“อวี้อ๋อง ตอนนี้เจ้าก็เห็นแล้วว่าคุณหนูมู่ไม่เป็นอะไร ไม่ทราบว่าคนในจวนของข้ายังปลอดภัยดีหรือไม่” เว่ยอู๋จี้รู้จักคนที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ดี มู่ชิงอีออกมาข้างนอกกับเขาแล้วหายตัวไป ไม่มีทางที่หรงจิ่นจะไม่ไปหาเรื่องที่จวน
หรงจิ่นมองเว่ยอู๋จี้ด้วยความแปลกใจ “คนในจวนของเจ้าเป็นเช่นไร ข้าจะรู้ได้อย่างไร ชิงชิง หนาวหรือไม่ นั่งพักก่อน รอฟ้าสว่างแล้วเราค่อยกลับ”
มู่ชิงอีพยักหน้าอย่างรู้ความ จากนั้นก็นั่งลงข้างกองไฟอีกครั้ง นางดึงหรงจิ่นให้นั่งลงแล้วถามเสียงเบา “ท่านไม่ได้นอนทั้งคืนเลยหรือ พักผ่อนสักหน่อยหรือไม่”
เห็นชิงชิงอ่อนโยนกับตัวเองเช่นนี้ ความโมโหที่เห็นหน้าเว่ยอู๋จี้ของเขาก็ค่อยๆ จางหายไป หรงจิ่นนอนหนุนตักนางอย่างไม่เกรงใจ พยักหน้าเอ่ย “ข้าง่วงแล้ว หลับสักครู่ดีกว่า”
มู่ชิงอียกมือขึ้นปัดเส้นผมออกจากใบหน้าของเขาเบาๆ เอ่ย “นอนเถิด” แม้แต่เว่ยอู๋จี้ก็สังเกตไม่เห็น แต่มู่ชิงอีกลับรู้ว่า ทั้งคืนที่ผ่านมา หรงจิ่นเป็นห่วงตนมากจริงๆ หากทรมานต่อไป เกรงว่าครั้งต่อไปอาการคงจะกำเริบเร็วกว่าเดิม
นางยกมือขึ้นนวดขมับเขาเบาๆ สีหน้าที่แข็งทื่อของหรงจิ่นค่อยๆ ผ่อนคลายลงภายใต้แสงไฟ ตอนแรกยังพูดคุยกับมู่ชิงอีอย่างไม่รีบร้อน แต่ผ่านไปไม่นาน เขาก็ผล็อยหลับไปช้าๆ
“อวี้อ๋องเชื่อใจเจ้ามาก” มองดูสีหน้าที่อ่อนโยน ใบหน้าอันหล่อเหลาที่สุขุมจนทำให้คนไม่อยากจะเชื่อว่านี่คืออวี้อ๋องที่มักหยิ่งผยอง เว่ยอู๋จี้มองมู่ชิงอีด้วยสีหน้าที่สับสนแล้วเอ่ยด้วยความประหลาดใจ
มู่ชิงอีมองเว่ยอู๋จี้ ยิ้มเอ่ย “ทุกคนล้วนแต่มีคนที่ตัวเองเชื่อใจ คุณชายเว่ยเองก็เช่นกัน”
เว่ยอู๋จี้ส่ายหน้าเอ่ย “ไม่เหมือนกัน” อย่างน้อยเขาก็ไม่มีทางทำอะไรประเจิดประเจ้อต่อหน้าคนอื่นเช่นนี้ เผยให้คนอื่นเห็นจุดอ่อนทั้งหมดของตัวเอง เว่ยอู๋จี้เชื่อว่า ก่อนที่จะได้เจอกับมู่ชิงอี หรงจิ่นเองก็คงเป็นเหมือนตน
ขมับบนหัวเป็นจุดสำคัญของมนุษย์ ในฐานะยอดฝีมืออย่างพวกเขานั้นรู้ดี ถึงแม้จะอยู่ต่อหน้าคนที่ตัวเองเชื่อใจ แต่พวกเขาก็ไม่มีทางปล่อยให้ใครแตะต้องจุดนั้นโดยไม่มีการป้องกัน แต่สำหรับหรงจิ่นแล้ว มู่ชิงอีเป็นมากกว่าคนที่เขาเชื่อใจ ดูเหมือนว่าหรงจิ่นสามารถมอบชีวิตของตัวเองให้กับผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ แต่ไม่รู้ว่าหากเป็นเช่นนี้ สำหรับหรงจิ่นแล้ว มันคือเรื่องดีหรือเรื่องร้ายกันแน่
ในขณะที่กำลังพูดคุยกัน เซี่ยซิวจู๋ที่ถือกระบี่ปรากฏตัวขึ้นมาไม่ไกล เห็นได้ชัดว่าเขาตามร่องรอยของหรงจิ่นมา แต่เมื่อเห็นพวกเขาสามคนอยู่หน้ากองไฟ เขากลับไม่เดินเข้าไป คอยยืนเฝ้าอยู่ไม่ไกล แม้แต่มู่ชิงอีก็ไม่เห็นเขา
มู่ชิงอีไม่เห็นเขา แต่ไม่ได้หมายความว่าเว่ยอู๋จี้จะไม่เห็น เว่ยอู๋จี้เหลือบมองคนที่ยืนอยู่ในความมืดไม่ไกลด้วยความหวาดระแวง ถึงแม้จะไม่รู้สึกถึงความเป็นศัตรู แต่เห็นได้ชัดว่าคนคนนั้นไม่ใช่คนของตัวเอง เช่นนั้นก็เป็นคนของ…
เหลือบมองคนที่กำลังนอนหลับบนตักของมู่ชิงอีอย่างสบายใจ วิทยายุทธของคนที่ยืนอยู่ในความมืดคนนั้นไม่ด้อยไปกว่าเขาเลย หรงจิ่นมียอดฝีมือเช่นนี้ตั้งเเต่เมื่อไรกัน หรือควรพูดว่า…บนโลกใบนี้มียอดฝีมือที่ไร้ชื่อเสียงเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร
ขณะที่เว่ยอู๋จี้กำลังทำสีหน้าเคร่งขรึม หรงจิ่นที่นอนหลับตาก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น เหลือบมองเว่ยอู๋จี้อย่างแผ่วเบาแล้วหลับตาลงอีกครั้ง แต่รอยยิ้มของเขากลับมีความพึงพอใจและผ่อนคลายมากขึ้นกว่าเดิม
เมื่อหรงจิ่นลืมตาขึ้นอีกครั้ง ท้องฟ้าก็เริ่มสว่างแล้ว หรงจิ่นหยัดกายลุกขึ้นนั่ง ยิ้มแล้วมองดูเว่ยอู๋จี้ที่สีหน้ายังไม่เปลี่ยนไป “คุณชายเว่ยอารมณ์ไม่ดีหรือ”
เห็นได้ชัดว่าเซี่ยซิวจู๋ที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดทำให้เว่ยอู๋จี้กดดันไม่น้อย เว่ยอู๋จี้ต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือสองคนที่มีฝีมือการต่อสู้ไม่ด้อยไปกว่าตัวเองในเวลาเดียวกัน เขาย่อมเป็นห่วงชีวิตของตัวเอง
เว่ยอู๋จี้ยิ้มบางเอ่ย “อวี้อ๋องไม่กลับไปราชสำนักหรือ”
หรงจิ่นเลิกคิ้วขึ้น “ราขสำนัก? ไม่ไปแล้วจะทำไม” ถึงแม้เขาจะเริ่มเข้าไปมีส่วนร่วมในเรื่องของราชสำนักแล้ว แต่หรงจิ่นก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องในราชสำนักสักเท่าไร ใช่ว่าจะมีเรื่องสำคัญทุกวัน ส่วนใหญ่ก็มีแค่บรรดาขุนนางน่าเบื่อพูดนู่นพูดนี้ ไร้แก่นสาร
เว่ยอู๋จี้ส่ายหน้าแต่ไม่พูดอะไร
ไม่ไกลนัก เซี่ยซิวจู๋เดินเข้ามาพร้อมกับกระต่ายสองตัวที่เขาไปจับมาเมื่อครู่ ที่นี่ห่างจากเมืองหลวงสามสิบสี่สิบลี้ ถึงแม้จะขี่ม้ากลับไปก็คงทานอาหารเช้าไม่ทัน
ตอนนี้ เว่ยอู๋จี้จึงเห็นหน้าตาของคนที่ทำให้ตัวเองสงสัยทั้งคืน เขารูปร่างสูงใหญ่ รูปร่างไม่ได้สันทัดแต่ทั้งตัวกลับมีกลิ่นอายของนักฆ่าและความแข็งแกร่ง ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสามารถซ่อนกลิ่นอายของตัวเองได้อย่าง เว่ยอู๋จี้และหรงจิ่น โดยเฉพาะตอนที่เซี่ยซิวจู๋ปลดปล่อยกลิ่นไอสังหารแต่กลับไม่ปรากฏตัว ทำให้เว่ยอู๋จี้สงสัยจริงๆ
“ซิวจู๋ ท่านมาที่นี่ด้วยหรือ” มู่ชิงอีพูดด้วยความฉงน นางไม่รู้ว่าเซี่ยซิวจู๋อยู่ที่นี่ด้วย ดังนั้นนางจึงไม่รู้ว่าทำไมสีหน้าของเว่ยอู๋จี้ถึงได้ดูแย่ลงเรื่อยๆ ตั้งแต่หรงจิ่นหลับไป
เซี่ยซิวจู๋พยักหน้า “คุณหนูเป็นอะไรหรือไม่”
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “ข้าไม่เป็นอะไร ลำบากท่านแล้ว”
เซี่ยซิวจู๋พยักหน้า ย่างกระต่ายบนกองไฟด้วยความชำนาญ จากนั้นก็หยิบผลไม้สีแดงสองสามผลออกมาโยนให้หรงจิ่น หรงจิ่นรับมาดูก่อนจะเลิกคิ้วเอ่ย “นำออกมาจากในเมือง สหายเซี่ยช่างละเอียดอ่อนเสียจริง ข้าลืมไปเสียสนิท ชิงชิงทานสิ” ฤดูนี้จะหาเหยื่อหรือผลไม้บนเขาไม่ใช่เรื่องง่าย แน่นอนว่าผลไม้สีแดงนี้เขานำออกมาจากเมืองหลวง
มู่ชิงอีไม่ได้ปฏิเสธ เช้าตรู่เช่นนี้นางคงไม่ทานเนื้อกระต่ายที่มันเยิ้ม และตอนนี้นางก็หิวแล้วจริงๆ
มองดูพวกเขาสองคน คนหนึ่งทานผลไม้คำเล็กๆ อีกคนถือผลไม้รอให้นางทานลูกหนึ่งหมดแล้วค่อยยื่นให้นางอีกลูกหนึ่งอย่างระมัดระวัง เว่ยอู๋จี้ลูบจมูกตัวเองแล้วส่ายหน้าอย่างเอือมระอา เขามองไปที่เซี่ยซิวจู๋ที่อยู่ข้างๆ ยิ้มเอ่ย “คุณชายคนนี้คือ?”
“เซี่ยซิวจู๋” ภายใต้หน้ากาก เซี่ยซิวจู๋พูดอย่างใจเย็น
ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน เว่ยอู๋จี้เลิกคิ้ว คนที่มีวิทยายุทธเช่นนี้ไม่มีทางไม่มีชื่อเสียง เว่ยอู๋จี้มองดูหน้ากากบนใบหน้าของเขา การที่เขาสวมหน้ากากเพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นจำเขาได้ เช่นเดียวกับคุณชายอวิ๋นอิ่นในตอนนั้น เซี่ยซิวจู๋คนนี้ ต้องเป็นคนที่มีชื่อเสียงแต่ไม่อยากให้คนอื่นจำได้แน่นอน
ตอนแรกเว่ยอู๋จี้สงสัยว่าเขาคือมั่วเวิ่นฉิง รูปร่างของพวกเขาคล้ายกัน แต่มั่วเวิ่นฉิงเย็นชากว่าคนที่อยู่ตรงหน้าตัวเองตอนนี้ และด้วยความเย่อหยิ่งของมั่วเวิ่นฉิง เขาคงไม่มีทางปิดบังใบหน้าตัวเอง แล้วอีกอย่างก็คือ ดูเหมือนวิทยายุทธของเซี่ยซิวจู๋ที่อยู่ตรงหน้าตนตอนนี้จะแข็งแกร่งกว่ามั่วเวิ่นฉิงเสียอีก
“ที่แท้ก็คือสหายเซี่ย ไม่รู้ว่าสหายเซี่ย…”
เซี่ยซิวจู๋เอ่ยขึ้น “คุณชายเว่ยไม่จำเป็นต้องให้เกียรติ ข้าเป็นเพียงแค่องครักษ์ของคุณหนู่มู่”