แต่มู่ชิงอีก็รู้ว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปต้องไม่ดีแน่ มู่ชิงอียิ้มอย่างลำบากใจเอ่ย “คุณชายเว่ย ท่านหนีไปเถิด” เว่ยอู๋จี้เอ่ยเสียงเรียบว่า “ไม่ได้ ในเมื่อข้าเป็นคนพาเจ้าออกมาก็ต้องพาเจ้ากลับไป มิเช่นนั้นอวี้อ๋องจะไม่ถล่มจวนข้าหรือ”
คนชุดดำก็พบว่าหากดึงดันเช่นนี้ต่อไปก็ไร้ประโยชน์ ดวงตาเคร่งขรึมกล่าวเสียงดังว่า “คุณชายเว่ย หากท่านยังไม่ถอย อย่าโทษว่าพวกข้าเสียมารยาท”
เว่ยอู๋จี้เพียงแต่เงียบไมได้กล่าวอะไร ดึงมู่ชิงอีเพื่อหลบหลีกกระบี่ที่ตวัดเข้าหาอย่างชำนาญ
“ยิง!” คนชุดดำโบกมือ ฉับพลันกลุ่มมือธนูก็ปรากฏตัวขึ้นไม่ไกลนัก ลูกธนูทั้งหมดเล็งไปที่ทิศทางที่พวกเขาอยู่
ในช่วงเวลานั้นแววตาของเว่ยอู๋จี้พลันเต็มไปด้วยความชั่วร้าย ยิ้มอย่างเย็นชาเอ่ย “พวกเจ้ากะจะฆ่าข้าด้วยอย่างนั้นหรือ”
คนชุดดำลังเลอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “นายท่านมีคำสั่งให้ฆ่ากู้หลิวอวิ๋นโดยไม่มีเงื่อนไขอะไรทั้งนั้น!”
เว่ยอู่จี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยเสียงเรียบว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้…พวกเจ้าทุกคนก็ไปตายเสียเถิด”
“ระวัง? ยิงธนู!” เห็นได้ชัดว่าคนชุดดำรู้ถึงนัยยะของเว่ยอู๋จี้ เว่ยอู๋จี้พึ่งจะเคลื่อนไหว เขาก็ตะโกนขู่ทันที
เว่ยอู๋จี้คว้าตัวมู่ชิงอี ใช้แขนเสื้อกว้างปัดฝนลูกธนูที่พุ่งเข้ามากลับไปทันที ทันใดนั้นคนชุดดำหลายคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็ล้มลง
เว่ยอู๋จี้ย่อตัวลงแล้วแบกมู่ชิงอีไปอีกฝั่งของถนนบนภูเขาอย่างรวดเร็ว “ตาม! คุณชายเว่ย ท่านต้องการจะต่อต้านนายท่านจริงๆ หรือ”
เขตชานเมืองของเมืองหลวงในตอนกลางวัน เงาสีม่วงแบกชายชุดขาวผ่านป่าไม้บนภูเขาไปอย่างรวดเร็ว คนชุดดำที่อยู่ข้างหลังก็ไล่ตามไม่ห่างเช่นกัน
เมื่อหนีพ้นคนชุดดำได้ระยะหนึ่ง เว่ยอู๋จี้จึงได้ปล่อยมู่ชิงอีที่สีหน้าซีดเผือกพลางกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
ถูกคนแบกเป็นเวลานานเช่นนี้ สำหรับผู้ที่ไม่มีวรยุทธแล้วหากบอกว่าไม่เป็นอะไรจึงจะเป็นเรื่องแปลก มู่ชิงอีพยายามเก็บอาการเวียนหัวและอยากจะอาเจียน ถามว่า “ท่านรู้จักคนเหล่านั้นหรือ” เว่ยอู๋จี้ออมมือ แม้ว่านางจะมองการต่อสู้ของเขาไม่ออก แต่นางก็รู้ชัดเจนว่าเขาแข็งแกร่งแค่ไหน หากเว่ยอู๋จี้ลงมือขึ้นมาจริงๆ ไม่มีทางถูกคนชุดดำเหล่านั้นไล่ตามจนต้องวิ่งหนี บอกได้เพียงว่าเว่ยอู๋จี้รู้จักเจ้านายของนักฆ่าเหล่านี้ ซ้ำความสัมพันธ์ยังค่อนข้างดีอีกด้วย
“ขออภัย” เว่ยอู๋จี้กล่าวอย่างเคร่งขรึม “เรื่องในวันนี้เป็นข้าที่ประมาท เจ้าวางใจเถิด…ต้องไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน” มู่ชิงอียิ้มอย่างลำบากใจ นางไม่ได้มองโลกในแง่ดีขนาดนั้น ยืนพิงต้นไม้ มู่ชิงอีเก็บอาการวิงเวียนพลางถามว่า “คุณชายเว่ย เห็นแก่ว่าข้าโชคร้าย ไม่แน่อาจจะไม่มีชีวิตรอด บอกข้าได้หรือไม่ว่าใครส่งนักฆ่ามา”
เว่ยอู๋จี้เงียบไป ใช้ท่าทีแสดงถึงการปฏิเสธโดยตรง
มู่ชิงอียักไหล่อย่างหมดปัญญา กำลังจะกล่าวอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นเว่ยอู๋จี้ก็กล่าวขึ้นมาว่า “พวกเขาตามมาแล้ว พวกเราไปกันเถิด” พูดจบก็ไม่รอให้มู่ชิงอีตอบอะไร คว้าตัวนางเหมือนเมื่อครู่แล้วแสดงวิชาตัวเบาพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว มู่ชิงอีเห็นเพียงทิวทัศน์สีเขียวระหว่างทางที่กำลังหายไปอย่างรวดเร็ว ลมหนาวพัดผ่านใบหู ในที่สุดก็ไม่สามารทนได้จนเป็นลมหมดสติไป
ก่อนที่จะตกอยู่ในความมืด มู่ชิงอีแอบรู้สึกเสียใจ หากรู้ว่าจะมีวันนี้ เหตุใดในตอนนั้นนางถึงไม่คิดที่จะฝึกฝนทางด้านปรัชญาและศิลปะการต่อสู้ไปพร้อมๆ กัน
เมื่อมู่ชิงอีตื่นขึ้นมาอีกครั้งท้องฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว จับศีรษะที่รู้สึกวิงเวียนเล็กน้อยพลางลุกขึ้นนั่ง จากนั้นจึงได้พบว่าตัวเองนอนอยู่ในหุบเขากำบังลมแห่งหนึ่ง บนตัวถูกคลุมด้วยเสื้อคลุมสีม่วง เว่ยอู๋จี้นั่งอยู่เงียบๆ ข้างกองไฟอยู่ไม่ไกล เมื่อเห็นว่ามู่ชิงอีตื่นแล้วจึงได้เงยหน้ามองนางด้วยท่าทางแปลกๆ
มู่ชิงอีเอาเสื้อคลุมบนตัวออกจะคืนให้เว่ยอู๋จี้ แต่กลับได้กลิ่นเลือดจางๆ บนเสื้อ นางไม่ได้รับบาดเจ็บ เว่ยอู๋จี้ก็ดูเหมือนจะไม่ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าหลังจากที่นางสลบไปเว่ยอู๋จีได้ฆ่าคนแล้ว
“คุณชายเว่ย ขอบคุณท่านมาก ที่นี่ที่ไหน”
เว่ยอู๋จี้ไม่ได้เอื้อมมือมารับเสื้อ เพียงแต่เอ่ยเสียงเรียบว่า “คลุมไว้เถิด ตอนกลางคืนที่นี่หนาวมาก” มู่ชิงอีขมวดคิ้วพลางมองเสื้อผ้าบางๆ ของเว่ยอู๋จี้ “แต่ว่า ท่าน…”
เมื่อเห็นว่ารอยยิ้มของเว่ยอู๋จี้แฝงไว้ด้วยความเย้ยหยันเล็กน้อย มู่ชิงอีจึงนึกขึ้นได้ว่าเว่ยอู๋จี้ก็เหมือนกับหรงจิ่น มีความแข็งแกร่งภายในระดับหนึ่ง ทำให้ไม่กลัวต่อความร้อนและความหนาว
หลังจากกล่าวขอบคุณเสียงเบา มู่ชิงอีก็เอาเสื้อมาคลุมไว้เหมือนเดิม นางได้บทเรียนมากมายในฤดูหนาวของแคว้นเย่ว์ ตอนนี้ก็ต้นฤดูใบไม้ผลิแล้ว ความหนาวเย็นก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย นางก็ไม่ได้คิดที่จะทรมานร่างกายตัวเอง ขยับเข้าไปนั่งใกล้กองไฟเล็กน้อย มู่ชิงอีมองไปรอบๆ พลางถามว่า “ที่นี่คือที่ใด”
