“ไสหัวออกไป! ชิงชิง… ชิงชิง…” ถูกคนจับตัวไม่ให้ขยับไปไหน หรงจิ่นจึงหงุดหงิดกว่าเดิม เซี่ยซิวจู๋กับเว่ยอู๋จี้ยิ่งไม่กล้าปล่อยมือ พวกเขาทำได้แค่จับหรงจิ่นอย่างแน่นหนา เพราะพวกเขารู้ดีว่าถ้าปล่อยให้หรงจิ่นหลุดออกไป หรงจิ่นที่กำลังโมโหและหงุดหงิดเช่นนี้คงจะกวาดล้างทั้งเมืองหลวงเป็นแน่
“จิ่นเอ๋อร์…” หรงจังสีหน้าซีดเซียว ในที่สุดเขาก็ทนดูไม่ได้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าหรงจิ่นจะจำเสียงของเขาได้ ทันทีที่ได้ยินเสียงหรงจัง หรงจิ่นก็คลั่งอีกครั้ง “ไสหัวไปให้พ้น! ข้าจะฆ่าเจ้า…ฆ่าเจ้า…” เว่ยอู๋จี้พลันเหนื่อยหน่ายใจ มือที่ถูกหรงจิ่นใช้มีดกรีดเจ็บจนเขาขมวดคิ้วแต่เขากลับขยับไม่ได้ ต้องกดจุดของหรงจิ่นเพื่อไม่ให้เขาขยับตัว
“หรงจิ่น” มู่ชิงอีเดินผ่านหรงจัง เข้ามาหาหรงจิ่น
“หรงจิ่น ได้ยินกระหม่อมหรือไม่” มู่ชิงอียกมือขึ้นลูบปอยผมที่ยุ่งเหยิงของเขา นางถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
“คุณชาย…” เซี่ยซิวจู๋ขมวดคิ้ว หรงจิ่นในตอนนี้ค่อนข้างอันตราย มู่ชิงอีนั้นอ่อนแอ หากไม่ระวังอาจจะทำให้นางได้รับบาดเจ็บได้
มู่ชิงอีส่ายหน้า บอกว่าตัวเองไม่เป็นไร
นางถอนหายใจ จากนั้นก็หยิบหยกเย็นที่นางมอบให้หรงจิ่นในกระเป๋าตรงเอวออกมาวางไว้ในมือของเขา หรงจิ่นถือมันไว้ในมือแน่นด้วยสัญชาตญาณ ความเย็นของหยกทำให้ความบ้าคลั่งของเขาหยุดชะงัก จากนั้นเขาก็มองคนที่อยู่ตรงหน้าตัวเองด้วยดวงตาที่แดงก่ำอย่างสงสัย
มู่ชิงอีขยิบตาให้เซี่ยซิวจู๋และเว่ยอู๋จี้ บอกให้พวกเขาพาหรงจิ่นออกไปจากที่นี่ก่อน กลิ่นคาวเลือดในลานจะทำให้หรงจิ่นยิ่งคุมสติไม่ได้ เว่ยอู๋จี้เหลือบมองหรงจัง หรงจังก้มหน้าถอนหายใจ จากนั้นก็สะบัดมือบอกให้เว่ยอู๋จี้พาพวกเขาออกไป
เว่ยอู๋จี้และเซี่ยซิวจู๋จับตัวหรงจิ่นเข้าไปในห้องข้างหลัง ที่นี่ไม่ใช่จวนขององค์ชายสาม ในห้องมีทางลับที่สามารถพาพวกเขาออกไปยังที่ที่พวกเขาต้องการ
“ท่านผู้นี้…” มู่ชิงอีมองดูชายวัยกลางคนที่มีสีหน้ามืดมน ไม่เหมือนสวินอ๋องที่เจอกันเมื่อครั้งก่อนบนถนน นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เรื่องในวันนี้…วันหน้าจวนอวี้อ๋องค่อยมาขอคำแนะนำพ่ะย่ะค่ะ”
หรงจังมองมู่ชิงอีด้วยสายตาที่เย็นชา “เจ้าช่างกล้าหาญเสียจริง”
มู่ชิงอีไม่สนใจ เกิดเรื่องวันนี้ขึ้น แน่นอนว่านางก็พอจะเดาออก แต่ว่าตอนนี้สถานการณ์ของหรงจิ่นยังคลุมเครือ นางไม่มีอารมณ์สนใจเรื่องพวกนี้ เพียงยิ้มอย่างแผ่วเบา ประสานมือขึ้นเอ่ย “ขอตัวลาก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
