เมื่อเห็นหนานกงอี้ชะงักไป มู่ชิงอีก็ยิ้มพลางเอ่ยเสียงเรียบว่า “ใต้เท้าหนานกง พวกเราอย่ายืนบังทางเข้าประตูเลย เกรงว่าอีกสักครู่อานซุ่นจวิ้นอ๋องจะไล่พวกเราออกจากจวนเอา”
แม้ว่าสถานะของทั้งสองจะไม่สูงนัก แต่กลับเป็นที่สนใจอย่างมาก เพียงแค่ยืนอยู่หน้าประตูครู่เดียวก็มีสายตามากมายจับจ้องไปที่ทั้งสองคน ตอนนี้บรรดาขุนนางชั้นสูงในเมืองหลวงได้ยอมรับนานแล้วว่ากู้หลิวอวิ๋นเป็นคนของอวี้อ๋อง และตระกูลหนานกงก็เป็นของจวงอ๋องอย่างไม่ต้องสงสัย ตอนนี้กู้หลิวอวิ๋นกับหนานกงอี้มีความสัมพันธ์ที่ดี ก็หมายความว่าอวี้อ๋องมีความตั้งใจจะสานสัมพันธ์กับจวงอ๋องไม่ใช่หรือ เมื่อเป็นเช่นนี้ จวงอ๋องมีอำนาจ ชื่อเสียง และผลงาน ส่วนอวี้อ๋องก็เป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท หากทั้งสองคนร่วมมือกัน องค์ชายคนอื่นๆ จะยังคงมีความหวังอยู่อีกหรือ
ชั่วขณะหนึ่ง สายตาที่มองมายังทั้งสองคนเริ่มซับซ้อนเล็กน้อย
หนานกงอี้เลิกคิ้ว มองมู่ชิงอีด้วยรอยยิ้ม การที่เขาพูดคุยกับมู่ชิงอีตรงนี้ก็มีเจตนาเช่นนั้นตั้งแต่แรกแล้ว นับว่าเป็นการทดสอบอย่างหนึ่งเท่านั้น ย่อมไม่กลัวว่าจะถูกผู้คนพบเห็น เพียงแต่ว่าหลายวันมานี้ท่าทีของอวี้อ๋องดูคลุมเครือเล็กน้อย ทำให้หนานกงอี้ไม่แน่ใจว่าอวี้อ๋องจะรับพันธมิตรที่พวกเขายื่นให้ หรือเพียงแค่ขี้เกียจที่จะสนใจเรื่องเล่านี้กันแน่
มู่ชิงอีถอนหายใจ ลูบจมูกแล้วยิ้มเอ่ย “ใต้เท้าหนานกงไม่กลัวว่าจะถูกผู้อื่นเห็น แต่หลิวอวิ๋นไม่อยากเป็นจุดสนใจ”
หนานกงอี้ยิ้มเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็เข้าไปคุยข้างในเถิด แต่ว่า…ใต้เท้ากู้เป็นที่รู้จักในใต้หล้าในด้านความงดงาม แต่กลับกลัวคนมอง ทำให้ข้ารู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก”
เมื่อต้องเผชิญกับคำพูดเสียดสีของหนานกงอี้ มู่ชิงอีก็ทำได้เพียงแต่ยิ้มแหย
นี่เป็นครั้งที่สองที่มู่ชิงอีมาจวนอานซุ่นจวิ้นอ๋อง แต่ครั้งนี้แตกต่างจากครั้งที่แล้วที่มากับหรงจิ่นซึ่งถูกคนส่วนใหญ่มองว่าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของอวี้อ๋อง มีขุนนางระดับเดียวกันไม่น้อยทยอยเท้ามาทักทาย แม้ว่ากู้หลิวอวิ๋นจะรับตำแหน่งผู้ว่าการเฟิ่งเทียนเพียงแค่หนึ่งเดือน แต่ชายหนุ่มอายุสิบกว่าปีที่ไม่เคยมีประสบการณ์ใดๆ เลยกลับสามารถจัดการภัยพิบัติหิมะที่พึ่งผ่านไปทั้งๆ ที่พึ่งเข้ารับตำแหน่ง ซ้ำยังจัดการที่ว่าการเฟิ่งเทียนทั้งหมดได้อย่างเป็นระเบียบกว่าผู้ว่าราชการคนก่อนที่ดำรงตำแหน่งเป็นเวลาสองสามปี จะไม่ให้ผู้คนประหลาดใจได้อย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้นในระยะเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งเดือน ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ได้เอ่ยปากชมกู้หลิวอวิ๋นต่อหน้าเหล่าข้าราชบริพารไปแล้วสองครั้ง ไม่ว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์จะคิดอย่างไรกับนาง แต่อย่างน้อยฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็ชื่นชมความสามารถในการจัดการเรื่องต่างๆ ของกู้หลิวอวิ๋นอย่างชัดเจน
