มู่ชิงอีเลิกคิ้วพลางมองไปที่ฮั่วซู ฮั่วซูพูดอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “เมื่อวานคืองานอภิเษกสมรสของอานซุ่นจวิ้นอ๋องและผิงหูจวิ้นจู่ ได้ยินว่า…เมื่อวานผิงหูจวิ้นจู่หนีงานอภิเษกเจ้าค่ะ”
“หนีงานอภิเษก?” มู่ชิงอีตกตะลึง นางคาดไม่ถึงจริงๆ ถึงแม้จะเคยเจอผิงหูจวิ้นจู่แค่หนึ่งครั้ง ผิงหูจวิ้นจู่ดูเหมือนเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง แต่มู่ชิงอีคิดไม่ถึงว่านางจะกล้าหนีงานอภิเษก “เช่นนั้นงานอภิเษกเมื่อวาน… ล่มกลางคันเช่นนั้นหรือ มู่หรงอวี้ จะปล่อยให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้เช่นไร”
ฮั่วซูยิ้มเอ่ย “จัดงานอภิเษกสมรสเรียบร้อยแล้ว แต่ว่า…ทุกคนล้วนแต่บอกว่าเจ้าสาวที่ทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดินในห้องโถงรูปร่างดูไม่เหมือนผิงหูจวิ้นจู่ แต่เมื่อวานทุกคนล้วนแต่ยุ่งอยู่กับการตามหาคุณชาย เรื่องนี้จริงหรือเท็จก็ยังไม่แน่ใจ”
มู่ชิงอีสะบัดมือเอ่ย “ไม่จำเป็นต้องสืบ ในเมื่อตอนนี้ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถึงแม้เมื่อวานคนที่ทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดินจะไม่ใช่ผิงหูจวิ้นจู่ แต่ตอนนี้คนที่อยู่ในจวนอานซุ่นจวิ้นอ๋องก็คงจะเป็นผิงหูจวิ้นจู่กระมัง” ผิงหูจวิ้นจู่คนนั้นดูไม่เหมือนผู้หญิงที่มีความกล้าหาญและมีกลยุทธ์อะไร นอกจากจะมียอดฝีมือคอยช่วยเหลือ ไม่เช่นนั้น ถึงแม้ว่านางจะโชคดีหนีออกไปได้ แต่ไม่ช้าก็เร็วคงต้องถูกจับตัวกลับมา
แน่นอนว่าฮั่วซูไม่สนใจว่าคนที่อยู่ในจวนอานซุ่นจวิ้นอ๋องคือผิงหูจวิ้นจู่หรือไม่ นางเอ่ยด้วยเสียงหัวเราะ “ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ แต่ได้ยินมาว่าเมื่อวานสีหน้าของอานซุ่นจวิ้นอ๋องดูย่ำแย่อย่างมาก ซ้ำยังบอกว่าจะมาหาคุณชายอีกด้วย”
มู่ชิงอียิ้มอย่างแผ่วเบา มองไปที่อู๋ซินและเซี่ยซิวจู๋ จากนั้นก็พูดว่า “เมื่อวานลำบากพวกเจ้าแล้ว อู๋ซิน เรื่องนี้ข้าประมาทเอง เจ้าไม่ต้องคิดมาก”
อู๋ซินพยักหน้าแต่ไม่รู้ว่าเขาฟังหรือไม่ มู่ชิงอีเข้าใจว่าอู๋ซินเป็นองรักษ์ของหรงจิ่นมาตั้งหลายปี เขาไม่เคยทำอะไรผิดพลาด แต่อยู่กับตัวเองยังไม่ถึงหนึ่งปีก็เกิดเรื่องขึ้นตั้งสองครั้ง เกรงว่าเขาคงจะรู้สึกผิด แต่ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของอู๋ซินจริงๆ เพราะคนอย่างหรงจิ่น ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเกิดเรื่องขึ้นกับเขา แต่นางกลับตรงกันข้าม เพราะนางเป็นแค่ภาระที่อ่อนแอไร้เรี่ยวแรง
แต่เซี่ยซิวจู๋มองไปที่มู่ชิงอีแล้วถามด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “นักฆ่าเมื่อวาน คุณชายมีเบาะแสอะไรหรือไม่”
มู่ชิงอีส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ เซี่ยซิวจู๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเอ่ย “เช่นนั้น ก็สืบจากคุณชายเว่ยเถิด” ในเมื่อคุณชายเว่ยรู้ตัวตนของนักฆ่าพวกนั้น แค่จับตาดูเขาก็คงได้เบาะแส
จู่ๆ ในหัวของมู่ชิงอีก็นึกถึงคำพูดที่เว่ยอู๋จี้เตือนว่าอย่าสืบเรื่องในอดีต นางขมวดคิ้ว ทิ้งความคิดพวกนั้นไปไว้ข้างหลัง จากนั้นก็พยักหน้าเอ่ย “ลำบากซิวจู๋แล้ว”
เซี่ยซิวจู๋ส่ายหน้าบอกว่าไม่เป็นไร
หรงจิ่นเดินเข้ามาจากข้างนอกอย่างรวดเร็ว บนใบหน้าที่หล่อเหลาดูอึมครึม เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่หายโมโห มู่ชิงอีโบกมือบอกให้ทุกคนออกไป อู๋ซินและฮั่วซูถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็รีบโค้งคำนับขอตัวออกไป ทั้งจวนอวี้อ๋องและตระกูลกู้ นอกจากมู่ชิงอีแล้วก็คงมีแค่เซี่ยซิวจู๋ที่ไม่รู้สึกอะไรต่ออารมณ์เดือดดาลของหรงจิ่น คนอื่นยังคงหวาดกลัวนายท่านที่อารมณ์แปรปรวนคนนี้
“เป็นอะไรหรือเพคะ” มู่ชิงอีลุกขึ้นแล้วพาเขาไปนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ จากนั้นก็รินชาให้เขาด้วยตัวเอง สีหน้าของหรงจิ่นผ่อนคลายลง เขาเงยหน้าขึ้นมองมู่ชิงอี “ไม่มีอะไร ตาเฒ่านั่นแค่บ่นสองสามประโยค”
มู่ชิงอีพยักหน้าอย่างเข้าใจ พากลุ่มคนออกไปนอกเมืองยามดึก หากฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์ไม่สนใจ เขาคงจะเป็นฮ่องเต้ที่ไม่ได้เรื่องจริงๆ หรงจิ่นเอนตัวพิงเก้าอี้แล้วขมวดคิ้ว “นักฆ่าพวกนั้นไม่ใช่คนของเขา”
มู่ชิงอียิ้ม “ท่านถามฮ่องเต้เรื่องนี้หรือเพคะ หากฮ่องเต้อยากฆ่าหม่อมฉัน… คงไม่จำเป็นต้องส่งนักฆ่ามาฆ่าหรอกกระมัง” ฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์คือผู้ปกครองของเเคว้นเย่ว์ เป็นคนที่กุมชีวิตคนทั้งแคว้น หากอยากฆ่าขุนนางที่อยู่ในมือของตัวเองสักคน คงไม่จำเป็นต้องระดมผู้คนมากมายเช่นนี้ ตอนแรกมู่ชิงอีก็ไม่คิดว่าเป็นฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์อยู่แล้ว
หรงจิ่นแค่นเสียงหัวเราะเย้ยหยัน “ไม่ใช่” องค์ชายเก้าไม่ใช่คนโง่ที่หุนหันพลันแล่นโดยไม่สนใจอะไร ถึงแม้เขาจะสงสัยฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์ แต่เขาก็ไม่มีทางถามตรงๆ บางครั้ง เรื่องที่ยิ่งสงสัยมากเท่าไรก็จะยิ่งไม่ถาม แต่กลับใช้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทำให้ฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์พิโรธ
มู่ชิงอีจึงพยักหน้าด้วยความโล่งใจ เว่ยอู๋จี้พูดถูก หรงจิ่นไม่ใช่คนหุนหันพลันแล่น
“นักฆ่าเมื่อวานคือใครกันแน่” หรงจิ่นถามด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม
สำหรับหรงจิ่น มู่ชิงอีไม่ได้อยากจะปิดบังอะไรเขา แต่หลังจากได้ยินคำพูดของเว่ยอู๋จี้ ใบหน้าที่หล่อเหลาของหรงจิ่นก็มืดมนลงทันที พอเห็นท่าทีของเขาตอนนี้ มู่ชิงอีจึงถามเบาๆ “เป็นอะไรไปเพคะ คิดอะไรอยู่หรือ”
เงียบไปครู่หนึ่ง หรงจิ่นก็ส่ายหัวเอ่ย “ข้ารู้แล้ว ในเมื่อชิงชิงรับปากเว่ยอู๋จี้ไว้ เช่นนั้น หากเว่ยอู๋จี้ไม่มาหาเรื่องข้า ข้าก็จะไม่ไปหาเรื่องเขา” ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายล้วนแต่มีจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้าม อยากจะหาเรื่องใครไม่ใช่เรื่องง่าย
มู่ชิงอียิ้มแล้วมองเขา นางเลิกคิ้วเอ่ย “ไม่หาเรื่องเขา? เมื่อครู่หม่อมฉันเพิ่งจะให้ปู้อวี้ถังพาคู่หมั้นของคุณชายเว่ยกลับไปส่งที่จวนตระกูลเว่ยนะเพคะ”
หรงจิ่นแค่นเสียง “แล้วทำไม หากไม่ใช่เพราะเขาทำร้ายชิงชิง ข้าคงไม่มีเวลาไปหาเรื่องผู้หญิงคนนั้น สำหรับเรื่องคนที่อยู่เบื้องหลังนักฆ่าพวกนั้น ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าใครกล้าแตะต้องคนของข้า!”
ณ จวนตระกูลเว่ย
“อู๋จี้”
เว่ยอู๋จี้ยืนมองต้นเหมยอยู่หน้าหน้าต่างด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม ข้างหลังเขา เชียนหลิงที่สีหน้าซีดเซียวยกมือขึ้นมากอดเว่ยอู๋จี้จากข้างหลัง ใบหน้าที่อ่อนโยนถูกับแผ่นหลังของเว่ยอู๋จี้เบาๆ
เว่ยอู๋จี้เหลือบมองนางอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็พูดว่า “เรื่องเมื่อวานข้าไม่รอบคอบเอง ทำให้เจ้าลำบากแล้ว”
เชียนหลิงส่ายหน้าไปมา “ไม่เป็นไร…จะโทษเจ้าได้อย่างไรกัน ก็เห็นอยู่ว่าอวี้อ๋องคนนั้นไม่มีเหตุผล อู๋จี้…เจ้าจะปล่อยให้เรื่องนี้จบลงเช่นนี้หรือ” เว่ยอู๋จี้หันกลับมา มองนางอย่างนิ่งสงบ “ไม่เช่นนั้นจะทำอย่างไร ทั้งสองฝ่ายต่างกลับมาอย่างปลอดภัย ถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่ดีมากแล้ว”
เชียนหลิงกัดริมฝีปากตัวเองเบาๆ เอ่ย “หรือว่า ข้า…เรื่องตระกูลเว่ยของเราได้รับความอับอายเช่นนี้แล้วเจ้าจะปล่อยให้มันจบอย่างง่ายดายหรือ หากเป็นเช่นนี้ ต่อไปคนในเมืองหลวงและคนทั้งโลกนี้จะมองท่านเช่นไร หากพวกเขารู้ว่าคุณชายเว่ยเกรงกลัวอวี้อ๋อง แม้แต่ตระกูลถูกเหยียดหยามก็ไม่กล้าทำอะไร”
เว่ยอู๋จี้เลิกคิ้วขึ้นเอ่ย “เขาเป็นองค์ชาย ข้าเป็นราษฎร ข้ากลัวเขาก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร คำโบราณกล่าวไว้ว่า ‘ยาจกสู้เศรษฐีไม่ได้ เศรษฐีสู้ขุนนางไม่ได้’ ยิ่งไปกว่านั้น เขาเป็นถึงองค์ชายที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปราน หากข้ากลัวเขาแล้วใครจะกล้านินทา”
“แต่ว่า…” เชียนหลิงยังไม่ยอม อยู่กับเว่ยอู๋จี้มาตั้งหลายปี ถึงแม้ตอนที่นางยังเป็นสาวใช้ของเว่ยอู๋จี้ แต่นางก็ยังไม่เคยอับอายเช่นนี้มาก่อน สวมชุดบางๆ แล้วถูกคนลากออกมาจากห้องนอน ลากออกมาขังอยู่ในห้องเล็กๆ กับบรรดาผู้ดูแล หากวันนี้เว่ยอู๋จี้ไม่กลับมา เชียนหลิงยังสงสัยว่าตัวเองอาจถูกคนของจวนอวี้อ๋องฆ่าตาย
“เชียนหลิง เมื่อก่อนเจ้าไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้” เว่ยอู๋จี้ขัดจังหวะเชียนหลิงอย่างใจเย็น เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เฉยเมย แฝงด้วยความไม่พอใจ