อู๋ซินยืนอยู่หน้ามู่ชิงอี เหลือบมองหรงจังด้วยสายตาที่ระแวดระวัง จากนั้นก็จับมู่ชิงอี กระโดดข้ามกำแพงออกไป ทิ้งหรงจังให้มองดูท้องฟ้ายามค่ำคืนอันกว้างใหญ่ด้วยท่าทีเหม่อลอย
กลับมาถึงจวนอวี้อ๋อง หรงจิ่นถูกเซี่ยซิวจู๋และเว่ยอู๋จี้พากลับมา วันปกติสวนหย่อมไม่ค่อยมีคนอยู่แล้ว มีองครักษ์เมืองเทียนเชวียคอยเฝ้า ยิ่งไม่ต้องกังวลว่าใครจะตกใจ มู่ชิงอีผลักประตูเข้าไป ก็เห็นหรงจิ่นถูกผูกด้วยโซ่เส้นเล็กๆ ถึงแม้โซ่จะเส้นไม่หนามาก แต่หรงจิ่นกลับดิ้นไม่หลุด เห็นได้ชัดว่าคนที่ผูกเขาไว้กลัวว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บ และยังไม่ลืมที่จะพันผ้าหนาๆ ไว้รอบโซ่
เห็นหรงจิ่นอยู่บนพื้น มู่ชิงอีก็ขมวดคิ้ว บนเก้าอี้ข้างๆ เว่ยอู๋จี้นั่งนิ่งไม่ขยับอยู่ข้างบน เห็นได้ชัดว่าเขาเหนื่อยล้า ครั้นเห็นสีหน้าของมู่ชิงอี เขาจึงยิ้มเอ่ย “ใช่ว่าเราอยากทิ้งเขาไว้บนพื้น แต่เก้าอี้และเตียงธรรมดาคงจะกักเขาไม่ไหว” เก้าอี้ที่กลายเป็นกองฟืนบนพื้นข้างๆ คือหลักฐาน เก้าอี้ไม้จันทน์ชั้นดี ทันทีที่พาเขาไปนั่งมันก็พังทันที
เว่ยอู๋จี้ค่อยๆ พันผ้าพันแผลตรงมือที่ฉีกขาดของตัวเองอีกครั้ง “นี่คือโซ่ที่หลอมด้วยหินทองคำที่ขุดขึ้นมาจากทางตอนเหนือ แรงของคนไม่สามารถทำให้มันขาดได้ ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาหรือยอดฝีมือ แล้วอีกอย่าง โซ่นี้มีความเย็นคงทำให้เขามีสติเร็วขึ้น”
“ไม่ได้รักษาที่ต้นเหตุ เกรงว่าคงต้องหาทางอื่นกระมัง ไม่เช่นนั้น เขาคงจะอาการแย่ลงเรื่อยๆ” เซี่ยซิวจู๋มองมู่ชิงอีด้วยสายตาที่จริงจังแล้วเอ่ยอย่างเคร่งขรึม ไม่ว่าจะเป็นการใช้หยกเย็นทำให้จิตใจสงบลง หรือใช้เหล็กเย็นเพื่อบังคับให้เขามีสติ ล้วนแต่เป็นวิธีแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ หากไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ ไม่ช้าก็เร็วเขาคงจะเสียสติ
“จะว่าไปแล้ว นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่” เว่ยอู๋จี้ขมวดคิ้ว ผ่านมาตั้งหลายปี เขากลับไม่เคยรู้ว่าหรงจิ่นมีอาการเช่นนี้ แค่เคยได้ยินว่าหรงจิ่นร่างกายอ่อนแอ แต่คนที่ร่างกายอ่อนแอจริงๆ นั้นไม่มีทางมีวิทยายุทธเหมือนหรงจิ่น แล้วอีกอย่าง คนที่ร่างกายอ่อนแอจริงๆ ถึงแม้จะบ้าคลั่งก็ไม่มีพลังทำลายล้างเท่าหรงจิ่น
มู่ชิงอีส่ายหน้าอย่างผิดหวัง
“อือ…” บนพื้นดิน หรงจิ่นเริ่มดิ้นรนอีกครั้ง เว่ยอู๋จี้ขมวดคิ้ว “กดจุดก็ยังไม่มีประโยชน์?”
มู่ชิงอีถอนหายใจ แล้วเอ่ยกับพวกเขาสองคนว่า “พวกท่านไปพักผ่อนเถิด ข้าดูแลเขาเอง”
เซี่ยซิวจู๋ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย “ไม่ได้ มันอันตรายเกินไป”
มู่ชิงอีเอ่ยว่า “ไม่ต้องห่วง ข้ารู้ แล้วอีกอย่าง คุณชายเว่ยบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าเขาไม่มีทางหลุดออกจากโซ่เส้นนี้”
“ชิง…ชิงชิง…” หรงจิ่นร้องเรียกด้วยความเจ็บปวด ตอนนี้ในหัวของเขาสับสนไปหมด แล้วยังมีกลิ่นอายของเลือดเต็มไปหมด ในใจของเขามีความรู้สึกหงุดหงิดที่กำลังตะโกนบอกให้เขาฆ่าคนที่อยู่ตรงหน้าให้หมด แต่เขาถูกโซ่เย็นผูกไว้ แล้วยังได้ยินเสียงอ่อนโยนที่คุ้นเคยดังเข้ามาในหู ทำให้เขารู้สึกสบายใจ ราวกับว่าการนอนหลับไปเช่นนี้มันทำให้เขามีความสุขไปตลอด และแล้วเสียงสองเสียงที่กำลังตีกันในสมองของเขาก็ทำให้สมองของเขาราวกับกำลังจะระเบิด ทำให้เขาอยากเรียกชื่อชื่อหนึ่ง “ชิงชิง…ชิงชิง ปวด…”
มู่ชิงอีรีบโน้มตัวลงไปคุกเข่าอยู่ข้างเขา จากนั้นก็เอ่ยอย่างอ่อนโยน “ปวดตรงไหนเพคะ”
“หัว…ปวดหัว…ฆ่า! ข้าจะฆ่าพวกเขาให้หมด…ชิงชิง…” นิ้วที่เย็นเชียบของมู่ชิงอีแตะตรงหน้าผากของเขาเบาๆ นวดขมับให้เขาเบาๆ พลางเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ไม่เป็นไร ประเดี๋ยวก็หายปวด ไปไม่ต้องกลัว…”
มองดูเขาค่อยๆ สงบลง เว่ยอู๋จี้และเซี่ยซิวจู๋หันมามองหน้ากัน เว่ยอู๋จี้ถอนหายใจแล้วเอ่ยเบาๆ “ไปกันเถิด ที่นี่ไม่มีเรื่องของเราแล้ว” เซี่ยซิวจู๋หันไปมองคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น หญิงสาวในคราบของชายหนุ่มชุดขาวที่นวดหัวของหรงจิ่นอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็เดินออกไปกับเว่ยอู๋จี้อย่างเงียบเชียบ
ทันทีที่หรงจิ่นตื่นขึ้นมา เขาก็ได้กลิ่นหอมของดอกเหมยอ่อนๆ หายใจเข้าก็รู้สึกผ่อนคลาย นี่คือเครื่องหอมที่ชิงชิงเป็นคนทำ ที่จริงแล้วเครื่องหอมที่ชิงชิงเป็นคนทำกับเครื่องหอมที่พระชายาเหมยหลงเหลือไว้ไม่เหมือนกันเลยแม้แต่น้อย อย่างน้อยหรงจิ่นก็สามารถแยกความแตกต่างได้อย่างชัดเจน แต่หรงจิ่นรู้สึกว่าตัวเองชื่นชอบของชิงชิงมากกว่า
เขาขยับตัวแต่กลับเห็นว่าตัวเองถูกโซ่ตรึงไว้ ถึงแม้จะเป็นยอดฝีมือ แต่หากถูกตรึงไว้เช่นนี้ทั้งคืน คงไม่มีใครสบายตัว เขาปวดเมื่อยไปทั้งตัว แผ่นหลังของเขาแสบร้อน สายตาที่เกียจคร้านของหรงจิ่นเป็นประกาย ภาพของเมื่อคืนพลันปรากฏเข้ามาในหัว ดวงตาที่ยังแดงก่ำค่อยๆ หม่นลง