ในสายตาของเหล่าข้าราชบริพาร ใต้เท้ากู้ผู้นี้เป็นดาวรุ่งที่มีอนาคตสดใสอย่างไร้ขีดจำกัด หากไม่ใช่เพราะกังวลว่ามีข่าวลือกับอวี้อ๋อง เกรงว่าคนเหล่านี้คงจะพากันยกบุตรสาว หลานสาวหรือน้องสาวของตัวเองให้แต่งกับเขาแล้ว
“ดูเหมือนว่าใต้เท้ากู้จะได้รับความนิยมมากจริงๆ” เมื่อเห็นมู่ชิงอีรับมือกับผู้ที่มาทักทายอย่างใจเย็น หนานกงอี้ก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
มู่ชิงอีเลิกคิ้วยิ้มเอ่ย “ใต้เท้าหนานกงกล่าวเกินไปแล้ว”
เมื่อเห็นชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าท่าทางสงบนิ่งไม่สะทกสะท้านกับอิทธิพลภายนอก หนานกงอี้จึงทำได้เพียงถอนหายใจอย่างจนปัญญา เห็นได้ชัดว่าจวนอานซุ่นจวิ้นอ๋องแห่งนี้ไม่เหมาะสำหรับการพูดคุยเรื่องส่วนตัว ทั้งสองคนจึงต้องไปหาที่นั่ง พูดคุยกันอย่างสบายๆ พลางฟังบรรดาแขกที่อยู่รอบๆ คุยกัน
แม้ว่ามู่หรงอวี้จะมีตำแหน่งเป็นจวิ้นอ๋อง แต่ในสายตาของขุนนางชั้นสูงในเมืองหลวงเหล่านี้กลับเห็นว่าไม่มีค่าอะไร ดังนั้นบรรดาองค์ชายและบรรดาขุนนางชั้นสูงส่วนใหญ่จึงไปแสดงความยินดีที่จวนฉินอ๋อง แต่มู่ชิงอีกลับไม่ได้ติดตามหรงจิ่นไปที่จวนฉินอ๋อง กลับมาที่จวนอานซุ่นจวิ้นอ๋องเพียงคนเดียว แต่การที่ได้พบกับหนานกงอี้นั้นช่างบังเอิญเป็นอย่างมาก
“เหตุใดใต้เท้าหนานกงจึงมาที่นี่เล่า” ด้วยความสัมพันธ์ของตระกูลหนานกงกับราชวงศ์ ไม่ว่าอย่างไรหนานกงอี้ก็ควรจะไปแสดงความยินดีที่จวนฉินอ๋องจึงจะถูก
หนานกงอี้เอนกายพิงเก้าอี้ ยิ้มเอ่ย “ท่านแม่พาภรรยาข้าไปแสดงความยินดีกับฉินอ๋องและผิงหูจวิ้นจู่แล้ว ข้าก็เลยมาดูความครึกครื้นที่จวนอานซุ่นจวิ้นอ๋อง การที่ได้พบกับใต้เท้ากู้นับว่าเป็นโชคชะตา เพียงแต่ว่าใต้เท้ากู้…” หนานกงอี้เลิกคิ้วยิ้มเอ่ย “เหตุใดใต้เท้ากู้จึงมาจวนอานซุ่นจวิ้นอ๋อง”
มู่ชิงอีก็ไม่ได้แก้ตัวให้ดูสวยหรูแต่อย่างใด ยิ้มตาหยีเอ่ย “จะว่าไปแล้วข้ากับอานซุ่นจวิ้นอ๋องก็นับว่าเป็นคนบ้านเดียวกัน ย่อมต้องมาแสดงความยินดี”
หางตาของหนานกงอี้กระตุกเล็กน้อย ตอนนี้ในใต้หล้ามีใครบ้างไม่รู้ว่าการล่มสลายของตระกูลกู้นั้นเป็นเพราะการใส่ร้ายของมู่หรงอวี้ และสถานการร์ที่โชคร้ายในตอนนี้ของมู่หรงอวี้ก็คงจะหนีไม่พ้นฝีมือของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้ สมกับเป็นคนบ้านเดียวกันจริงๆ ผู้ที่ไม่รู้เกรงว่าจะคิดว่ากู้หลิวอวิ๋นมาเพื่อทำลายพิธีกระมัง
เมื่อต้องเผชิญกับสายตาที่สงสัยของหนานกงอี้ มู่ชิงอีจึงกล่าวอย่างจริงใจว่า “ข้ามาเพื่อแสดงความยินดีจริงๆ ”
หนานกงอี้เพียงแต่ยิ้มไม่ได้กล่าวอะไร แล้วชี้ไปที่ประตู “ดูเหมือนว่าจะมีคนไม่น้อยเลยที่มาแสดงความยินดีเหมือนกับใต้เท้ากู้”
ที่หน้าประตู เว่ยอู๋จี้ที่สวมชุดสีม่วงเดินเข้ามา เพียงแต่ว่ายากนักที่เขาจะไม่ได้พาเชียนหลิงมาด้วย มู่ชิงอีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สงสัยว่าเว่ยอู๋จี้คงจะไม่ให้เชียนหลิงไปแสดงความยินดีที่จวนฉินอ๋องคนเดียวหรอกกระมัง ไม่ใช่ว่ามู่ชิงอีดูถูกเชียนหลิง แต่ท่าทางของเชียนหลิงดูเหมือนจะไม่ใช่คนที่สามารถออกรับหน้าเพียงคนเดียวได้
“คุณชายกู้ ใต้เท้าหนานกง” เว่ยอู๋จี้ไม่ได้มีความลังเล หยุดอยู่ที่หน้าประตูครู่หนึ่งก่อนที่จะเดินไปหามู่ชิงอีกับหนานกงอี้โดยตรง เมื่อเทียบกับความไม่ใส่ใจของมู่ชิงอี เห็นได้ชัดว่าหนานกงอี้ให้ความสำคัญกับสถานะของเว่ยอู๋จี้เป็นอย่างมาก อย่างไรเสียความมั่งคั่งในใต้หล้าของคุณชายเว่ยก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ และไม่ว่าจะเป็นการแย่งชิงตำแหน่งหรือบัลลังก์ก็เป็นเรื่องที่ต้องการเงินจำนวนมาก
“คุณชายเว่ย ยินดีที่ได้พบ”
แววตาของหนานกงอี้เป็นประกาย เหลือบมองมู่ชิงอีซึ่งนั่งถัดจากเขาที่กำลังดื่มชาอย่างใจเย็น แอบเดาว่าเว่ยอู๋จี้มาหาใครกันแน่
เว่ยอู๋จี้กลับไม่ได้สนใจสายตาที่มองสำรวจของหนานกงอี้ มองมู่ชิงอีด้วยรอยยิ้มเอ่ย “คุณชายกู้ได้รับเกียรติแต่งตั้งเป็นผู้ว่าการเฟิ่งเทียน ข้ายังไม่ได้แสดงความยินดีด้วยเลย”
มู่ชิงอียิ้มพลางเอ่ยเสียงเรียบว่า “คุณชายเว่ยเกรงใจแล้ว คุณชายเว่ยร่ำรวยที่สุดในใต้หล้า จะเห็นผู้ว่าราชการตำแหน่งเล็กๆ ในสายตาได้อย่างไร พูดเช่นนี้…ทำให้ข้าอดรู้สึกประหลาดใจที่ได้รับการใส่ใจจากคุณชายเว่ยไม่ได้”
“คุณชายกู้ถ่อมตัวเกินไปแล้ว คนที่อายุน้อยอย่างคุณชายกู้ได้มาเป็นผู้รับผิดชอบเขตเมืองหลวงและเมืองรอบๆ ข้ากล้าบอกได้ว่าไม่ว่าจะเป็นร้อยปีข้างหน้าหรือร้อยปีที่ผ่านมา เกรงว่าจะไม่มีบุคคลที่น่าทึ่งอย่างคุณชายแล้ว”
รอยยิ้มของมู่ชิงอีพลันแข็งทื่อเล็กน้อย “คุณชายเว่ยชมเกินไปแล้ว” คำพูดดีๆ ใครก็ชอบฟัง แต่หากชมเกินจริงจะทำให้คนรู้สึกรับไม่ได้ แม้ว่ากู้หลิวอวิ๋นจะเป็นบุคคลมีความสามารถที่น่าทึ่งซึ่งหาได้อยากในรอบห้าร้อยปี แต่ตอนนี้พึ่งผ่านไปเพียงหนึ่งเดือน และยังไม่มีเรื่องสำคัญอะไรจึงไม่สามารถรับคำชมเช่นนี้จากเว่ยอู๋จี้ได้ หากเป็นคนอื่นเกรงว่าจะคิดว่าเว่ยอู๋จี้กำลังพูดจาเสียดสี
มู่ชิงอีรู้ว่าเว่ยอู๋จี้ไม่ใช่คนที่น่าเบื่อเช่นนั้นแน่นอน
เมื่อเงยหน้ามองเว่ยอู๋จี้ มู่ชิงอีก็ยิ้มพลางเอ่ยเสียงเรียบว่า “คุณชายเว่ยนั่งลงคุยกันก่อนดีหรือไม่”
แน่นอนว่าเว่ยอู๋จี้ไม่เกรงใจ ยิ้มเอ่ย “รบกวนทั้งสองท่านแล้ว”
หนานกงอี้ยิ้มเอ่ย “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร หากเป็นปกติก็ไม่แน่ว่าจะมีโอกาสได้พูดคุยกับคุณชายเว่ย”
“ใต้เท้าหนานกงล้อเล่นแล้ว” เว่ยอู๋จี้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง