หรงจังยกมือขึ้นเบาๆ ดันมีดที่จี้ตรงคอตัวเองออก มองไปที่หรงจิ่นแล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน “เจ้าไม่มีทางฆ่าข้า จิ่นเอ๋อร์ เจ้าเข้าใจใช่หรือไม่ ข้า…คือบิดาของเจ้า หลายปีที่ผ่านมา เจ้าอยากถามคำถามนี้กับข้าไม่ใช่หรือ”
รูม่านตาของหรงจิ่นหดตัวลงอย่างรวดเร็ว ดวงตาของเขาปรากฏสีแดงขึ้นจางๆ ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงที่เย็นชาของหรงจิ่น “บิดา? หมายความว่า…อะไร”
“จิ่นเอ๋อร์?” หรงจังขมวดคิ้ว ราวกับรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ แต่กลับได้ยินเสียงหัวเราะที่เย็นชาของหรงจิ่น “ท่านพ่อ? ข้าโตมาเองตั้งแต่เด็ก เรียนรู้กลอุบาย เรียนรู้วิทยายุทธ เรียนรู้การ…ฆ่าคนด้วยตัวเอง ท่านคิดว่า ข้าต้องการพ่ออย่างนั้นหรือ แค่เขาข้าก็รังเกียจมากพอแล้ว ท่านยังกล้ามายุ่งวุ่นวายกับข้าอีก รนหาที่ตาย!”
ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยรอยเลือด หรงจิ่นบีบคอหรงจัง ถึงแม้สองสามปีมานี้หรงจังร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง แต่เขาก็ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก ทันทีที่เขาได้สติกลับมาก็รีบยกมือขึ้นกดจุดบนแขนที่บีบคอตัวเองของหรงจิ่น ฉวยโอกาสตอนที่หรงจิ่นปล่อยมือ รีบถอยออกไปข้างหลัง ในขณะเดียวกัน เว่ยอู๋จี้ที่เห็นความผิดปกติก็เดินเข้ามาโจมตีหรงจิ่น
ได้ยินเสียงดังมาจากข้างหลังเขา หรงจิ่นรีบปล่อยมือออกจากหรงจัง จากนั้นก็หันหลังกลับไปต่อสู้กับเว่ยอู๋จี้ ในไม่ช้า เว่ยอู๋จี้ก็เห็นว่าทุกท่วงท่าของหรงจิ่น แข็งแกร่งมากกว่าท่วงท่ายามปกติของเขาเสียอีก แต่โชคดีที่ไม่มีความโหดเหี้ยมเหมือนเมื่อก่อน เขาแค่โต้กลับไปกลับมาราวกับกำลังต่อสู้กับเว่ยอู๋จี้ตามสัญชาตญาณ แต่เว่ยอู๋จี้รู้ว่า ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เขาก็คงจะรับมือกับหรงจิ่นตอนนี้ไม่ได้
“หรงจิ่น เจ้าทำอะไร” เว่ยอู๋จี้ตะโกนเสียงดัง พร้อมกับหลบการโจมตีของหรงจิ่น
หรงจิ่นราวกับไม่รู้สึกตัว มีดซิวหลัวในมือเต็มไปด้วยแสงสีแดงที่ส่องประกาย “ตายซะ! เว่ยอู๋จี้ เจ้าก็ด้วย!”
“เจ้ายังจำข้าได้อยู่หรือ” เว่ยอู๋จี้มองดูดวงตาที่แดงก่ำของหรงจิ่น เห็นได้ชัดว่าเขาเสียสติไปแล้ว เขาจึงเอ่ยกับหรงจังที่อยู่ข้างๆ “ท่านพ่อ ท่านออกไปก่อน ข้าหยุดเขาไม่ได้”
“อย่าทำร้ายเขา” หรงจังพูดอย่างเคร่งขรึม
ดูเหมือนว่าหรงจิ่นจะอ่อนไหวต่อเสียงของหรงจัง ทันทีที่เขาได้ยินเสียงหรงจัง เขาก็ปล่อยเว่ยอู๋จี้แล้วหันกลับไป “อยากฆ่าชิงชิง ต้องตาย!”
เว่ยอู๋จี้ตกใจจนหน้าซีด เขารีบพุ่งเข้าไปยืนอยู่ระหว่างหรงจังและมีดของหรงจิ่นด้วยความกล้าหาญ มีดซิวหลัวกรีดเสื้อของเขาเป็นรอย แต่กลับไม่รู้ว่ากลิ่นเลือดทำให้หรงจิ่นหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก เว่ยอู๋จี้ผลักหรงจังออกไป จากนั้นก็กลับมาหยุดหรงจิ่นต่อ
“ชิงชิง…ไปตายซะ…” ในห้องไม่ได้กว้างขวางมากนัก แค่ในชั่วพริบตา สิ่งของในห้องก็พังทลายไปหมด พวกเขาสองคนย้ายออกไปลานข้างนอก เห็นว่าหรงจิ่นมีท่าทีราวกับคนบ้า องครักษ์ที่อยากจะออกมาช่วยก็ล้มลงภายใต้มีดของเขา แต่โชคดีที่เมื่อพวกเขาล้มลง หรงจิ่นก็ไม่สนใจว่าพวกเขาตายแล้วหรือยัง เขาไม่ก้มหน้าลงไปฆ่าพวกเขา แต่กลับต่อสู้กับคนต่อไป
ทันใดนั้น ในลานก็คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด กลิ่นเลือดที่รุนแรงทำให้หรงจิ่นดวงตาแดงก่ำราวกับเปื้อนเลือด ไม่มีท่าทีของความเป็นมนุษย์เลยแม้แต่น้อย
“ชิงชิง…” มีคนมากมายขวางทางเขา หรงจิ่นรู้สึกหงุดหงิด เขาแกว่งมีดไปมาด้วยสัญชาตญาณ แค่ฆ่าทุกคนให้หมด…เขาก็จะได้เจอชิงชิง
เว่ยอู๋จี้เลิกคิ้ว เขาเข้าไปอยู่ในฝูงชนอีกครั้ง จับหรงจิ่นที่กำลังจะออกไปเอาไว้ ตอนนี้หรงจิ่นสติแตกแล้ว หากเขาออกไปเจอใครก็ฆ่าหมด พรุ่งนี้คงจะกลายเป็นเรื่องใหญ่
“เร็วเข้า ส่งคนไปตามกู้หลิวอวิ๋นมา!” เว่ยอู๋จี้ห้ามหรงจิ่นพร้อมกับสั่งคนที่อยู่ข้างๆ แม้แต่ตอนนี้ก็ยังจำชิงอีได้ มันคงจะได้ผลกระมัง
หรงจังยืนอยู่ตรงมุมลาน ใบหน้าที่อ่อนโยนดูซีดเซียว เมื่อได้ยินคำพูดของเว่ยอู๋จี้ เขาก็พยักหน้าให้คนที่อยู่ข้างๆ องครักษ์ที่อยู่ข้างๆ รีบพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
มู่ชิงอีถูกคนเรียกให้ตื่นยามดึก นางย่อมไม่พอใจ แต่เมื่อได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นกับหรงจิ่นนางก็ตกใจ แต่นางเพิ่งจะถูกคนลอบฆ่า คนในจวนตระกูลกู้ไม่มีทางให้นางออกไปกับใครก็ไม่รู้เพียงลำพังแน่นอน สุดท้ายเซี่ยซิวจู๋และอู๋ซินจึงออกไปกับนางด้วย
เมื่อพวกเขากลับมาที่ลานเล็กลึกลับลานนั้น ยังไม่ทันได้เข้าไปข้างในก็ได้กลิ่นคาวเลือดพุ่งพวยออกมา เซี่ยซิวจู๋ขมวดคิ้ว ให้มู่ชิงอีอยู่ข้างหลังตัวเอง “คุณหนู ระวังตัวด้วย”
มู่ชิงอีพยักหน้าเบาๆ นางพอจะเดาออกแล้วว่ามันเกิดเรื่องอันใดขึ้น
เป็นเหมือนที่นางคิดไว้ไม่มีผิด ทันทีที่ประตูลานเปิดออก ก็มีแสงสีแดงเยือกยะเย็นพุ่งเข้ามา เซี่ยซิวจู๋แค่นเสียงก่อนจะยกมือขึ้นบังมีดที่พุ่งเข้ามาจนถูดมีดกรีดที่แขนเสื้อ แต่หรงจิ่นกลับไม่เห็นพวกเขา เพราะเขากำลังต่อสู้กับเว่ยอู๋จี้ คุณชายเว่ยที่สง่างามและสูงส่ง แต่ตอนนี้กลับน่าอนาถอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
มีรอยฉีกขาดบนชุดของเขาถึงสองสามรอย บางรอยยังมีเลือดไหลซึม แต่โชคดีที่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แม้แต่ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิง บนใบหน้าที่หล่อเหลา คางมีรอยฟกช้ำ ดูเหมือนว่าเขาจะถูกต่อยมา
เมื่อเห็นเซี่ยซิวจู๋ เว่ยอู๋จี้ก็ดีอกดีใจ “สหายเซี่ย มาช่วยข้าเร็วเข้า”
เซี่ยซิวจู๋ขมวดคิ้วแล้วมองไปที่เขา เขามองออกว่าท่าทีของหรงจิ่นผิดปกติ หันไปมองมู่ชิงอีที่อยู่ข้างๆ มู่ชิงอีถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “ลงมือเถิด หยุดเขาให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
เซี่ยซิวจู๋พยักหน้า จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปกลางอากาศ แล้วต่อยลงบนหลังของหรงจิ่น เมื่อมีความช่วยเหลือจากเซี่ยซิวจู๋ ความกดดันของเว่ยอู๋จี้ก็ลดลงไม่น้อย เขารีบพุ่งเข้ามาสูดหายใจอยู่ข้างมู่ชิงอี
“พวกท่านทำอะไรกัน” มู่ชิงอีมองดูพวกเขาสองคนต่อสู้กัน นางมุ่นคิ้วพลางเอ่ยถาม เว่ยอู๋จี้ยิ้มแหย “ข้าก็อยากรู้เช่นกันว่าเราทำอะไร”
ถึงแม้คำพูดของท่านพ่อจะทำให้หรงจิ่นโมโห แต่ปฏิกิริยาของเขารุนแรงเกินไป หรือยังมีเรื่องอันใดที่พวกเขาไม่รู้? เว่ยอู๋จี้ขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด
“เจ้าจะยืนดูไปจนถึงเมื่อไร” อีกฝั่ง เซี่ยซิวจู๋เอ่ยอย่างเยือกเย็น เห็นได้ชัดว่าเขาพูดกับเว่ยอู๋จี้ ตอนนี้มีผู้คนในลานตั้งมากมาย แต่คนที่สามารถรับมือกับหรงจิ่นได้ก็มีแค่เซี่ยซิวจู๋และเว่ยอู๋จี้ แต่ฝีมือของพวกเขาสามคนแข็งแกร่งเท่ากัน เป็นไปไม่ได้ที่เซี่ยซิวจู๋จะหยุดหรงจิ่นได้เพียงคนเดียว ถึงแม้ว่าจะสู้สุดแรง แต่ก็คงต้องบาดเจ็บทั้งคู่ หรือไม่ก็คนหนึ่งตาย คนหนึ่งบาดเจ็บ ดังนั้น ถึงแม้เว่ยอู๋จี้จะได้รับบาดเจ็บ แต่เขาก็ต้องรับมือต่อไป
ยอดฝีมือที่ระดับฝีมือเท่ากันร่วมมือกัน ในที่สุดก็หยุดหรงจิ่นเอาไว้ได้
เซี่ยซิวจู๋ขมวดคิ้ว จากนั้นก็หันหน้าไปพูดกับมู่ชิงอีที่อยู่ข้างๆ “คงหยุดเขาได้ไม่นาน” หรงจิ่นที่เสียสติมีแรงมหาศาล และที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาดูเหมือนไม่รู้สึกเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย ตามหลักแล้ว ก่อนหน้านี้เขาต่อสู้กับเว่ยอู๋จี้มานานขนาดนั้นแล้ว ถึงแม้จะไม่ได้รับบาดเจ็บก็ต้องเสียแรงไปไม่น้อย แต่กลับต้องให้คนสองคนร่วมมือกันและใช้เวลาตั้งนานกว่าจะหยุดเขาได้