“อาวู่ววว...” จิ้งจอกน้อยเกาะเสื้อมู่ชิงอี ร้องราวกับว่ากำลังฟ้อง น่าเสียดาย แม้ว่ามู่ชิงอีจะฉลาดมากแค่ไหนแต่ก็ไม่เข้าใจภาษาจิ้งจอกได้ และจิ้งจอกน้อยก็ไม่สามารถพูดภาษามนุษย์ได้ ทำได้เพียงปลอบอย่างอ่อนโยน “เด็กดี ไม่ต้องกลัว…ข้าจะคุยกับหรงจิ่นให้ทีหลัง ไม่ให้เขารังแกเจ้าอีก ต่อไปนี้เจ้าก็เดินหนีเขาได้หรือไม่”
“อาวู่ว อาวู่ววว...” จิ้งจอกน้อยกะพริบตา ไม่รู้ว่าฟังมู่ชิงอีเข้าใจหรือไม่ แต่ดวงตาเล็กๆ กลับดูน้อยใจยิ่งกว่าเดิม มู่ชิงอีถอนหายใจเอ่ย “คราวหน้าหากอวี้อ๋องมาอย่าให้เขาเห็นหั่วเอ๋อร์” มู่ชิงอีไม่เข้าใจว่าหรงจิ่นมีความอดทนมากแค่ไหนจึงได้มากลั่นแกล้งสุนัขจิ้งจอกน้อยทุกวัน แต่หั่วเอ๋อร์ก็ไม่รู้ว่าอะไรคือคำว่ากลัว ทุกครั้งที่ถูกหรงจิ่นรังแก ครั้งต่อไปก็ยังโผล่มาให้เขาเห็นอีก แล้วก็ถูกรังแกจนต้องมาฟ้องทั้งน้ำตา ครั้งแล้วครั้งเล่าไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อไร
อิ๋งเอ๋อร์แอบปิดปากหัวเราะ กล่าวด้วยน้ำเสียงสดใสว่า “เจ้าค่ะ คุณชาย” แต่เกรงว่าไม่ว่าพวกนางจะซ่อนหั่วเอ๋อร์ไว้ที่ใด อวี้อ๋องก็สามารถหามันเจอจนได้ หลายครั้งที่นางบังเอิญเห็นสายตาที่องค์ชายจ้องหั่วเอ๋อร์โดยไม่ได้ตั้งใจ มักจะมีร่องรอย…ของความอิจฉาริษยาอยู่เสมอ
“อาวู่ววว...” หั่วเอ๋อร์ออดอ้อนอยู่ข้างแก้มมู่ชิงอี
“ฮ่า ฮ่า หลิวอวิ๋น นี่คือจิ้งจอกเพลิงที่อวี้อ๋องไปเอามาจากชิงโจวเป็นพิเศษใช่หรือไม่” หนานกงอวี้ที่อยู่ข้างหลังมู่ชิงอีเดินเข้ามา ก้มหน้าพลางหัวเราะ มองดูเจ้าตัวน้อยที่ขนสีสว่างดั่งเพลิงหมอบอยู่บนไหล่ของชายหนุ่มชุดขาวราวกับเปลวไฟที่กำลังลุกโชน พลอยทำให้คนมองรู้สึกสบายตา
มู่ชิงอีถอนหายใจอย่างหมดปัญญา “เจ้าเองก็รู้ด้วยหรือ”
หนางกงอวี้ยิ้มเอ่ย “ในเมืองหลวงมีใครบ้างไม่รู้ว่าอวี้อ๋องเสด็จไปที่ป่าภูเขาลึกอันเก่าแก่ในชิงโจวทั้งที่อากาศหนาวเช่นนี้เพื่อไปจับเจ้าตัวน้อยนี้มาเป็นของขวัญให้เจ้า”
มู่ชิงอีไม่รู้ว่าควรจะมีท่าทีอย่างไร ทั้งๆ ที่ใครบางคนกะจะแกล้งคนที่ติดตามไป แต่กลับกลายเป็นข่าวลือที่งดงามเสียได้ คนที่ยืนเคียงไหล่กับหนานกงอวี้เป็นพี่ชายคนโตของหนานกงอวี้ ซึ่งเป็นขุนนางศาลต้าหลี่คนปัจจุบันนามว่าหนานกงอี้ เมื่อเห็นรอยยิ้มอย่างสบายใจของหนานกงอวี้ที่มีต่อกู้หลิวอวิ๋น หนานกงอี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย พลันรู้สึกว่าตัวเองไม่เข้าใจความคิดของน้องชาย
ตอนนี้เรื่องของกู้หลิวอวิ๋นกับอวี้อ๋องนับว่าเป็นข่าวที่มีสีสันในเมืองหลวง ด้วยนิสัยแต่ไหนแต่ไรของหนานกงอวี้จะอยู่ห่างจากคนเหล่านี้อย่างแน่นอน แต่เมื่อหนานกงอวี้เผชิญหน้ากับกู้หลิวอวิ๋น ก็ยิ้มราวกับว่าเป็นเพียงแค่สหายที่ดีต่อกันธรรมดาทั่วไป ไม่หวั่นไหวกับข่าวลือภายนอกแม้แต่น้อย
กู้หลิวอวิ๋นผู้นี้…เมื่อมองไปที่ชายหนุ่มชุดขาวตรงหน้า ขณะที่เขากำลังก้มหน้าหยอกล้อสุนัขจิ้งจอกน้อย ริมฝีปากของเขามีรอยยิ้มจางๆ กู้หลิวอวิ๋นผู้นี้มีความเป็นมิตรและความอ่อนโยนในแบบที่คนที่ชอบอยู่ในกระแสน้ำวนแห่งอำนาจอย่างพวกเขาไม่มี ทำให้ผู้คนอยากจะใกล้ชิดแม้พึ่งจะรู้จักอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“ข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ ขอใต้เท้ากู้โปรดอย่าถือสา” หนานกงอี้ยกมือขึ้นคำนับพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
มู่ชิงอียิ้มบางเอ่ย “ใต้เท้าหนานกงกล่าวเกินไปแล้ว การที่ใต้เท้าหนานกงมาเยี่ยม ผู้น้อยรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก”
หนานกงอวี้เหลือบมองพี่ชายคนโตของตน แล้วมองสหายคนสนิทที่กำลังยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางขมวดคิ้ว กล่าวอย่างไม่พอใจว่า “พี่ใหญ่ ข้ากับหลิวอวิ๋นคุยกันครู่เดียวก็กลับแล้ว ท่านตามมาด้วยทำไมกัน”
หนานกงอี้เหลือบมองเขา “พรุ่งนี้เจ้าจะต้องออกเดินทางไปชายแดนแล้ว จะไม่ให้พี่คุยกับเจ้าสักหน่อยหรือ อีกอย่าง…ข้ากับใต้เท้ากู้ก็เป็นขุนนางราชสำนักเดียวกัน หรือว่าข้าจะไม่มีเรื่องคุยกับใต้เท้ากู้เหมือนเจ้าอย่างนั้นหรือ”
หนานกงอวี้บ่นพึมพำเสียงเบา “คนหนึ่งเป็นขุนนางศาลต้าหลี่ อีกคนหนึ่งเป็นผู้ว่าการเฟิ่งเทียน พวกท่านมีอะไรต้องคุยกันด้วยหรือ” แม้ว่าทั้งสองจะเป็นขุนนางระดับเดียวกัน แต่โดยพื้นฐานแล้วไม่มีอะไรต้องไปมาหาสู่กัน เว้นเสียแต่ว่าหลิวอวิ๋นจะกระทำความผิดร้ายแรงจนตกไปอยู่ในมือของพี่ใหญ่ หรือไม่ก็เป็นพี่ใหญ่ที่กระทำการล่วงเกินขอบเขตของหลิวอวิ๋น
มู่ชิงอีส่ายหน้าพลางยิ้มแล้วกล่าวว่า “วันนี้จะพูดคุยเรื่องการเดินทางของหนานกงพอดี ไม่สู้ใต้เท้าหนานกงมานั่งด้วยกัน”
หนานกงอี้ยืนยันที่จะติดตามน้องชายมาจวนตระกูลกู้ให้ได้ เดิมทีก็มีแผนที่จะตีสนิทกับกู้หลิวอวิ๋น แน่นอนว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยาก “เช่นนั้นก็ต้องรบกวนใต้เท้ากู้แล้ว”
ทั้งสามคนเดินเข้าไปในจวน เมื่อเทียบกับจวนอวี้อ๋องของหรงจิ่น จวนที่ฮ่องแต้แคว้นเย่ว์ประทานให้นั้นย่อมไม่ได้ใหญ่มาก แต่สำหรับขุนนางระดับสามก็นับว่าเพียงพอแล้ว การตกแต่งในจวนนับว่าสง่างามเป็นอย่างมาก สิ่งที่หาได้ยากกว่านั้นคือในสวนดอกไม้จะมีสะพานข้ามบ่อน้ำเล็กๆ ที่ชนชั้นสูงแคว้นหวาชื่นชอบ เมื่อเทียบกับความงดงามของแคว้นเย่ว์ มันดูอ่อนโยนและสง่างามกว่าเล็กน้อย
ด้านนอกห้องตำราหน้าจวนมีต้นเหมยหนึ่งต้น ช่วงนี้ดอกเหมยกำลังเบ่งบานพอดี เมื่อเปิดหน้าต่างกลิ่นหอมจางๆ จะตลบอบอวลไปทั่ว กิ่งก้านของต้นเหมยยื่นมาถึงหน้าต่างพอดี ราวกับภาพดอกเหมยในฤดูเหมันต์อย่างไรอย่างนั้น
หนานกงอวี้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ได้กลิ่นหมึกที่แฝงไว้ด้วยกลิ่นดอกเหมยลอยมาจากห้องตำรา ยิ้มเอ่ย “สมแล้วที่หลิวอวิ๋นเป็นตระกูลนักปราชญ์ของแคว้นหวา น้อยคนในแคว้นเย่ว์ของพวกเราที่จะมีความสง่างามเช่นนี้ อย่างน้อย…ตระกูลหนานกงของพวกเราก็ไม่มี”
ตระกูลหนานกงเป็นแม่ทัพมาหลายชั่วอายุคน แม้ว่าหนานกงอี้จะละทิ้งศิลปะการต่อสู้แต่กลับเป็นการทำไปตามสถานการณ์ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ ที่หนานกงอวี้กล่าวว่าตระกูลหนานกงนั้นขาดความสง่างามนั้นเป็นเรื่องจริง
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “ฝีมือการต่อสู้ของแม่ทัพหนานกงนั้นไม่มีผู้ใดเทียบได้ มีเกียรติของทหาร เป็นวีรบุรุษอย่างแท้จริง แน่นอนว่านักปราชญ์แคว้นหวานั้นสง่างาม แต่ก็ยังขาดความกล้าหาญ พรุ่งนี้หนานกงจะเดินทางไปชายแดนแล้ว ข้าขอให้หนานกงรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน เป็นคนรุ่นหลังที่เหนือกว่าคนรุ่นก่อน”
“ขอบคุณกู้หลิวอวิ๋น!” หนานกงอวี้ยิ้มพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใส แม้ว่าเขาจะไปชายแดนเพื่อเดินตามรอยท่านพ่อ แต่ว่าคนที่ยกย่องเขาในเมืองหลวงนั้นกลับมีไม่มาก ไม่ใช่ว่าเขาไม่ดีพอ แต่เป็นเพราะท่านพ่อของเขาเก่งเกินไป แม้ว่าแม่ทัพหนานกงจะมีชื่อเสียงไปทั่วหล้า แต่ในขณะเดียวกันเขามักจะมีสีหน้าเย็นชากับคนที่อยู่ตรงหน้ารวมถึงบุตรชายของเขาด้วย มู่ชิงอีเป็นคนแรกที่อวยพรให้เขาเหนือกว่าคนรุ่นก่อน หลายวันมานี้สิ่งที่เขาได้ยินมากที่สุดก็คือต้องพยายามให้มากอย่าให้เสื่อมเสียชื่อเสียงความเก่งกาจของแม่ทัพใหญ่หนานกง แม้ว่าผู้ที่พูดอาจจะไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่ก็ยังรู้สึกไม่สบายเล็กน้อยเมื่อได้ยินบ่อยๆ
เมื่อเห็นใบหน้าเด็กหนุ่มที่เต็มไปด้วยความกระฉับกระเฉงของหนานกงอวี้ มู่ชิงอีก็ยิ้มเอ่ย “หนานกงต้องการปกป้องชายแดน ตามหลักแล้วข้าควรจะให้ของขวัญแก่ท่านจึงจะถูก”
หนานกงอวี้ยิ้มเอ่ย “หากเจ้ายังมีสุราชิงจู๋อายุสามสิบปีอยู่ก็มอบให้ข้าอีกสักสองามไหเถิด” มู่ชิงอีกล่าวอย่างหมดปัญญา “สุราเหล่านั้นไม่มีแล้ว” ลุกขึ้นแล้วเดินไปด้านข้าง หยิบกล่องยาวๆ ออกจากตู้แล้วนำมาวางไว้ตรงหน้าหนานกงอวี้“ ตอนที่ซื้อม้าครั้งที่แล้วท่านอ๋องก่อเรื่องจนวุ่นวายไปหมด แต่ว่าตอนนี้นับว่าหนานกงมีม้าที่ล้ำค่าแล้ว ก็ควรจะมีอาวุธที่ดีด้วย ดูสิว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
หนานกงอวี้เลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ ภายใต้สายตาที่แฝงไว้ด้วยรอยยิ้มของมู่ชิงอี เขาเดินไปข้างหน้าพลางเปิดกล่องที่อยู่บนโต๊ะ ในกล่องใส่กระบี่ที่เรียบง่ายและดูโบราณ เพียงแต่ว่าเมื่อดูเช่นนี้เหมือนจะไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ แต่หนานกงอวี้กลับแอบรู้สึกใจเต้นเบาๆ
หยิบกระบี่ยาวขึ้นมาอย่างระมัดระวัง เสียงกระบี่ยาวถูกดึงออกจากฝัก ให้ความรู้สึกอ่อนโยนและสงบ ไม่ได้รู้สึกถึงความแหลมคมและไอสังหารที่อาวุธควรมี แต่กระบี่กลับแอบบอกผู้ที่ถือมันว่านี่ไม่ใช่เพียงของเล่นแต่เป็นกระบี่ไร้เทียมทาน สามารถควบคุมชีวิตและความตายได้
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง