ประชุมราชสำนักเช้าวันนี้บรรยากาศค่อนข้างแปลกกว่าปกติ เพราะท่ามกลางขุนนางกลุ่มใหญ่ที่มีเคราและผมสีขาวที่ต่อให้แย่แค่ไหนอย่างน้อยก็มีประสบการณ์มาแล้วหนึ่งปี มีชายหนุ่มรูปงามสวมชุดราชสำนักสีแดงระดับสามผู้หนึ่งยืนอยู่
ชายหนุ่มผู้นี้อายุไม่เกินสิบสี่สิบห้าปี ขนาดตัวไม่สูงมากจนทำให้เกือบจะจมอยู่ท่ามกลางกลุ่มบุรุษที่เป็นผู้ใหญ่ เพียงแค่มีคนเดินเข้ามาในพระตำหนักก็จะมองมาที่เขาทันทีอย่างไม่ต้องสงสัย ริมฝีปากแดง ฟันสีขาวราวหิมะ ใบหน้าเนียนละเอียดราวกับหยกที่แกะสลักอย่างประณีต แม้ว่าหน้าตาดูสดใส ไม่ได้มีสีหน้าห้าวหาญ แต่กลับดูเคร่งขรึมและจริงจัง มีท่าทางสง่างามและน่าเกรงขามของชนชั้นสูงในแคว้นเย่ว์ ราวกับว่าทำให้ผู้คนละเลยต่อความรู้สึกขัดแย้งระหว่างอายุรูปร่างหน้าตาของเขากับพระตำหนักใหญ่สีทองอันโอ่อ่านี้ไปโดยปริยาย
ชายหนุ่มไขว้มือไว้ด้านหลัง แม้จะอยู่ภายใต้สายตาที่กำลังมองสำรวจของทุกคนก็ยังคงยิ้มอย่างสุภาพและอ่อนโยน ในดวงตาที่อ่อนโยนมีสัมผัสของความเย็นชาและความห่างเหินจางๆ พลอยทำให้คนรู้สึกเหมือนกับว่าเขานั้นเป็นชนชั้นสูงมาแต่กำเนิด ราวกับว่าชายหนุ่มผู้นี้เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ การที่ให้เขาปีนขึ้นไปอย่างช้าๆ เหมือนคนธรรมดาก็เหมือนเป็นการล้างผลาญพรสวรรค์และสติปัญญาของเขา
องค์ชายห้ามาสายเล็กน้อย เดินไปหาหรงเหยี่ยน มองหรงเหยี่ยนพลางถามเสียงเบาว่า “พี่สี่เป็นอะไรไปหรือ”
หรงเหยี่ยนถอนหายใจเบาๆ “นุ่มนวลเปล่งประกายราวกับหยก ไม่มีใครเทียบได้”
องค์ชายห้ามองดูชายหนุ่มชุดแดงที่ยืนอยู่ด้านหลังสุดของขุนนางพลเรือนระดับสามอย่างสงสัย ชะงักงันไปครู่หนึ่ง ไม่นานก็กล่าวเยาะเย้ยเบาๆ ว่า “ก็เพียงแค่เด็กธรรมดาเท่านั้น สมควรได้รับคำชมจากพี่สี่ที่ไหนกัน”
หรงเหยี่ยนส่ายหน้า ยิ้มเอ่ย “นี่คือคำเอ่ยชมของราษฎรในเมืองหลวงแคว้นหวามีต่อคุณชายใหญ่ตระกูลกู้ คุณชายซิ่วถิงในตอนนั้น น่าเสียดาย…แต่ว่าดูจากท่าทางของกู้หลิวอวิ๋นผู้นี้ เกรงว่าไม่จำเป็นต้องใช้เวลาสองสามปี เมื่อเทียบกับคุณชายซิ่วถิงในตอนนั้นก็คงจะไม่แพ้กัน”
“เช่นนั้นก็เป็นเรื่องสองสามปีให้หลังแล้ว ยังไม่รู้ว่าเสด็จพ่อทรงคิดอย่างไรถึงได้ให้เด็กธรรมดาคนหนึ่งมาเป็นผู้ว่าการเฟิ่งเทียน” ตำแหน่งผู้ว่าการเฟิ่งเทียนไม่นับว่าสูงมาก และหากไม่ใช่เพราะตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่พิเศษของเมืองหลวง ตำแหน่งนี้นับว่าเป็นเพียงตำแหน่งของขุนนางท้องถิ่นเท่านั้น ความจริงแล้วไม่ค่อยได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับราชสำนัก เพียงแต่ว่าต้องดูแลพื้นที่เมืองหลวงและเมืองรอบๆ จึงมีสิทธิพิเศษในการเข้าประชุมราชสำนักและสามารถเข้าเฝ้าฮ่องเต้ได้ตลอดเวลา แต่ตำแหน่งนี้กลับสำคัญมาก เมืองหลวงและเมืองรอบๆ ทั้งหมดรวมถึงสถานที่ใกล้เคียงอยู่ภายใต้เขตอำนาจของเขา ไม่ต้องพูดถึงความขัดแย้งของคนในราชสำนัก การที่ให้เด็กอายุเพียงสิบกว่าปีขึ้นมานั่งตำแหน่งนี้ก็เหมือนกับเป็นเรื่องไร้สาระ
หรงเหยี่ยนยิ้มเล็กน้อยเอ่ย “เด็กหรือ…เด็กที่ไหนที่จะมีท่าทางสงบเยือกเย็นเช่นนี้ น้องห้า ตอนที่เจ้ากับข้าเข้าราชสำนักครั้งแรกในใจคงรู้สึกประหม่าอยู่บ้างกระมัง”
องค์ชายห้าหันไปหาชายหนุ่มชุดแดงผู้นั้น พบว่าเขาสงบนิ่ง ใบหน้าแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม บางครั้งก็พูดคุยกับเหล่าขุนนางที่ยืนอยู่ข้างเขาสองสามประโยค ท่าทางสุขุม ไม่ขี้ขลาดและไม่ได้เย่อหยิ่ง เป็นอย่างที่หรงเหยี่ยนกล่าว ดูเหมือนว่าจะเป็นหยกงามที่เนียนละเอียด
“ไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย” หลังจากผ่านไปสักพักหนึ่ง องค์ชายห้าจึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างทอดถอนใจ
“อวี้อ๋องเสด็จ!” ที่ประตูมีเสียงอันเสียดแหลมของขันทีดังขึ้น หรงจิ่นที่สวมชุดราชสำนักสีม่วงเดินเข้ามาอย่างฉับไวด้วยใบหน้าเมินเฉย บรรดาขุนนางรีบพากันเดินเข้าไปคำนับ
หรงจิ่นกลับเพิกเฉยต่อความกระตือรือร้นของทุกคน เดินตรงไปหามู่ชิงอี ยิ้มเอ่ย “เหตุใดจื่อชิงถึงมาก่อน ไม่รอข้าเล่า”
ตอนนั้นเองที่ทุกคนพลันตระหนักได้ว่าก่อนหน้านี้กู้หลิวอวิ๋นเคยเป็นหัวหน้าผู้ดูแลจวนอวี้อ๋อง แม้ว่าฮ่องเต้จะประทานเรือนให้แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ย้ายออกไป
มู่ชิงอียิ้มอย่างหมดปัญญา “ประชุมราชสำนักครั้งแรกรู้สึกประหม่าเล็กน้อย จึงมาทำความคุ้นเคยก่อนสักหน่อย” หรงจิ่นเอียงศีรษะมองนางด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อเจ้าประหม่าก็ควรจะมาพร้อมข้า ข้าจะช่วยเสริมความกล้าให้เจ้า ดูสิว่าใครจะกล้ามารังแกจื่อชิง”
ยามที่เขาพูดเช่นนี้ ดวงตาที่เย็นชาและเคร่งขรึมของอวี้อ๋องก็ค่อยๆ กวาดมองใบหน้าของทุกคน หลายคนที่วางแผนอยู่ในใจมาก่อนหน้านี้ก็พากันสั่นสะท้านและก้มหน้าลงอย่างเงียบๆ ทันที ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการกระทำของอวี้อ๋องนั้นกำลังประกาศให้ทุกคนรู้ว่ากู้หลิวอวิ๋นเป็นคนของเขา ใครก็ตามที่กล้ามีเรื่องกับกู้หลิวอวิ๋นก็เท่ากับว่ามีเรื่องกับเขาด้วย
มู่ชิงอียิ้มบาง เอ่ยเสียงเรียบ “ขอบพระทัยอวี้อ๋อง กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิ่นจึงได้พอใจ ยิ้มเอ่ย “ใช่แล้ว แม้ว่าเจ้าจะมีจวนแล้ว เราก็ยังเป็นเพื่อนบ้านกันไม่ใช่หรือ คราวหน้ามาประชุมราชสำนักพร้อมกันเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ทุกคนล้วนตกตะลึง หมายความว่าต่อไปนี้อวี้อ๋องจะมาราชสำนักทุกวัน? แล้วจากนี้ไปจะทำอย่างไร พวกเขาจะหาโอกาสตีสนิทกับใต้เท้ากู้ได้อย่างไร หรือว่า…ต้องหาวิธีอื่น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือหากอวี้อ๋องอยู่ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำอะไรเลยก็สามารถทำให้คนรู้สึกกดดันได้อย่างไรเหตุผล ก่อนหน้านี้อวี้อ๋องประชุมราชสำนักก็เหมือนกับสามวันจับปลา สองวันตากแห เต็มใจก็มา ไม่เต็มใจก็ไม่มา ตอนนี้กลับเป็นเพราะต้องการปกป้องกู้หลิวอวิ๋นผู้นี้จึงมาประชุมราชสำนักทุกวันอย่างนั้นน่ะหรือ
