“ขอบพระทัยฝ่าบาท!”
“หากทุกคนมีเรื่องอันใดก็ให้ว่ามา หากไม่มีเรื่องอันใดก็แยกย้ายกันไปเถิด!” เจี่ยงปินที่อยู่ข้างฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เอ่ยเสียงดัง นี่เป็นการประชุมราชสำนักครั้งแรกหลังจากตรุษจีน เนื่องจากมีเรื่องมากมายที่ไม่ได้จัดการมาหลายวัน ย่อมมีคนจำนวนไม่น้อยก้าวไปข้างหน้าเพื่อรายงานเรื่องที่ต้องให้ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ตัดสินใจ โดยพื้นฐานแล้วไม่ได้มีธุระของมู่ชิงอีเลย
ผู้ว่าการเฟิ่งเทียนนับว่าเป็นขุนนางท้องถิ่น รับผิดชอบความเป็นอยู่ของราษฎร ไม่จำเป็นต้องรบกวนฮ่องเต้แคว้นเย่ว์หากไม่มีเรื่องสำคัญ อีกอย่างมู่ชิงอีเป็นขุนนางใหม่ที่พึ่งเข้ารับตำแหน่ง ยังจะมีเรื่องอันใดได้อีก ดังนั้นแม้ว่าผู้ว่าการเฟิ่งเทียนจะต้องประชุมราชสำนัก แต่ก็ไม่จำเป็นต้องมาประชุมราชสำนักทุกวัน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีสิทธิพิเศษในการขอเข้าเฝ้าได้ทุกเมื่อ เกียรติที่ได้เข้าประชุมราชสำนักดูเหมือนจะเป็นรางวัลของผู้ว่าการเฟิ่งเทียนที่ไม่ได้เป็นนามธรรมมากนัก ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้วผู้ว่าการเฟิ่งเทียนของราชวงศ์ในอดีตจึงไม่ค่อยได้พูดคุยในพระตำหนักมากนัก
แน่นอนว่ามู่ชิงอีไม่ได้เป็นกังวล ซ้ำยังฟังคำรายงานของบรรดาขุนนางและการจัดการของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์อย่างใจเย็น รู้สึกประหลาดใจที่พบว่า แม้ว่าเขาจะอายุเกือบเจ็ดสิบชันษาแล้ว แต่ความคิดอ่านของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ยังคงชัดเจนและรวดเร็ว แต่เมื่อเทียบกับความระมัดระวังของฮ่องเต้แคว้นหวา เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์จัดการอย่างเรียบง่ายและโหดเหี้ยม ดังนั้นบรรดาขุนนางจึงมักจะระมัดระวังเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาอย่างเห็นได้ชัด ด้วยความสามารถเช่นนี้จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ทรงครองบัลลังก์มาสี่สิบปีแล้ว ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามในการจัดการงาน การประเมินยกย่องของคนในใต้หล้าที่มีต่อเขายังอยู่สูงกว่าอดีตฮ่องเต้แคว้นเย่ว์หลายพระองค์ หากไม่ใช่เพราะการกระทำที่ดื้อรั้นในยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา เกรงว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์คงจะกลายเป็นฮ่องเต้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของแคว้นเย่ว์แน่นอน
ความยั่วยวนของสิ่งสวยงาม…นั้นน่าอัศจรรย์เช่นนี้เชียวหรือ
ในช่วงต้นและช่วงปลายของรัชสมัยฮ่องเต้แคว้นเย่ว์นั้นมีความโดดเด่นอย่างชัดเจน โดยพื้นฐานแล้วอาจเอ่ยได้ว่าเริ่มตั้งแต่ตอนที่พระสนมเหมยเข้าวัง ในช่วงแรกฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ปกครองบ้านเมืองอย่างชาญฉลาดและขยันขันแข็ง แทบจะมีคุณสมบัติทั้งหมดของผู้ปกครองที่ปราดเปรื่อง แต่หลังจากเกิดเรื่องพระสนมเหมย ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็เริ่มใช้ความรุนแรง เย็นชา ไร้ความปราณี ปกครองบ้านเมืองพอถูๆ ไถๆ แม้ว่าจะไม่มีข้อผิดพลาดอันใหญ่หลวง เนื่องจากรากฐานในช่วงต้นและความสามารถของเขา แต่อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่าความสามารถถดถอยลง การเก็บภาษีของราษฎรเพิ่มขึ้น เอะอะก็ฆ่าล้างบาง
ในการประชุมราชาสำนักช่วงเช้า ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ไม่ได้เอ่ยตรัสอะไรถึงกู้หลิวอวิ๋น ราวกับว่าเป็นเรื่องปกติที่จะมีรับสั่งให้ชายหนุ่มอายุสิบห้าปีเป็นผู้ว่าการเฟิ่งเทียนอย่างกะทันหัน ในขณะเดียวกันก็ไม่มีขุนนางออกมาแสดงความคิดเห็น ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เคยทำเรื่องที่อุกอาจกว่านี้มามากมาย ก็เพียงแค่รอให้กู้หลิวอวิ๋นทำผิดพลาด เมื่อถึงเวลานั้นค่อยเขียนฎีกาให้เขาออกจากตำแหน่งก็พอแล้ว
เมื่อการประชุมราชสำนักในช่วงเช้าจบลง มู่ชิงอีกับหรงจิ่นถูกเรียกให้อยู่ต่อพร้อมกันอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อคนอื่นพากันถอยออกไปด้วยสีหน้าที่แตกต่างกัน หรงจิ่นจึงได้จ้องมองไปที่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ เอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “เสด็จพ่อ ท่านหมายความว่าอย่างไร”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ ราวกับไม่เข้าใจว่าเหตุใดหรงจิ่นจึงได้ถามเช่นนี้ “จิ่นเอ๋อร์ เป็นอะไรไปหรือ”
หรงจิ่นจ้องไปที่เขาพลางเอ่ยว่า “เรื่องของจื่อชิง จู่ๆ ก็แต่งตั้งเขาเป็นผู้ว่าการเฟิ่งเทียนอย่างกะทันหัน ท่านคิดจะทำอะไร”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ถอนหายใจแล้วตรัสขึ้นว่า “จิ่นเอ๋อร์ เจ้าคิดว่าเราจะทำอะไร” หรงจิ่นยิ้มอย่างเย็นชาพลางเอ่ย “ลูกจะรู้ความคิดของเสด็จพ่อได้อย่างไร หากเสด็จพ่อทนลูกไม่ได้ ก็ไล่ลูกออกจากราชวงศ์ก็พอแล้วไม่ใช่หรือ จะสร้างความลำบากให้กับชายหนุ่มที่อายุเพียงสิบกว่าปีทำไมกัน”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เลิกคิ้ว “เช่นนั้นเจ้าพาเขากลับมาด้วยทำไม อย่าบอกเราว่าเจ้ากับกู้หลิวอวิ๋นไม่ได้รู้จักกันที่แคว้นหวา”
หรงจิ่นเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ดังนั้นความหมายของท่านพ่อก็คือลูกควรจะถูกทุกคนทอดทิ้งตามที่โชคชะตากำหนด ให้ความเคารพแต่ไม่ควรสนิทชิดใกล้ คนที่จะคอยพูดคุยอยู่ข้างกายก็ไม่มี รอเสด็จพ่อกลับสวรรค์เมื่อไร ลูกก็สมควรที่จะถูกชำระบัญชี ข้าเคยพูดไปก่อนหน้านี้แล้วว่าหากเสด็จพ่อต้องการให้ข้าตาย ก็ไม่จำเป็นต้องทำให้มันวุ่นวายเช่นนี้”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์มองไปที่ใบหน้าเย็นชาอันงดงามของหรงจิ่น ขมวดคิ้วแน่น “จิ่นเอ๋อร์กำลังโทษเราหรือ”
หรงจิ่นกระตุกมุมปากอย่างเยือกเย็น แสร้งทำเป็นยิ้มพลางเอ่ยว่า “มิบังอาจ ไม่ว่าจะฟ้าร้องหรือฝนตกก็เป็นของขวัญที่สวรรค์ประทานให้ลูก”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ทอดพระเนตรเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักใคร่ ถอนหายใจตรัส “เด็กดี เสด็จพ่อเพียงแค่อยากจะปกป้องเจ้า แต่กลับลืมไป…เจ้าเองก็โตแล้ว ช่างเถิด ต่อไปเจ้าอยากจะทำอะไรเราจะไม่สนใจเจ้าอีกแล้ว ส่วนกู้หลิวอวิ๋น...สิ่งที่เราเห็นคือความสามารถ พอดีเรายังหาผู้ที่เหมาะสมสำหรับตำแหน่งผู้ว่าการเฟิ่งเทียนไม่ได้ จึงให้เขารับตำแหน่งไปก่อน รอให้เราหาคนที่เหมาะสมได้แล้วค่อยเปลี่ยนก็พอแล้ว”
น้ำเสียงและสายตาของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่น แต่มู่ชิงอีทียืนอยู่ข้างล่างกลับไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นในนั้น หรงจิ่นก็เพียงแค่เบะปากอย่างไม่ใส่ใจ เอ่ยอย่างไม่จริงใจว่า “ลูกขอบพระทัยเสด็จพ่อ”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ถอนหายใจ “ช่างเถิด เดิมทีพ่อไม่หวังให้เจ้าเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้ แต่เจ้ากลับ…ไปเถิด”
“ลูกทูลลา”
“กระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
ทั้งสองคนเดินออกจากประตูวังเคียงข้างกัน มู่ชิงอีหันกลับไปมองวังที่อยู่ด้านหลังที่งามสง่าแต่กลับแฝงไว้ด้วยความมืดมน ถามเสียงเบาว่า “ที่ฝ่าบาทตรัส ท่านเชื่อหรือไม่”
หรงจิ่นยิ้มอย่างเย็นชา “ข้า…ไม่เชื่อแม้แต่คำเดียว!”
มู่ชิงอีแอบถอนหายใจ นางเองก็ไม่เชื่อเช่นกัน…
เมื่อมีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แน่นอนว่ามู่ชิงอีไม่สามารถติดตามหรงจิ่นกลับไปที่จวนอวี้อ๋องได้โดยตรง แต่กลับตรงไปที่ว่าการเฟิ่งเทียน เดิมทีที่ว่าการควรอยู่ใจกลางเมือง แต่ศูนย์กลางของเมืองหลวงนั้นย่อมต้องเป็นพระราชวัง ที่ว่าการเฟิ่งเทียนเลยถูกย้ายไปทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองหลวง
เมื่อเห็นชายหนุ่มสวมชุดราชสำนักสีแดงลงจากรถม้า เจ้าหน้าที่ที่ประตูที่ว่าการก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แม้ว่าจะได้ยินมานานแล้วว่าใต้เท้าผู้ว่าการคนใหม่อายุยังน้อย แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะอายุน้อยเช่นนี้ มองดูแล้วราวกับเด็กที่มีรูปร่างงดงามและสูงส่ง
“นี่คือ…ใต้ ใต้เท้า…”
มองดูเจ้าหน้าที่ที่ออกมาต้อนรับพูดจาตะกุกตะกัก มู่ชิงอีจึงอดยิ้มไม่ได้ “ทำไม เข้าไปไม่ได้หรือ”
“มิบังอาจ...ใต้เท้ารีบเข้ามาเถิดขอรับ” เจ้าหน้าที่ตื่นตระหนก นี่คือใต้เท้าที่เข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการคนใหม่ ใครจะกล้าไม่ให้เขาเข้ามาเล่า
ในห้องโถงใหญ่ของที่ว่าการ ฝู่เฉิงของที่ว่าการเฟิ่งเทียนได้นำกลุ่มจู่ปู้ ตำแหน่งที่ว่าการของขุนนางพลเรือนและขุนนางเล็กใหญ่มาต้อนรับ “ผู้น้อยเป็นฝู่เฉิงของที่ว่าการเฟิ่งเทียนนามว่าฉินฮุย ขอคำนับใต้เท้า”
ฝู่เฉิงคือตำแหน่งรองผู้ว่าการ ในขณะเดียวกันก็เป็นขุนนางระดับสี่ ดังนั้นเมื่อเห็นกู้หลิวอวิ๋น แม้ว่าจะให้ความเคารพแต่ก็ยังมีความเป็นกันเอง แต่เจ้าหน้าที่เล็กๆ ภายใต้บังคับบัญชานั้นแตกต่างกัน คนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นขุนนางระดับหกระดับเจ็ด หรือแม้แต่ไม่มีระดับ การแต่งตั้งหรือถอดถอนนั้นขึ้นอยู่กับคำพูดของผู้ว่าการ ดังนั้นแม้ว่าใต้เท้าที่เป็นผู้ว่าการคนใหม่ดูเหมือนจะเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่ม แต่ก่อนที่พวกเขาจะเข้าใจอารมณ์ของใต้เท้าอย่างชัดเจน คนเหล่านี้ก็ยังให้ความเคารพและเชื่อฟัง
มู่ชิงอีโบกมือพลางเอ่ยว่า “ใต้เท้าฉินไม่ต้องมากพิธี ที่นี่ก็ไม่ได้มีคนนอก เชิญใต้เท้าฉินนั่งลงคุยกันก่อนเถิด” ฉินฮุยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยขอบคุณพลางเดินไปนั่งที่ตำแหน่งถัดไป มู่ชิงอีเดินไปนั่งบนที่นั่งหลักด้านบน ขมวดคิ้วเอ่ย“เหตุใดจึงมีเพียงคนเหล่านี้”
ฉินฮุยยกมือคำนับ “รายงานใต้เท้า ก่อนหน้านี้…ใต้เท้าอดีตผู้ว่าการถูกประหารชีวิต มีบางคนติดตามไปด้วย…”
ไม่จำเป็นต้องพูดชัดเจน ผู้นำถูกประหารชีวิต ทั้งครอบครัวถูกเนรเทศ เกรงว่าในที่ว่าการจะมีคนของเขาอยู่ไม่น้อย ย่อมไม่ได้มีจุดจบที่ดี มู่ชิงอีขมวดคิ้ว คนไม่พอก็ยากที่จะดำเนินการ ดูเหมือนว่าจะต้องไปขอยืมตัวปู้อวี้ถังที่จวนอวี้อ๋องมาใช้งาน ขณะที่กำลังครุ่นคิดก็มีเสียงรายงานดังมาจากนอกประตูที่ว่าการ “เรียนใต้เท้า นอกประตูมีคุณชายแซ่ปู้มาขอพบ บอกว่าองค์ชายอวี้อ๋องส่งมาขอรับ”
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง