“มู่หรงอวี้?” หนานกงอี้ถอนหายใจอย่างดูหมิ่น ก่อนหน้านี้ได้ยินมาว่ากงอ๋องแห่งแคว้นหวาเก่งทั้งปรัชญาและวรยุทธ ตอนนี้ดูเหมือนว่าก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรมากมาย ช่วงนี้พาคนเย่าหวังกู่ไปไหนมาไหนด้วยท่ามกลางผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ในเมืองหลวง ความทะเยอทะยานในใจของเขานั้นไม่ต้องบอกก็รู้ แต่ขุนนางชั้นสูงของแคว้นเย่ว์ไม่ใช่คนโง่ จะไม่ป้องกันตัวจากอดีตองค์ชายแคว้นหวาได้อย่างไร
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ดวงตาของหนานกงอี้ก็เป็นประกาย “จะว่าไปแล้ว…ดูเหมือนว่ามู่หรงอวี้กับกู้หลิวอวิ๋นจะมีความคับข้องใจกันเป็นการส่วนตัวอยู่บ้าง”
“อย่างนั้นหรือ ช่างน่าสนใจ” หรงเซวียนกล่าวอย่างมีนัยยะ
“มู่หรงอวี้หนีมาจากแคว้นหวา ว่ากันว่าเป็นเพราะคนสกุลกู้กลับมาแก้แค้นและจงใจสร้างปัญหา ตอนนี้แม้แต่มู่หรงซีองค์ชายใหญ่แห่งแคว้นหวาก็ยังหาตัวไม่พบ ดูจากท่าทีที่มู่หรงอวี้มีต่อกู้หลิวอวิ๋นแล้ว เกรงว่าในตอนนั้นกู้หลิวอวิ๋นจะเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย” หนานกงอี้กล่าวอย่างเคร่งขรึม
หรงเซวียนมุ่นคิ้วเอ่ย “หมายความว่ากู้หลิวอวิ๋นผู้นี้นั้นไม่ธรรมดาจริงๆ ” ชายหนุ่มอายุสิบสี่สิบห้าปีสามารถทำให้หรงเหยี่ยนต้องแอบระแวดระวัง ซึ่งแสดงให้เห็นแล้วว่าความสามารถของเขานั้นไม่ธรรมดา หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หรงเซวียนก็กล่าวว่า “พวกเราเตรียมการไว้ก่อนแต่ไม่ต้องทำอะไร รอดูว่าเสด็จพ่อคิดจะทำอะไรกันแน่”
ก่อนที่จะรู้ว่าเสด็จพ่อกำลังคิดอะไรแล้วบุกเข้าไปเอาเรื่องกับกู้หลิวอวิ๋น ถือเป็นการกระทำโดยประมาท แม้ว่าหรงเซวียนจะเคยมีผลงานในสนามรบ แต่เขาไม่ใช่คนที่ประมาทหลังจากที่ได้ฝึกฝนประสบการณ์ในวังมาหลายสิบปี
“จริงสิ หากเจ้ามีเวลาก็ฝึกฝนยางเอ๋อร์และคนอื่นสักหน่อย อย่าให้พวกเขาเหมือนกับหรงไหว…” เมื่อนึกถึงท่าทีเหล่านั้นของหรงไหวที่มีต่อหรงจิ่น ในใจหรงเซวียนก็รู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย โชคดีที่ไม่ใช่บุตรชายของตัวเอง แต่หรงเซวียนรู้อยู่แก่ใจว่าบุตรชายของเขาก็ไม่ได้ดีไปกว่าหรงไหวมากนัก เสด็จพ่อไม่ให้ความสำคัญกับหลานชาย กระทั่งกล่าวได้ว่าเขาไม่ยอมพบหลานชายด้วยซ้ำ แม้ว่างานเลี้ยงใหญ่ในวังจะเป็นโอกาสเดียวที่บรรดาหลานชายจะได้พบเสด็จพ่อ แต่เสด็จพ่อก็ไม่เคยพูดคุยหรือชื่นชมบรรดาหลานชายเลยแม้แต่ประโยคเดียว เป็นเหตุให้บรรดาองค์ชายที่กำลังยุ่งอยู่กับการแก่งแย่งชิงดีกันละเลยการฝึกประสบการณ์ของบรรดาบุตรชายของตัวเองเหมือนกันหมด ต่อให้เรียนเก่งแค่ไหนก็ไม่อาจได้ทำงาน ไม่สามารถเข้าราชสำนัก ไม่สามารถไปมาหาสู่กับขุนนาง หากไม่มีการฝึกฝนประสบการณ์ก็เหมือนกับการวางแผนบนกระดาษเท่านั้น หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นก็จะกลายเป็นเหมือนหรงไหว
“กระหม่อมเข้าใจแล้ว” หนานกงอี้พยักหน้าเอ่ย หรงยางเป็นผู้สืบทอดของหรงเซวียน คล้ายกับหรงไหว ความสามารถและสติปัญญาไม่เลวเลยแต่ขาดการฝึกฝน
หรงเซวียนพยักหน้า กล่าวพลางถอนหายใจว่า “ช่างเถิด หลังจากตรุษจีนอวี้เอ๋อร์ก็จะไปชายแดนแล้ว เจ้าเองก็อย่าดุเขาอีกเลย อย่างไรเสีย…เขาก็เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งแม่ทัพที่แท้จริง”
การทำผลงานทางทหารของตระกูลหนานกงนั้นนับว่ายอดเยี่ยม แต่กลับไม่มีคนของตระกูลหนานกงในราชสำนัก หลังจากที่หนานกงเจวี๋ยถูกฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ทำให้ต้องยำเกรง ตระกูลหนานกงกับหรงเซวียนก็กระทำการต่างๆ ได้ยากขึ้น ภายใต้ความสิ้นหวังหนานกงอี้จึงได้ละทิ้งวรยุทธแล้วเรียนรู้ปรัชญา นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาก็ค่อยๆ ลืมไปว่าตัวเองเคยวาดฝันที่จะได้ควบม้าในสนามรบ
หนานกงอี้พยักหน้าด้วยท่าทางเคร่งขรึม ไม่ได้พูดอะไรอีก
ณ จวนอานซุ่นจวิ้นอ๋อง
เมื่อมู่หรงอวี้ได้ยินหลิงซูรายงานข่าว มือที่ถือพู่กันอยู่ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง มีรอยหมึกหลงเหลืออยู่บนกระดาษสีขาวดั่งหิมะ
เขาโยนพู่กันลงในภาชนะลายครามล้างพู่กันที่อยู่ด้านข้าง กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “กู้หลิวอวิ๋น?ผู้ว่าการเฟิ่งเทียน?”
หลิงซูพยักหน้าเอ่ย “ใช่แล้ว เจี่ยงปินที่อยู่ข้างกายฝ่าบาทในวังพึ่งไปถ่ายทอดราชโองการที่จวนอวี้อ๋องเมื่อครู่นี้”
“กู้หลิวอวิ๋น!” มู่หรงอวี้กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ หากตอนนี้มีคำใดที่ทำให้มู่หรงอวี้ต้องเจ็บปวดมากที่สุด เกรงว่าคงจะไม่มีคำอื่นนอกจากคำว่า ‘กู้’ แล้ว กู้มู่เหยียน กู้ซิ่วถิง กู้หลิวอวิ๋น แล้วก็…กู้อวิ๋นเกอ…
เมื่อเห็นใบหน้าโกรธแค้นของมู่หรงอวี้ หลิงซูก็ไม่ได้รู้สึกกลัวแต่อย่างใด กล่าวเสียงเรียบว่า “เจ้าสำนัก เราไม่ควรมีเรื่องกับอวี้อ๋องและกู้หลิวอวิ๋นในตอนนี้”
มู่หรงอวี้กล่าวด้วยความโกรธเคือง “เช่นนั้นเจ้าว่าควรจะทำอย่างไร จนตอนนี้ก็ยังหานักฆ่าแคว้นหวาไม่พบ ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็ไม่ได้มีท่าทีใดๆ กับข้าเช่นเคย มั่วเวิ่นฉิงก็ยังมีชีวิตอยู่ แล้วก็กู้หลิวอวิ๋นผู้นั้น…เจ้าสามารถทำอะไรได้บ้าง”
หลิงซูก้มหน้าลง เอ่ยเบาๆ ว่า “เจ้าสำนักคิดมากไปแล้ว บางทีมั่วเวิ่นฉิงอาจไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าสำนักเลย ด้วยนิสัยของเขาไม่มีทางกลับมาโต้แย้งอะไรกับเจ้าสำนัก ส่วนกู้หลิวอวิ๋น...ดูเหมือนว่าก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าสำนักเช่นกัน แม้ว่าเขาจะแซ่กู้ แต่เหตุใดเจ้าสำนักต้องเก็บไปใส่ใจด้วยเล่า”
มู่หรงอวี้กัดฟันไม่พูดอะไร ชื่อกู้หลิวอวิ๋นนี้ไม่เคยปรากฏขึ้นในแคว้นหวามาก่อน แม้แต่หรงเหยี่ยนที่เห็นเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบก็ยังยืนยันว่ากู้หลิวอวิ๋นคือจังชิงได้หลังจากที่กู้หลิวอวิ๋นยอมรับด้วยตัวเอง คนอื่นจะรู้ถึงเรื่องมากมายเหล่านี้ได้อย่างไร
