะไรเลย อีกทั้งนางก็ไม่ใช่วีรสตรีผู้กล้าหาญที่ไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดด้วยเช่นกัน
หรงจิ่นรั้งตัวนางเข้ามาในอ้อมอกอย่างนึกสงสาร ความอบอุ่นที่ส่งผ่านออกมาจางๆ ช่วยคลายความกังวล ส่วนอีกมือก็คว้ามือของมู่ชิงอีมา จากนั้นเขาก็เห็นฝ่ามือที่ขาวดั่งหยกของนางถูกเล็บจิกจนเป็นแผลหลายจุด “ชิงชิง”
มู่ชิงอีเปิดเปลือกตาฝืนยิ้มกล่าว “ไม่เป็นอะไรเพคะ แค่ถูกฮ่องเต้ทำให้ตกใจก็เท่านั้น หม่อมฉันไร้ประโยชน์มากเลยใช่หรือไม่”
หรงจิ่นกระชับอ้อมกอดแน่นกว่าเดิม ส่ายศีรษะกล่าว “ไม่ ไม่เลย ข้าต่างหากที่ไร้ความสามารถ หากไม่ใช่เพราะข้า…” หากไม่ใช่เพราะเขาไร้ความสามารถจะต่อกรกับฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ ชิงชิงจะต้องมาเจออันตรายเช่นนี้ได้อย่างไร ถึงแม้ไม่รู้ว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ต้องการจะพูดอะไรกับชิงชิง แต่ดูจากท่าทีของชิงชิงในเวลานี้แล้วก็รู้เลยว่าต้องตกอยู่ในอันตรายแน่นอน
มู่ชิงอียิ้มบาง “พูดอะไรโง่ๆ หากท่านมีอำนาจคับฟ้าขนาดนั้น หม่อมฉันคงไม่อยู่ที่นี่” ไม่ใช่เพียงแค่เพราะพวกเขาต้องการกันและกันจึงเดินมาถึงจุดนี้ได้หรือ หากหรงจิ่นเป็นอ๋องที่มีอำนาจคับฟ้าตั้งแต่แรก มู่ชิงอีย่อมไม่มีทางเข้าพวกกับเขาแน่นอน หากเป็นเช่นนั้นเกรงว่าหรงจิ่นเองก็คงไม่เอาผู้หญิงคนหนึ่งมาเป็นที่ปรึกษาเช่นกัน
“ชิงชิงไม่ต้องกลัวนะ…” หรงจิ่นปลอบโยนนางเสียงเบา มู่ชิงอีซบไหล่เขาพร้อมปิดตาลงพักผ่อน จากนั้นก็เอ่ยอย่างขบขันว่า “ไม่เป็นไร เมื่อครู่หม่อมฉันเปลืองแรงมากเกินไปเลยเหนื่อยก็เท่านั้น” ต่อให้คนอย่างพวกเขาจะหวาดกลัวมากเพียงใดก็ไม่มีทางทิ้งอารมณ์เช่นนี้ไว้ในใจนานนัก สู้เอาเวลาตอนนี้คิดถึงภายภาคหน้าจะดีกว่า พวกเขายังอ่อนเยาว์ แต่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ทรงชรามากแล้ว
รถม้ามาถึงนอกประตูจวนอวี้อ๋องแล้ว ทว่าหรงจิ่นไม่ได้ลงรถแต่ให้คนขับรถม้าเข้าไปจอดหน้าเรือนชิงหนิงในจวนอวี้อ๋องโดยตรง จากนั้นหรงจิ่นก็อุ้มมู่ชิงอีลงรถม้าเข้าเรือนไป
“เกิดอะไรขึ้น” เซี่ยซิวจู๋ที่ได้รับข่าวอย่างรวดเร็วมุ่นคิ้วเอ่ยถามพลางมองมู่ชิงอีที่ถูกหรงจิ่นอุ้มพาตัวเข้ามา แต่เขาก็ไม่เห็นว่านางจะได้รับบาดเจ็บอะไร
มู่ชิงอียิ้มเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่าย “ไม่เป็นไร เมื่อครู่ข้าแค่ไม่ค่อยสบาย ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว ท่านอ๋องตื่นตูมไปเอง” หรงจิ่นเผยสีหน้าเคร่งขรึมแต่ไม่พูดอะไร เซี่ยซิวจู่กวาดตามองมู่ชิงอี พอแน่ใจว่านางไม่เป็นอะไรจริงๆ ถึงออกไปเพื่อเว้นช่องว่างให้พวกเขาได้พูดคุยกัน