เว่ยอู๋จี้เอ่ยเสียงเรียบ “ที่นี่ห่างจากเมืองหลวงสามสิบสี่ลี้ และอาจมีการซุ่มโจมตีระหว่างทางกลับเมืองหลวง พรุ่งนี้ค่อยกลับ”
“แต่ว่า…” มู่ชิงอีขมวดคิ้ว กังวลเล็กน้อยว่าหากหรงจิ่นที่อยู่ในเมืองหลวงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรลงไปบ้าง
เว่ยอู๋จี้เอ่ยเสียงเรียบว่า “เจ้าวางใจ อวี้อ๋องไม่ใช่คนมุทะลุ”
มู่ชิงอีหลับตาลง แอบถอนหายใจ การรับมือกับคนโง่ทำให้คนรู้สึกหงุดหงิดก็จริง แต่หากฝ่ายตรงข้ามฉลาดเกินไปก็ทำให้รู้สึกหดหู่เช่นกัน หากละทิ้งอคติที่มีต่อเชียนหลิงแล้ว เว่ยอู๋จี้นับว่าเป็นหนึ่งในคนที่ฉลาดที่สุดที่นางรู้จัก แต่ที่เลวร้ายที่สุดก็คือนางไม่แน่ใจกับเจตนาของอีกฝ่าย ทำให้รู้สึกว่าเว่ยอู๋จี้ผู้นี้ยิ่งอันตรายขึ้นไปอีก
ดูเหมือนว่าเว่ยอู๋จี้จะไม่ได้สนใจความระมัดระวังของมู่ชิงอี เอื้อมมืออย่างช้าๆ ไปหักกิ่งไม้แห้งแล้วโยนเข้าไปในกองไฟ การกระทำเช่นนี้ยังคงทำให้เขาดูงามสง่าราวกับคุณชายชั้นสูงในชุดม่วงที่ราวกับขุนนางผู้เย่อหยิ่งในเมืองหลวง
“คุณชาย…กู้ ดูเหมือนว่าจะไม่สงสัยในตัวข้าเลยแม้แต่นิดเดียว”
เว่ยอู๋จี้กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
มู่ชิงอีขมวดคิ้วเล็กน้อย เว่ยอู๋จี้มองนางเอ่ย “ดูเหมือนว่าคุณชายกู้จะไม่แปลกใจเลยที่ข้าเป็นวรยุทธ”
เพราะข้ารู้ตั้งนานแล้วว่าเจ้าเป็นวรยุทธ ใบหน้ามู่ชิงอีสงบนิ่งราวกับน้ำ ซ้ำยังแฝงไว้ด้วยความสงสัยอย่างเหมาะสม “มีอะไรน่าประหลาดใจกัน หรือว่า…เดิมทีคุณชายเว่ยไม่เป็นวรยุทธ”
เว่ยอู๋จี้พูดไม่ออก เดิมทีคุณชายเว่ยไม่เป็นวรยุทธ? นับว่าเป็นเหตุผลที่ไม่เลวเลย ทั้งสามารถอธิบายได้ว่ากู้หลิวอวิ๋นไม่คุ้นเคยกับเว่ยอู๋จี้ดังนั้นจึงไม่รู้ และแสดงให้เห็นว่าคุณชายกู้ไม่ได้สนใจคุณชายเว่ย
หากเป็นเมื่อก่อน ไม่แน่เว่ยอู๋จี้อาจจะถูกมู่ชิงอีหลอกด้วยคำพูดเหล่านี้ แต่ตอนนี้…เว่ยอู๋จี้จ้องมองไปที่มู่ชิงอีอย่างสบายๆ ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงได้มีความรู้สึกว่ามีความหมายแอบแฝง
แน่นอนว่ามู่ชิงอีสังเกตเห็นสายตาแปลกๆ ของเว่ยอู๋จี้ ทันใดนั้นก็อดใจเต้นไม่ได้ ไม่ใช่ว่านางไม่เชื่อในคุณธรรมของเว่ยอู๋จี้ แต่…หลายสิ่งหลายอย่างควบคุมได้ยากเมื่อคนอยู่ในอาการสะลึมสะลือ การจ้องมองของเว่ยอู๋จี้ทำให้มู่ชิงอียากที่จะหลอกตัวเองว่าไม่ได้ทำความลับอะไรรั่วไหลออกไป
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง