เจี่ยงปินคลี่ม้วนราชสาสน์สีเหลืองผ้าปักในมือออก อ่านเสียงแหลมสูง “กู้หลิวอวิ๋น เกิดจากตระกูลผู้ดี สติปัญญาเฉียบแหลม ครั้งนี้ช่วยอวี้อ๋องช่วยผู้ประสบภัย สร้างความดีความชอบแก่บ้านเมือง จึงขอแต่งตั้งกู้หลิวอวิ๋นเป็นผู้ว่าการเฟิ่งเทียนระดับสาม จบราชโองการ!”
หลังจากกล่าวจบ ทุกคนในห้องโถงต่างชะงักงัน หนึ่งเดียวที่เคยเป็นข้าหลวงอย่างปู้อวี้ถังขาล้มพับพร้อมอ้าปากค้างคางตกพื้น อย่าว่าแต่เรื่องอายุของหัวหน้าผู้ดูแลกู้เลย แค่มองแวบแรกยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอายุสิบห้าหรือสิบหกปี กล่าวได้ว่าตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันแม้แต่ขุนนางเจ้าเล่ห์เพทุบายยังพูดยาก มีใครสามารถก้าวกระโดดข้ามไปรับตำแหน่งระดับสามแบบนี้ได้กัน อีกทั้งยังเป็นถึงผู้ว่าการเฟิ่งเทียนตำแหน่งที่กุมอำนาจในเมืองหลวงอย่างแท้จริงอีกต่างหาก ไม่ใช่พวกว่างงานอย่างผู้มากความรู้สูงศักดิ์หรือขุนนางอาลักษณ์เหล่านั้น ข้าหลวงตัวน้อยที่พากเพียรบากบั่นสอบจากระดับหกเจ็ดอย่างตั้งใจแล้วถูกคัดออกกลางทางเหล่านั้นจะทำใจยอมรับได้เช่นไร
“คุณชายกู้…ไม่สิ ตอนนี้ต้องเรียกว่าใต้เท้าแล้ว รับพระราชโองการเถิด” เจี่ยงปินยื่นสาสน์ราชโองการให้พร้อมยิ้มตาหยี ราวกับหลายชั่วยามก่อนหน้านี้เจ้านายของเขาไม่ได้แผ่รังสีสังหารคุกคามมู่ชิงอีในพระตำหนักแต่อย่างใด
มู่ชิงอีลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “ท่านขันทีเจียง หลิวอวิ๋นยังวัยเยาว์นัก เกรงว่าคงจนปัญญาจะรับไว้ได้” เจี่ยงปินรีบตัดบทนางก่อนยิ้มเอ่ย “คุณชายกู้พูดอะไรกัน ฝ่าบาททรงตรัสว่าตระกูลกู้เป็นตระกูลของอัครเสนาบดีที่โดดเด่นในใต้หล้าเชียว ที่ผ่านมามีหนุ่มน้อยอายุสิบกว่าปีมาเป็นข้าหลวงก็ไม่น้อย ฝ่าบาททรงเชื่อมั่นในความสามารถของคุณชาย”
“แต่ข้ายังเป็นคนแคว้นหวาอยู่ หากรับตำแหน่งผู้ว่าการเฟิ่งเทียนคงไม่เหมาะสมเท่าไรนัก” ผู้ว่าการเฟิ่งเทียนไม่ได้เป็นเพียงข้าหลวงระดับสามเท่านั้น แต่ยังเป็นขุนนางปกครองราษฎรทั่วทั้งเมืองหลวง ซึ่งทำหน้าที่ดูแลชาวเมืองทั่วทั้งแว่นแคว้นไม่ต่างจากแคว้นหวา แม้ว่าตำแหน่งนี้จะไม่ใช่คนสำคัญอะไร แต่ก็เป็นบุคคลที่กุมอำนาจในมือคนหนึ่ง ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์แต่งตั้งตำแหน่งที่ต้องกุมอำนาจเช่นนี้ให้นางกะทันหันดูน่าสงสัยมากกว่าฝ่าบาททรงแต่งตั้งให้เป็นขุนนางใหญ่ระดับหนึ่งเสียอีก
เจี่ยงปิงยิ้มกล่าว “ฮ่องเต้แคว้นหวาไร้ศีลธรรม เป็นเหตุให้ตระกูลกู้ถูกฆ่าตายทั้งตระกูล ฝ่าบาททรงตรัสแล้วว่าคุณชายวางใจได้ ขอแค่คุณชายมีใจจงรักภักดีต่อแคว้นเย่ว์จริงๆ ฝ่าบาทไม่มีทางสงสัยสิ่งใดในตัวคุณชายเพราะสถานะที่ผ่านมาของคุณชาย อีกอย่างฝ่าบาทก็ทรงเชื่อมั่นว่าคุณชายไม่มีทางติดต่อกับแคว้นหวาแน่นอน มิใช่หรือ”
มู่ชิงอีหลุบตาลง ผ่านไปตั้งนานแล้ว ต่อให้ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์จะไม่ได้สืบเรื่องต่างๆ ในแคว้นหวาอย่างชัดเจนดี แต่ฝ่าบาทก็น่าจะพอรู้คร่าวๆ บ้าง การตายขององค์ชายมากมายของแคว้นหวาล้วนมีความเกี่ยวข้องกับนางแน่นอน ความจริงก็เพียงพอทำให้ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์แน่ใจได้แล้วว่านางตัดขาดกับแคว้นหวาแล้วจริงๆ
มู่ชิงอีเงยหน้ามองหรงจิ่นที่ขมวดคิ้วเข้มพร้อมรอยยิ้มบาง จากนั้นก็รับสาสน์ราชโองการจากเจี่ยงปินมาแล้วกล่าว “เช่นนั้นกู้หลิวอวิ๋นก็ขอขอบพระทัยในความเชื่อมั่นของฝ่าบาท” มาถึงวันนี้ ไม่ว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์จะทรงคิดเช่นใด นางก็ทำได้แค่ก้าวไปข้างหน้าถอยหลังไม่ได้เด็ดขาด ถึงอย่างไรมีอำนาจในมือก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลย
เจี่ยงปินยิ้มเอ่ย “ใต้เท้ากู้ลุกขึ้นเถิด ข้าขอแสดงความยินดีกับใต้เท้ากู้ด้วย อีกอย่างฝ่าบาททรงรู้ว่าใต้เท้ากู้มาจากแคว้นหวาเพียงแต่ตัวเลยประทานจวนให้อีกหนึ่งหลัง…”
“ช้าก่อน!” เจี่ยงปินยังไม่ทันพูดจบ หรงจิ่นก็ก้าวขึ้นมาลากตัวมู่ชิงอีไปไว้ด้านหลังตนแล้วจ้องเจี่ยงปินด้วยสายตาไม่สบอารมณ์เอ่ย “จื่อชิงพักอยู่ในจวนของข้าอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องมีจวนใดทั้งสิ้น”
เจี่ยงปินยิ้มขมขื่นอย่างจนใจเอ่ย “อวี้อ๋อง ฝ่าบาททำเพราะหวังดีต่อใต้เท้ากู้ ควรรู้ว่าจากนี้ไปใต้เท้ากู้ต้องเข้าไปทำงานในราชสำนักแล้ว อีกทั้งยังเป็นถึงขุนนางชั้นสูงระดับสาม หากพักอยู่ในจวนอวี้อ๋องคงสร้างความเสื่อมเสียให้ใต้เท้ากู้เป็นแน่ อวี้อ๋องทรงไตร่ตรองด้วย”
หรงจิ่นสีหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่าเจี่ยงปินหมายความว่าอะไร แต่พอคิดว่าชิงชิงต้องห่างจากตน…ตาแก่สมควรตาย แสร้งทำเป็นจิตใจดีชัดๆ!
ครั้นเห็นสีหน้าหรงจิ่นอึมครึมขึ้นเรื่อยๆ เจี่ยงปินก็มิกล้าชักช้ารีบพูดทุกอย่างจนจบ “จวนของใต้เท้ากู้อยู่ข้างๆ จวนอวี้อ๋อง อวี้อ๋องเสด็จไปได้ตามสะดวกทุกเมื่อ คือว่า…กระหม่อมถ่ายทอดพระราชโองการของฝ่าบาทเรียบร้อยแล้ว หากอวี้อ๋องมีเรื่องใดอยากพูดอีกก็ทรงเข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทโดยตรงจะดีกว่า กระหม่อม…ทูลลา”
พอพูดจบ เจี่ยงปินก็รีบขอตัวจากไปอย่างรวดเร็ว ราวกับกลัวว่าหากหรงจิ่นได้สติขึ้นมาแล้วจะไล่ตามเขาก็มิปาน
ภายในโถงเงียบสงัด ทุกคนในจวนอวี้อ๋องต่างมองหน้ากัน ผ่านไปครู่ใหญ่ปู้อวี้ถังถึงจะได้สติ จากนั้นก็ประสานมืออมยิ้มเอ่ย “ยินดีกับหัวหน้าผู้ดูแล…ใต้เท้ากู้ด้วย”
มู่ชิงอีส่ายศีรษะอย่างระอาใจ ก้มหน้ามองสาสน์สีเหลืองในมือแวบหนึ่ง คนอื่นต้องเพียรพยายามเป็นสิบปีก็ใช่ว่าจะสอบติด ทว่าคนพรางกายเป็นชายอย่างนางกลับก้าวขึ้นเป็นขุนนางใหญ่ระดับสามได้เลยในคราวเดียว หากคนพวกนั้นรู้สถานะของนาง เกรงว่าคงถ่มน้ำลายใส่จนท่วมกายนางได้เลยกระมัง
แต่…เป็นข้าหลวง…อีกทั้งยังเป็นข้าหลวงของแคว้นเย่ว์ด้วยแล้ว นับว่าเป็นเรื่องที่นางไม่เคยทำมาก่อน นัยน์ตาของมู่ชิงอีมีประกายความตื่นเต้นพาดผ่าน รอวันที่พี่ใหญ่กับพี่ชายมาเห็นนางกลายเป็นข้าหลวงของแคว้นเย่ว์เช่นนี้แล้ว ไม่รู้ว่าจะมีท่าทีเช่นใดบ้าง
“จื่อชิง” หรงจิ่นลากมู่ชิงอีที่นานๆ ทีจะเหม่อลอยไปด้านหลังจวน ปู้อวี้ถังลูบจมูกอย่างลังเลใจครู่หนึ่งแต่ก็ไม่ได้ตามไป ถึงแม้เขาเองจะประหลาดใจเช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตำแหน่งรองหัวหน้าผู้ดูแลอย่างเขาไม่ควรทำท่าทางใคร่รู้มากนัก
พอกลับมาเรือนชิงหนิง มู่ชิงอีก็วางสาสน์ราชโองการสีเหลืองไว้บนโต๊ะอีกฝั่งอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็อมยิ้มมองใครบางคนที่กำลังนั่งโมโหอยู่อีกฝั่งเอ่ย “เป็นอะไรไป ไม่ชอบใจหรือเพคะ”
หรงจิ่นเหลือบมองนางอย่างไม่สบอารมณ์กล่าว “ไม่รู้ว่าตกลงตาแก่นั่นคิดจะทำอะไรกันแน่ ข้าจะชอบใจได้เช่นใดเล่า” ก่อนหน้านี้เห็นชิงชิงบอกว่าตาแก่ไม่พอใจนางมาก ทว่าจู่ๆ ก็แต่งตั้งนางให้เป็นขุนนางระดับสามเสียอย่างนั้น คิดเช่นไรก็รู้สึกว่าแฝงเจตนาไม่ดีแน่นอน
มู่ชิงอียิ้มกล่าว “ในฐานะฮ่องเต้ หากคิดจะสังหารหม่อมฉันคงเป็นเรื่องง่ายดาย เหตุใดจะต้องสร้างเรื่องให้วุ่นวายด้วยเล่า”
หรงจิ่นเหลือบมองนางแวบหนึ่งอย่างไม่พอใจนัก “อย่าพูดจาเหลวไหล! หากมีข้าอยู่ตาแก่จะกล้าทำอะไรเจ้า ข้าจะฆ่าเขาเสีย!” เมื่อก่อนอาจจะฆ่าไม่ได้ แต่ตอนนี้คิดๆ ดูแล้วก็คุ้มอยู่ไม่น้อย หรงจิ่นมุ่นคิ้วขบคิด ลำพังเขาคนเดียวคิดจะฆ่าตาแก่นั่นคงเป็นเรื่องยาก แต่หากเพิ่มเซี่ยซิวจู๋มาด้วยอีกคน...เขาไม่เชื่อหรอกว่าตาแก่นั่นจะมีเก้าชีวิต
พลั่ก! ครั้นเห็นหว่างคิ้วของหรงจิ่นแฝงไอสังหารก็เดาได้ทันทีว่าเขาคิดอะไรอยู่ มู่ชิงอีฟาดเขาไปทีหนึ่งอย่างหัวเสีย วันๆ เอาแต่คิดเรื่องฆ่าพ่อฆ่าพี่น้องยังพอช่างมันได้ แต่ไม่ใช้สมองคิดเลยหรืออย่างไรว่าตอนนี้ฆ่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์แล้วมีประโยชน์อะไรกัน หรือองค์ชายพวกนั้นจะดีกว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์หรืออย่างไร หรือจะกล่าวว่าหากฆ่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ไปแล้วจะได้ขึ้นครองราชย์อย่างนั้นหรือ
“ชิงชิง ข้าเป็นห่วงเจ้า” หรงจิ่นมุ่นคิ้วเอ่ย หากรู้แต่แรกว่าสถานการณ์จะกลายเป็นเช่นนี้ หรงจิ่นยอมให้ชิงชิงมาแคว้นเย่ว์ในสถานะมู่ชิงอีเสียยังดีกว่า อย่างน้อยก็ไม่ถึงขั้นต้องแยกจากกันและไร้หนทางจะเจอะเจอนางได้ตลอดเวลาเช่นนี้
มู่ชิงอีถอนหายใจเสียงเบา ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “หม่อมฉันรู้ ไม่ต้องกังวลไปนะเพคะ ท่านไม่เชื่อในความสามารถของหม่อมฉันหรือ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีอวี้อ๋องคอยหนุนหลังอีกด้วย”