“ตาแก่นั่นพูดอะไร” หรงจิ่นมองมู่ชิงอีพลางเอ่ยถามเสียงขรึม
มู่ชิงอียิ้มเจื่อนอย่างจนใจแล้วถอนหายใจให้กับความหลักแหลมของเขา แต่นางคงปิดบังเรื่องนี้กับหรงจิ่นไม่ได้จริงๆ เลยเล่าบทสนทนาระหว่างนางกับฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ให้ฟังอย่างครบถ้วนไม่มีตกหล่น ยิ่งฟัง สีหน้าของหรงจิ่นก็ยิ่งอึมครึม หากเป็นคนทั่วไป อย่าว่าแต่ผู้หญิงเลย ต่อให้เป็นผู้ชายถูกฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ถามเช่นนี้ก็คงตกใจจนขาอ่อนล้มพับไปเช่นกัน ทว่าชิงชิงสามารถตอกกลับตาแก่นั่นได้แล้วเดินออกมาด้วยท่าทีสงบ นับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ
หรงจิ่นแสยะยิ้มเอ่ย “ข้ารู้แต่แรกแล้วว่าเขาไม่มีทางวางมือจากอำนาจง่ายดายขนาดนั้นหรอก”
มู่ชิงอีคลึงหว่างคิ้วเอ่ยพลางมุ่นคิ้วว่า “หรงจิ่น ท่านไม่คิดว่าฝ่าบาททรงปฏิบัติกับท่านแปลกๆ บ้างหรือ” โปรดปรานก็โปรดปรานอยู่หรอก หากบอกว่าเป็นการเสแสร้งแล้วทำได้ถึงขั้นฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ล่ะก็ ต่อให้เป็นการเสแสร้งสักวันก็ต้องเปลี่ยนไป แต่เรื่องระแวงก็ระแวงจริงๆ มู่ชิงอีสัมผัสได้ว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์กำลังระแวงหรงจิ่นอย่างเห็นได้ชัด ราวกับหากหรงจิ่นมีอำนาจในมือขึ้นมาจะสร้างผลลัพธ์ที่ยากจะรับได้ตามมาภายหลังก็มิปาน
ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เคยคลางแคลงใจกับคำพูดที่คนเล่าลือกัน อย่างเช่นเรื่องสถานะของหรงจิ่น แต่หากฮ่องเต้แคว้นเย่ว์สงสัยเรื่องนี้ก็คงไม่มีทางรักใคร่โปรดปรานหรงจิ่นขนาดนี้แน่นอน แล้วแน่นอนว่าการคาดเดาเช่นนี้คงบอกหรงจิ่นไปตรงๆ ไม่ได้
หรงจิ่นเอ่ยเสียงเย็นชา “มีอะไรน่าสงสัยกัน เขาก็แค่ทำให้คนอื่นเห็นเท่านั้น ช่วงครึ่งชีวิตหลังของตาแก่นี่มีแต่ความโหดเหี้ยมอำมหิต เจ้าคิดว่าเขาเคยดีกับใครจริงๆ หรือ เขารอหลังจากที่เขาตายแล้วก็ให้ลูกคนอื่นๆ มาสังหารข้า! เหอะ! ข้าไม่ตายง่ายๆ หรอก!”
มู่ชิงอีถอนหายใจ เอ่ยอย่างปวดเศียรเวียนเกล้าว่า “เอาเถิด ยังไม่ต้องคิดถึงเรื่องนี้ บัดนี้ฝ่าบาททรงแสดงท่าทีชัดเจน วันนี้พระองค์ตรัสกับหม่อมฉันเช่นนี้ก็สื่อว่าเป็นการตักเตือนแล้ว วันหน้าท่านจะทำเช่นใดต่อเพคะ”
ขอแค่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ไม่เปลี่ยนความคิด หรงจิ่นก็อย่าหวังจะได้สอดมือเข้ามายุ่งกับเรื่องในราชสำนักและอำนาจไปชั่วชีวิตเลย
หรงจิ่นหลุบตาลง ผ่านไปสักพักถึงผุดรอยยิ้มบางกล่าว “ถึงแม้เขาไม่อยากให้ข้าเข้าไปยุ่มย่าม เช่นนั้นข้าก็ไม่ยุ่งแล้วกัน ข้าเองก็จะดูสิว่าสุดท้ายแล้วเขามีลูกไม้อะไรกันแน่!”