มู่ชิงอีมองสีหน้าที่แตกต่างกันของทุกคนด้วยความขบขัน สามารถเดาได้อย่างง่ายดายว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ ยิ้มเอ่ย “เช่นนั้นต่อไปนี้ต้องขอรบกวนท่านอ๋องแล้ว”
หรงจิ่นยิ้มอย่างสดใส “ไม่รบกวนๆ จื่อชิงอายุน้อยกว่าข้าก็ยังต้องเข้าประชุมราชสำนัก ข้ารู้สึกว่าควรจะต้องขยันกว่านี้ ต่อไปพวกเราควรให้กำลังใจซึ่งกันและกัน”
ท่านอ๋อง ท่านเกิดมามีฐานะสูงส่ง ไม่จำเป็นต้องขยันขันแข็งเลยแม้แต่นิดเดียว เหล่าขุนนางแอบคร่ำครวญอยู่ในใจ
“นี่…น้องเก้า เสด็จพ่อใกล้เสด็จแล้ว” หรงเซวียนที่อยู่ด้านข้างกระแอมเตือนเบาๆ ตำแหน่งยืนในราชสำนักขององค์ชายเก้านั้นแตกต่างจากผู้อื่น แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำอะไรเลยแต่ก็ยืนถัดจากหรงเซวียนกับหรงเหยี่ยน และยืนอยู่หน้าหรงไหวซึ่งเป็นหลานชายคนโตของฮ่องเต้
เมื่อได้ยินคำพูดของหรงเซวียน หรงจิ่นก็ไม่ได้มีท่าทางรำคาญ เดินไปยืนอยู่ข้างหรงเหยี่ยน หรงเหยี่ยนยิ้มเอ่ย “วันนี้น้องเก้ามาเร็วจริงๆ”
หรงจิ่นหรี่ตาด้วยสีหน้าสดใสและท่าทางที่ผ่อนคลาย “ไม่เร็วหรอก พี่สี่มาเร็วกว่าข้าเสียอีก”
หรงไหวกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “อาเก้าก็ไม่ได้มีธุระต้องทำ เหตุใดต้องมาราชสำนักแต่เช้าเล่า”
หรงจิ่นอารมณ์ดี เลยไม่ได้โกรธเคืองแต่อย่างใด ยิ้มตาหยีเอ่ย “แน่นอนว่ามาเพื่อยืนอยู่ข้างหน้าเจ้า ข้าไม่ได้มีธุระอะไรต้องทำ ก็ยังได้ยืนอยู่ด้านหน้าเจ้าเช่นเคย ส่วนเจ้า…เหนื่อยจนแทบจะหมดแรงก็ยังต้องยืนอยู่ข้างหลังข้าอย่างเชื่อฟัง รู้หรือไม่ ของเช่นนี้…อิจฉากันไม่ได้กระมัง”
หรงไหวยิ้มเย้ยหยัน “ข้าต้องอิจฉาด้วยหรือ แน่นอนว่าข้าไม่ได้โชคดีเหมือนอาเก้าที่มีเสด็จแม่ที่ดี...”
“ไหวเอ๋อร์!” สีหน้าหรงเหยี่ยนเปลี่ยนไปเล็กน้อย กล่าวตำหนิเสียงเบา
โชคดีที่หรงไหวยังพอรู้ขอบเขต พูดเสียงเบาราวกระซิบ มีเพียงหรงเหยี่ยนและหรงจิ่นที่อยู่ด้านหน้าเขาเท่านั้นที่ได้ยิน สายตาของหรงจิ่นแฝงไว้ด้วยความเย็นชาอยู่ครู่หนึ่ง มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อขยับเล็กน้อย แต่กลับยังไม่ทันได้ทำอะไร เสียงแหลมสูงเสียดแก้วหูของเจี่ยงปินก็ดังขึ้นในพระตำหนัก “ฮ่องเต้เสด็จ!”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์สวมชุดมังกรสง่างามและโอ่อ่า เดินช้าๆ ออกมาจากด้านหลังพระตำหนัก จ้องมองไปที่คนในตำหนักที่อยู่ด้านล่างด้วยสายตาเคร่งขรึม สายตาของเขาหยุดอยู่ที่มู่ชิงอีอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไปหยุดอยู่ที่หรงจิ่น
“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท!” เหล่าขุนนางกล่าวถวายบังคมอย่างพร้อมเพรียงกัน
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์โบกมือ ตรัสเสียงเรียบ “ลุกขึ้นเถิด”
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง