เว่ยอู๋จี้เลิกคิ้ว เขาไม่เชื่อ องครักษ์ยอดฝีมือเช่นนี้ เป็นแค่องครักษ์ของกู้หลิวอวิ๋น คงไม่มีใครเชื่อ แต่เห็นได้ชัดว่าเซี่ยซิวจู๋ก็ไม่ได้อยากให้เขาเชื่อ เขาค่อยๆ หมุนกระต่ายในมือ จากนั้นก็มีกลิ่นเนื้อสัตว์โชยออกมาจากกองไฟ
“ซิวจู๋ คุณชายเว่ยเป็นถึงยอดฝีมือ ที่จริงแล้วเขาอยากประลองกับเจ้า” ข้างๆ หรงจิ่นยิ้มราวกับกลัวว่าโลกใบนี้จะไม่วุ่นวายอย่างไรอย่างนั้น
เซี่ยซิวจู๋หยุดชะงัก จากนั้นก็เงยหน้ามองเว่ยอู๋จี้เอ่ย “ได้ประลองกับคุณชายเว่ย เป็นเกียรติของข้าน้อย” คนที่สามารถทำให้หรงจิ่นบอกว่าเขาเป็นยอดฝีมือได้ ก็คงเป็นยอดฝีมือจริงๆ เซี่ยซิวจู๋มาช้าไป เขาไม่ทันได้เห็นเว่ยอู๋จี้และหรงจิ่นต่อสู้กันเมื่อคืน แต่หลังจากรุ่งสาง เขากลับเห็นร่องรอยการต่อสู้ของพวกเขาสองคนที่หลงเหลืออยู่บนพื้นรอบๆ ในเมื่อหรงจิ่นที่ร่างกายอ่อนแอยังเป็นยอดฝีมือได้ เว่ยอู๋จี้ที่คนนอกลือกันว่าเป็นพ่อค้าที่ไม่มีความรู้ก็ต้องเป็นยอดฝีมือได้เช่นกัน เรื่องนี้ เซี่ยซิวจู๋เลยไม่ได้แปลกใจอะไร
แต่เว่ยอู๋จี้กลับลังเล การที่ได้ประลองกับเซี่ยซิวจู๋เขาจะได้มีโอกาสเรียนรู้ฝีมือของเซี่ยซิวจู๋ แล้วก็จะได้รู้ว่าเขามาจากไหน แต่ตอนนี้หรงจิ่นคอยจับตาดูอยู่เขาจึงทำไม่ลง ยิ้มเอ่ย “หากมีโอกาส ข้าคงต้องขอประลองกับสหายเซี่ยบ้างแล้ว”
เซี่ยซิวจู๋ไม่สนใจ ใช้ดาบสั้นหั่นเนื้อกระต่ายในมือ แบ่งให้หรงจิ่นและเว่ยอู๋จี้ เว่ยอู๋จี้ก็ไม่เกรงใจ เอ่ยขอบคุณแล้วรับมันมา
พวกเขาสี่คนทานอาหารเช้าเสร็จ พระอาทิตย์ทางทิศตะวันออกก็ค่อยๆ ขึ้น เว่ยอู๋จี้เห็นว่าตอนนี้สายแล้วจึงลุกขึ้นเอ่ย “สายแล้ว พวกเราควรกลับไปได้แล้ว” มีหรงจิ่นและเซี่ยซิวจู๋อยู่ด้วยแน่นอนว่าไม่มีใครทำอะไรมู่ชิงอีได้ เว่ยอู๋จี้คิดว่าตัวเองอยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร เขาจึงขอตัวลาก่อน
“ถูกต้อง” หรงจิ่นพยักหน้า จากนั้นก็จับมือมู่ชิงอียืนขึ้น มองไปที่เว่ยอู๋จี้แล้วพูดอย่างเฉยเมย “แต่ว่า ก่อนจะกลับเมืองหลวง…ยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่ต้องจัดการ”
เว่ยอู๋จี้ชะงักงัน พูดอย่างหวาดระแวง “อวี้อ๋องเชิญพูดเถิด”
หรงจิ่นพูดอย่างเย็นชา “นักฆ่าที่ไล่ฆ่าชิงชิงเมื่อวาน เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า”
เว่ยอู๋จี้อึ้งตะลึง เหลือบมองมู่ชิงอีที่ยืนอยู่ข้างหรงจิ่น เขารู้ว่าตัวเองคงปกปิดเรื่องนี้ไม่ได้ จึงส่ายหน้าอย่างจนใจเอ่ย “คนพวกนั้น…ข้ารู้ว่าพวกเขาเป็นใคร แต่ก็บอกไม่ได้ ทำไมหรือ หรือว่าอวี้อ๋องอยากจะเนรคุณข้าหรือ”
หรงจิ่นหัวเราะเยาะ “เนรคุณ? เจ้าไม่ใช่หรือที่เป็นคนหลอกให้ชิงชิงออกมาให้นักฆ่าพวกนั้นไล่ฆ่า?”
เว่ยอู๋จี้ยักไหล่ “แต่ข้าช่วยคุณหนูมู่เอาไว้ ซ้ำยังไม่ขอร้องให้อวี้อ๋องตอบแทนบุญคุณ สำหรับเรื่องของนักฆ่าพวกนั้น…ข้าคงไม่จำเป็นต้องบอกเจ้ากระมัง”
ดวงตาที่เฉียบคมของหรงจิ่นหรี่ลงอย่างอันตราย “เช่นนั้น…ข้าคงต้องคิดว่าเจ้ากับนักฆ่าพวกนั้นเป็นพวกเดียวกัน” ทันทีที่พูดจบ หุบเขาที่บรรยากาศเงียบสงัดก็ตึงเครียดขึ้นทันที
มองดูชายสองคนที่มีสีหน้าไม่เป็นมิตรตรงหน้า เว่ยอู๋จี้ยิ้มอย่างขมขื่นในใจ เดิมทีอวี้อ๋องก็รับมือยากอยู่แล้ว เมื่อรู้ว่าอวี้อ๋องก็คืออวิ๋นอิ่น ตนไม่รีบออกไปแต่กลับรอเขาอยู่ที่นี่ หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ
หากมีหรงจิ่นแค่คนเดียว เว่ยอู๋จี้มั่นใจว่าตัวเองไม่มีทางพ่ายแพ้ แต่ว่าตอนนี้ยังมีเซี่ยซิวจู๋ที่มีฝีมือแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าพวกเขายืนอยู่ข้างๆ สถานการณ์ไม่ค่อยเอื้ออำนวยต่อตนมากนัก ดังนั้นเขาจึงต้องมองดูคนอ่อนแอข้างๆ “คุณหนูมู่ เจ้าก็จะทำเช่นนี้กับข้าหรือ”
มู่ชิงอีงุนงง นางจับมือที่กำลังจะชักมีดออกมาของหรงจิ่น จากนั้นก็ยิ้มเอ่ย “เมื่อวานขอขอบคุณคุณชายเว่ยที่ช่วยชีวิตข้าไว้ ตอนนี้…ถือว่าข้าได้ตอบแทนท่านแล้ว”
เว่ยอู๋จี้ส่ายหน้าและยิ้มอย่างจนใจ “คุณหนูมู่ช่างทำกิจการเก่งเสียจริง ก็ได้ เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน… คงไม่มีใครชักมีดออกมาแทงข้างหลังข้าใช่หรือไม่” มู่ชิงอียกมือขึ้นมา “เชิญคุณชายเว่ย”
เว่ยอู๋จี้มองหรงจิ่นที่มีสีหน้ามืดมน เขาหัวเราะเบาๆ “คุณหนูมู่ อย่าลืมที่ข้าเคยบอก” พูดจบเขาก็ไม่อยู่ต่อ เดินออกไปอย่างเนิ่บนาบ
“ชิงชิง ทำไมถึงปล่อยเขาไป” หรงจิ่นพูดด้วยความไม่พอใจ
มู่ชิงอีถอนหายใจ มองดูใต้ตาดำคล้ำของหรงจิ่น นางพูดเบาๆ “เรากลับก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิดเพคะ”
หามู่ชิงอีเจออย่างปลอดภัย หรงจิ่นก็อารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น…ถึงแม้ตนและเซี่ยซิวจู๋จะกักตัว เว่ยอู๋จี้ไว้ แต่พวกเขาก็คงทำได้แค่ต่อยเขา ในเมื่อฆ่าไม่ได้ก็ต้องปล่อยไป องค์ชายเก้าย่อมไม่คิดเล็กคิดน้อย “ก็ได้ เรากลับไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
กลับมาถึงเมืองหลวง ยังไม่ได้พูดอะไรหรงจิ่นก็ถูกฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์เรียกเข้าไปในวัง เมื่อคืนเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น ถึงแม้ฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์จะอยู่ในวังแต่เขาก็ไม่มีทางที่จะไม่รู้ข่าวอะไรเลย ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีบรรดาองค์ชายและท่านอ๋องที่คอยจับตาดูหรงจิ่นอยู่ตลอด ถึงแม้คนอื่นจะไม่เล่าเรื่องนั้นให้ฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์ฟัง แต่บรรดาองค์ชายก็ไม่มีทางปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไป
มู่ชิงอีกลับไปล้างหน้าล้างตาที่จวน ยังไม่ได้พักผ่อนก็ไปที่ห้องตำราทันที ในห้องตำรา ปู้อวี้ถัง อู๋ซิน ฮั่วซูและเซี่ยซิวจู๋ล้วนรออยู่ที่นั่นแล้ว
พอเห็นสีหน้าโล่งใจของทุกคน มู่ชิงอีก็ยิ้มอย่างรู้สึกผิด “เมื่อคืนลำบากพวกเจ้าแล้ว” ตัวเองไม่ระวังเองเพราะคิดว่าที่นี่คือเมืองหลวง และตนก็ยังเป็นถึงผู้ว่าการเฟิ่งเทียน คิดว่าคงไม่มีใครกล้าทำอะไรตนในเมืองหลวงจึงออกไปกับเว่ยอู๋จี้โดยที่ไม่พาใครไปด้วยสักคน เลยทำให้เกิดเรื่องเมื่อวานขึ้น
ปู้อวี้ถังยิ้มเอ่ย “คุณชายกลับมาอย่างปลอดภัยก็ดีแล้ว แต่คงต้องขอคำแนะนำจากคุณชาย…จะจัดการคนของจวนตระกูลเว่ยเช่นไรดี”
“จวนตระกูลเว่ย?” มู่ชิงอีถามด้วยความสงสัย
ปู้อวี้ถังถอนหายใจแล้วเล่าเรื่องเมื่อวานที่ตั้งแต่รู้ข่าวว่ามู่ชิงอีหายตัวไป หรงจิ่นก็พาคนไปจับคนในจวนตระกูลเว่ยให้นางฟัง จากนั้นก็พูดว่า “ฮ่องเต้เรียกท่านอ๋องเข้าไปเข้าเฝ้าในวัง เกรงว่าคงไม่ได้ออกมาง่ายๆ ข้าคิดว่าคุณชายกู้กลับมาอย่างปลอดภัยก็ควรจัดการคนของจวนตระกูลเว่ยได้แล้ว หากคุณชายเว่ยมาตามหาพวกเขาด้วยตัวเอง คงจะไม่ดีกระมัง”
มู่ชิงอีถาม “พวกเจ้าขังคนตระกูลเว่ยไว้ที่ใด”
ปู้อวี้ถังตอบอย่างนอบน้อม “นอกจากเชียนหลิง คู่หมั้นของคุณชายเว่ยและผู้ดูแลสองสามคนที่พากลับมาจวนอวี้อ๋อง คนอื่นต่างก็ถูกขังอยู่ที่จวนตระกูลเว่ย มีคนคอยเฝ้าอยู่”
มู่ชิงอีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเอ่ย “ส่งคนพาพวกเขากลับไป แล้วอีกอย่าง ส่งของขวัญไปขอโทษแม่นางเชียนหลิงและขอโทษคุณชายเว่ยด้วย”
ปู้อวี้ถังตอบรับด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม จากนั้นก็ไปจัดการอย่างรวดเร็ว
มู่ชิงอีเอนหลังพิงเก้าอี้ นวดหว่างคิ้วตัวเองแล้วถามว่า “เมื่อวานเกิดอะไรขึ้นในเมืองหลวงหรือไม่”
ฮั่วซูยิ้มพลางเดินเข้ามานวดขมับให้มู่ชิงอีเบาๆ จากนั้นก็ยิ้มเอ่ย “เมื่อวานคุณชายไม่อยู่ในเมืองหลวงช่างน่าเสียดายเสียจริง มีเรื่องเกิดขึ้นในเมืองหลวงจริงๆ เจ้าค่ะ”