เมื่อยืนอยู่ด้านหลังมู่หรงอวี้ หลิงซูแทบจะมองบุรุษสีหน้าเกรี้ยวกราดที่อยู่ตรงหน้าด้วยความเวทนาเล็กน้อย แม้ว่าจะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ด้วยความฉลาดของหลิงซูได้มองมู่หรงอวี้ออกตั้งนานแล้ว บุรุษผู้นี้…มีความทะเยอทะยานที่จะครองใต้หล้าแต่กลับไม่มีอำนาจเช่นนั้น บางทีเขาอาจเคยมีโอกาสได้ครองใต้หล้า แต่หลังจากที่ออกจากแคว้นหวาและละทิ้งตำแหน่งองค์ชายแห่งแคว้นหวา เขาก็ได้สูญเสียโอกาสนั้นไปแล้ว และจะไม่มีทางคืนกลับมาได้อีก
มู่หรงอวี้ในตอนนี้เป็นเพียงแค่อานซุ่นจวิ้นอ๋องที่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์แต่งตั้งขึ้นก็เท่านั้น ที่พึ่งเดียวก็มีเพียงสำนักเย่าหวังกู่ หากเขารู้สึกสบายใจที่จะเป็นคนในยุทธภพ เช่นนั้นเขาก็จะยังสามารถอยู่เหนือกว่าผู้อื่นได้ แต่มู่หรงอวี้ที่เกิดในตระกูลราชวงศ์จะอยากได้สถานะธรรมดาๆ ในยุทธภพได้อย่างไร
“เจ้าสำนัก” หลิงซูเอ่ยเสียงเบา “ตอนนี้เจ้าสำนักคงรู้แล้วว่า…เพียงแค่สถานะเจ้าสำนักในแคว้นเย่ว์จะไม่มีวันได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แคว้นหวา…ก็ไม่สามารถกลับไปได้แล้ว หากเจ้าสำนักยังคงไม่เต็มใจกลับไปเย่าหวังกู่ ขอให้เจ้าสำนักโปรดวางแผนโดยเร็วเถิด”
ใบหน้าของมู่หรงอวี้ยิ่งดูหม่นหมองขึ้นกว่าเดิม เขารู้ว่าหลิงซูกำลังเตือนอะไร สิ่งที่หลิงซูพูดมีหรือที่อดีตกงอ๋องแห่งแคว้นหวาอย่างเขาจะไม่เข้าใจ แต่หากจะให้เขาไปพึ่งพาองค์ชายคนใดคนหนึ่ง เขาจะทำใจได้อย่างไร
แม้ว่าหลายคนต่างก็คิดว่าเขากับหรงเหยี่ยนสนิทกัน มันก็เป็นเพียงแค่ความสนิทเท่านั้น เมื่อเขาพึ่งพาองค์ชายคนใดคนหนึ่งอย่างแท้จริง เขาก็จะกลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาการของผู้อื่นนับแต่นี้เป็นต้นไป และไม่ใช่คนที่แม้ว่าตอนนี้จะมีสถานะที่น่าอึดอัดแต่ก็เป็นจวิ้นอ๋องที่นับว่าเป็นแขกของแคว้นเย่ว์ครึ่งหนึ่ง
แต่หากไม่พึ่งพาแล้วจะทำอย่างไรได้ ได้แต่เป็นจวิ้นอ๋องเพียงแค่ในนามไปวันๆ รอนักฆ่าแคว้นหวาที่ไม่รู้ว่าจะมาอีกเมื่อไร หรือว่าจะซ่อนตัวอยู่ในเย่าหวังกู่ไม่ออกมาอีกตลอดชีวิต? ไม่…เขาทำเช่นนั้นไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไร…ตราบใดที่ยังมีเดิมพันอยู่ในมือ เขาก็จะต่อสู้อีกครั้ง!
หลังจากหลับตาลง เมื่อมู่หรงอวี้ลืมตาขึ้นอีกครั้ง นัยน์ตาก็เผยให้เห็นความมุ่งมั่น เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ส่งข้อความไปหาตวนอ๋องให้ข้าด้วย”
หลิงซูกล่าวเสียงเบา “เจ้าสำนัก…ตัดสินใจเลือกตวนอ๋องหรือ”
“เจ้าไม่เห็นด้วย?”
หลิงซูส่ายหน้า “ไม่ใช่ ผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างข้าทำได้เพียงปฏิบัติตามการตัดสินใจของเจ้าสำนักเท่านั้น”
มู่หรงอวี้โบกมือ “ไปเถิด จริงสิ…บอกตวนอ๋องว่าหากไม่อยากทำพลาดอย่างข้า…ทางที่ดีให้รีบฆ่ากู้หลิวอวิ๋นทิ้งเสีย”
หลิงซูที่พึ่งหันหลังกลับมาชะงักไปครู่หนึ่ง กู้หลิวอวิ๋นเก่งขนาดนั้นเชียวหรือ ชายหนุ่มที่อายุเพียงสิบสี่สิบห้าปี…ไม่เห็นจะเหมือนเลย หรือว่านางควรจะไปสืบเรื่องของกู้หลิวอวิ๋นผู้นี้อย่างละเอียดอีกครั้ง…