“รอเวลาให้ทั้งสองฝ่ายพังยับเยินก่อนแล้วค่อยชุบมือเปิบ” มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเรียบ
หรงจิ่นเอ่ย “ใช่ว่าเราจะได้ผลประโยชน์เสียทีเดียว…แต่ปล่อยให้เหล่าพี่น้ององค์ชายทั้งหลายของข้าแก่งแย่งชิงดีกันไปเถิด ใกล้ถึงวันคล้ายวันพระราชสมภพของเสด็จพ่อพอดี ข้าให้ของขวัญสักชิ้นล่วงหน้าก่อนแล้วกัน!” หรงจิ่นกัดฟันพร้อมเผยสีหน้าดุดันขณะที่พูด ดูเช่นไรก็ไม่เหมือนคนมอบของขวัญวันเกิดให้เลย แต่เหมือนมอบของส่งท้ายวันตายมากกว่า
“จื้ออ๋องเพิ่งสิ้นพระชนม์ได้ไม่นาน ตอนนี้คงจัดการองค์ชายคนอื่นได้ยาก” มู่ชิงอีเอ่ยเตือนเสียงเรียบ ครั้งก่อนพวกเขาเล่นสนุกๆ ที่เมืองเผิงไปครั้งหนึ่งแล้ว หากเกิดเรื่องกับองค์ชายคนอื่นๆ ติดต่อกัน ฮ่องเค้แคว้นเย่ว์ต้องสงสัยในตัวพวกเขาแน่
หรงจิ่นยิ้มเย็นยะเยือกเอ่ย “ครั้งนี้คนที่ลงมือไม่ใช่ข้าหรอก พวกเราแค่รอดูเรื่องสนุกๆ ก็พอ” หรงเซวียนและหรงเหยี่ยนสุมหัวคิดยืมมือเขาต่อกรกับหรงไหว นึกว่าเขาไม่รู้หรือไร ในเมื่อพวกเขาผุดความคิดดีๆ ขึ้นมาเช่นนี้ หากเขาไม่ช่วยทำให้สมหวังหน่อยคงน่าเสียดายแย่
แต่หากแค่รอดูเรื่องสนุกๆ โดยไม่ออกแรงอะไรเลย เช่นนั้นก็อย่าโทษว่าเขาพาซวยไปด้วยแล้วกัน
มู่ชิงอีเงียบไปพักหนึ่ง ทันใดนั้นนางก็เข้าใจความคิดของหรงจิ่นทันทีจึงคลี่ยิ้มบางกล่าว “ระวังตัวด้วยเพคะ”
หรงจิ่นเลิกคิ้วเอ่ย “ต่อให้เกิดเรื่องขึ้นก็ไม่เป็นไร อย่างมากก็แค่ฉีกหน้าตาแก่นั่น!” สถานะขององค์ชายเก้า นอกจากชื่อเสียงที่เป็นหน้าเป็นตาให้เขาแล้ว ความจริงมีขีดจำกัดที่ช่วยอะไรได้น้อยมาก แต่หากคิดจะชิงบัลลังก์แคว้นเย่ว์จริงๆ แล้วใครจะสนเรื่องเป็นหน้าเป็นตาเช่นนี้อีกเล่า
“รอดูไปสักพักก่อน ตอนนี้ท่านยังไม่มีศักยภาพต่อกรกับฝ่าบาทได้” มู่ชิงอีเอ่ยเตือน
“เหอะ!” หรงจิ่นแค่นเสียงเบา
“ทูลท่านอ๋อง หัวหน้าผู้ดูแลกู้ มีพระราชโองการมาพ่ะย่ะค่ะ!”
บ่าวรับใช้นอกประตูเอ่ยรายงานอย่างร้อนใจ
พวกเขาสองคนเดินมาด้านหน้าห้องโถง จากนั้นก็เห็นเจี่ยงปินถือสาสน์ราชโองการยืนอยู่ด้านใน หรงจิ่นเลิกคิ้วเอ่ยถาม “เจี่ยงปิน เสด็จพ่อคิดจะทำอะไรอีกเล่า”
เจี่ยงปินยิ้มเอ่ย “เป็นเรื่องดี คุณชายกู้ โปรดรับพระราชโองการด้วย”
มู่ชิงอีผงะไป “ข้าหรือ”
เจี่ยงปินยิ้มกล่าว “ใช่แล้ว”
มู่ชิงอีเลยจำต้องคุกเข่าลงพื้นอย่างจำใจ “กระหม่อมกู้หลิวอวิ๋นน้อมรับพระราชโองการพ่ะย่ะค่ะ”