“เปิดไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์เกลี้ยกล่อมด้วยความหวังดี หากเปิดได้องครักษ์ที่ต่ำต้อยอย่างเขาจะทำให้อวี้อ๋องไม่พอใจทำไม เขาไม่ได้อยากตายเสียหน่อย
หรงจิ่นกระแอมเบาๆ เขาไม่ทำให้องครักษ์คนนั้นลำบากใจ เขาหยิบป้ายทองออกมาแล้วเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ตอนนี้เปิดได้หรือยัง”
ในมือของหรงจิ่น คือป้ายทองมังกรเก้ากรงเล็บ บนป้ายทองสลักคำว่า ‘เราเสด็จมาเอง’ มันคือป้ายทองส่วนตัวของฮ่องเต้ ไม่ต้องเอ่ยถึงประตูเมือง แม้แต่ประตูพระราชวังก็เปิดได้ เดิมทีฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์มอบสิ่งนี้ให้เขาพราะกลัวว่าหรงจิ่นจะเข้าออกพระราชวังไม่สะดวก แต่กลับคิดไม่ถึงว่าหลังจากที่หรงจิ่นได้รับมันไป เขาไม่เคยใช้มันเข้าไปในพระราชวังแม้แต่ครั้งเดียว และครั้งแรกที่ใช้กลับเป็นที่แห่งนี้
องครักษ์รับสั่งให้เปิดประตูเมือง ทันทีที่ประตูเมืองเปิดออก หรงจิ่นก็พุ่งออกไปราวกับสายลม
ออกมาจากเมืองได้ไม่นาน ก็เจอกับเซี่ยซิวจู๋และอู๋ซินที่ออกมาตามหามู่ชิงอีตั้งนานแล้ว เห็นหรงจิ่นขี่ม้าออกมา อู๋ซินก็มีสีหน้ารู้สึกผิด ถึงแม้คุณหนูสั่งให้เขาไปทำอย่างอื่น แต่การเป็นองครักษ์ประจำตัว ทำให้เจ้านายตัวเองหายตัวไป นับเป็นความผิดที่ยิ่งใหญ่
“ท่านอ๋อง” เซี่ยซิวจู๋ขมวดคิ้วด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
มองดูข้างหลังเซี่ยซิวจู๋ ไม่เห็นคนที่ตัวเองรอคอย สายตาของหรงจิ่นก็มืดมนลง เขาเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “สหายเซี่ย มีเบาะแสอะไรหรือไม่”
เซี่ยซิวจู๋เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “น่าจะถูกคนโจมตีกับเว่ยอู๋จี้ แต่คุณชายกู้และเว่ยอู๋จี้คงจะหนีไปได้ ระหว่างทาง เราจับคนสองคนที่มีท่าทีพิรุธได้ แต่… ยังไม่ได้เบาะแสอะไร พวกเขาก็ชิงฆ่าตัวตายแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หรงจิ่นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก หากอยู่กับเว่ยอู๋จี้ ด้วยฝีมือการต่อสู้ของเว่ยอู๋จี้ แค่เขาไม่เป็นอันตรายต่อชิงชิง นางคงไม่มีอันตรายถึงชีวิต สำหรับคนที่จับตัวได้…“ฆ่าตัวตาย? ในเมืองหลวงของเรามีกองกำลังลึกลับเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร” ทันทีที่ถูกจับก็ฆ่าตัวตาย นี่คือพฤติกรรมของนักฆ่าที่กล้าหาญ แต่ใครกันที่มีอำนาจขนาดนี้ แล้วยังเคียดแค้นชิงชิงเช่นนี้ ถึงได้ส่งนักฆ่ามาฆ่านาง?
จากสัญชาตญาณ หรงจิ่นรู้สึกว่าคนเหล่านี้จะเล็งเป้ามาที่ชิงชิง ไม่ใช่เว่ยอู๋จี้ที่อยู่กับชิงชิง
“ตามหาระยะไกลหน่อย ตามหารอบๆ ไม่ว่าเช่นไรก็ต้องรีบตามหาจื่อชิงให้เจอโดยเร็ว” หรงจิ่นเอ่ยอย่างเคร่งขรึม ด้วยฝีเท้าของเว่ยอู๋จี้ หากเขาเป็นคนพาชิงชิงออกไปจริงๆ คงไม่มีทางอยู่ใกล้เมืองหลวง หรงจิ่นหลับตาลง ยื่นมือออกไปจับหยกเย็นที่เอวตัวเองด้วยความเคยชิน ความรู้สึกเย็นยะเยือกเข้ามาในฝ่ามือ ทำให้อารมณ์ที่หงุดหงิดของเขาสงบลง หรงจิ่นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ดึงบังเหียนแล้ววิ่งออกไปอีกทาง “สหายเซี่ย เจ้าพาคนออกไปตามหาอีกทางหนึ่ง”
บนเขา เว่ยอู๋จี้นั่งหลับตาทำสมาธิข้างกองไฟ มีเสียงกีบม้าดังขึ้นมาจากระยะไกล เว่ยอู๋จี้ลืมตาขึ้นมา เอียงหัวฟังอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มมุมปากอย่างแผ่วเบา
ไม่นาน เสียงกีบม้าก็วิ่งตรงมาทางนี้ เว่ยอู๋จี้ลุกขึ้นเดินไปหามู่ชิงอี ก้มหน้าลงมองหญิงสาวที่เอียงหัวนอนหลับไป เขายิ้มแล้วเอ่ยว่า “หลับสบายจริงๆ หรงจิ่นเป็นห่วงเจ้ามากจริงๆ มาตามหาเจ้าที่นี่จนเจอ… เกรงว่าคงจะตามหาเจ้ามาแล้วทั้งคืน”
หรงจิ่นขี่ม้าเข้ามาในหุบเขา ภาพที่เขาเห็นก็คือ มู่ชิงอีที่กำลังห่มเสื้อของเว่ยอู๋จี้นอนหลับอยู่ข้างกองไฟ เว่ยอู๋จี้ยิ้มแล้วก้มหน้าลูบใบหน้านาง
“เว่ยอู๋จี้!” หรงจิ่นกัดฟัน
เว่ยอู๋จี้ดูไม่ตกใจเลยแม้แต่น้อย เขากลับส่งยิ้มให้หรงจิ่นแล้วเอ่ยอย่างนิ่งสงบ “อวิ๋นอิ่น”
สายตาของหรงจิ่นเป็นประกาย เขาลงจากหลังม้าแล้วพุ่งเข้าไปอย่างไม่ลังเล แสงสีแดงพุ่งเข้าไปหาเว่ยอู๋จี้ที่ยืนอยู่ข้างมู่ชิงอีอย่างรวดเร็ว เว่ยอู๋จี้หัวเราะพลางเบี่ยงตัวหลบอย่างรวดเร็ว พับสีทองปรากฏขึ้นมาในมือ กางพัดออก จากนั้นก็สะบัดพัดไปทางหรงจิ่น
มีดซิวหลัวของหรงจิ่นก็ไม่ใช่ของธรรมดา แต่พัดของเว่ยอู๋จี้ก็ไม่ใช่อุปกรณ์ที่นักปราชญ์นำมาใช้เพื่อความสง่างาม ถึงแม้จะกระทบกับมีดซิวหลัวแต่ก็ไม่มีความเสียหาย แล้วยังมีเสียงกระทบกันของทองและเหล็กเบาๆ พวกเขาสองคนล้วนแต่ใช้อาวุธสั้น ยามที่อาวุธสั้นกระทบกันนั้นค่อนข้างอันตราย
เว่ยอู๋จี้เคยต่อสู้กับหรงจิ่นบ่อยครั้ง หากไม่นับเซี่ยซิวจู๋ยอดฝีมือที่ช่วงนี้มักจะอยู่กับหรงจิ่นบ่อยๆ ก็เกรงว่าพวกเขาสองคนคงจะต่อสู้กันบ่อยที่สุดแล้ว แต่เว่ยอู๋จี้ไม่เคยเห็นหรงจิ่นแผ่ไอสังหารขนาดนี้มาก่อน เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้เขาโมโหจริงๆ หรงจิ่นให้ความสำคัญกับมู่ชิงอีมากกว่าสหาย นายท่านและบ่าวรับใช้ และมากกว่าคนรักทั่วไป ไม่แปลกใจที่คนผู้นั้นต้องการฆ่ามู่ชิงอี
“อวิ๋นอิ่น ตอนนี้เจ้าฆ่าข้าไม่ได้ ทำไมต้องโมโหเช่นนี้” ถึงแม้กำลังต่อสู้กัน แต่เว่ยอู๋จี้ก็ยังมีเวลาเกลี้ยกล่อมเขา
สายตาของหรงจิ่นเต็มไปด้วยความกระหายเลือด “ฆ่าไม่ได้เช่นนั้นหรือ เจ้าจะลองดูหรือไม่”
อาวุธสั้นกระทบกันอีกครั้ง เว่ยอู๋จี้ที่ถือพัดอยู่ในมืออดไม่ได้ที่ตกใจ เขาถอนหายใจในใจ อวิ๋นอิ่นยังอายุไม่ถึงยี่สิบปี แต่กลับมีพรสวรรค์ด้านวรยุทธเช่นนี้…หากอีกสักสองปี เขาคงต้องระวังตัวมากกว่านี้แล้ว
ข้างกองไฟ เสียงการต่อสู้ทำให้มู่ชิงอีที่กำลังหลับใหลขมวดคิ้ว นางค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองดูหุบเขาที่มืดมิดและกองไฟตรงหน้า พลันรู้สึกสับสนเล็กน้อย แหงนหน้ามองดูแสงดาวบนท้องฟ้า คืนนี้ตัวเองหลับสนิทขนาดนี้เลยหรือ มู่ชิงอีรู้ว่าตัวเองไม่ได้นอนหลับไปตามธรรมชาติแน่นอน เว่ยอู๋จี้ต้องกดจุดนางแน่นอน เพราะถึงแม้จะอยู่ที่บ้าน นางก็ไม่มีทางนอนหลับสนิทขนาดนี้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง เมื่ออยู่กับคนนอกที่ไม่น่าเชื่อถือเช่นนี้
“อวิ๋นอิ่น เจ้าจะเอาจริงหรือ” ไม่ไกลออกไป มีเสียงที่โมโหของเว่ยอู๋จี้ดังขึ้นมา
“เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า” หรงจิ่นแค่นเสียงหัวเราะ
“หรงจิ่น?” เงยหน้ามองออกไปก็เห็นร่างสองร่างที่อยู่ไม่ไกล ถึงแม้ท้องฟ้าจะมืดแล้ว แต่รูปร่างของเขา ถึงแม้ไม่ตั้งใจดูก็มองออกว่าเป็นใคร
คนที่ยืนอยู่ในความมืดหยุดชะงัก ทันใดนั้นหรงจิ่นก็ปรากฏตัวขึ้นข้างกองไฟ เขาดึงมู่ชิงอีขึ้นมา “ชิงชิง เป็นอะไรหรือไม่”
มู่ชิงอีส่ายหน้า “ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่เล่าเพคะ”
หรงจิ่นเอ่ย “ข้ามาตามหาเจ้า” เขาขมวดคิ้วมองดูเสื้อที่นางห่มอยู่ หรงจิ่นดึงเสื้อตัวนั้นออกแล้วโยนทิ้งลงบนพื้น จากนั้นก็ถอดเสื้อคลุมตัวเองออกให้มู่ชิงอี “ไม่เป็นอะไรจริงหรือ”
มู่ชิงอีส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “ไม่เป็นอะไรเพคะ คุณชายเว่ยช่วยหม่อมฉันเอาไว้” เรื่องบางเรื่องจะพูดต่อหน้าเว่ยอู๋จี้ไม่ได้ มู่ชิงอีจึงพูดอย่างเป็นกลางมากที่สุด
หรงจิ่นแค่นเสียง “หากไม่ใช่เพราะเขาพาเจ้าออกมา เจ้าจะเจอเรื่องนี้ได้ที่ไหนกัน ข้ายังสงสัยว่าเขาอาจเป็นพวกเดียวกับนักฆ่าพวกนั้น”
มู่ชิงอีเหนื่อยหน่ายใจ หรงจิ่นเดาถูกแล้วจริงๆ ถึงแม้เว่ยอู๋จี้จะไม่ใช่พวกเดียวกับนักฆ่าพวกนั้น แต่พวกเขาต้องรู้จักกันแน่นอน แต่หากพูดเรื่องนี้ตอนนี้ เกรงว่าพวกเขาสองคนคงจะต่อสู้กันอีกครั้ง เอาไว้ค่อยบอกจะดีกว่า
เว่ยอู๋จี้เก็บพัดแล้วเดินเข้ามา มองดูเสื้อคลุมที่ถูกโยนทิ้งลงบนพื้น พลันสงสัยว่าคงมีคนเหยียบอีก เขาก็ส่ายหน้าแล้วยิ้มอย่างขมขื่น