มือที่เย็นเชียบค่อยๆ ปิดดวงตาของเขาเบาๆ “ไม่ต้องคิดมาก หรงจิ่น ควบคุมตัวเองให้ได้”
“ชิงชิง?” หรงจิ่นเอ่ยเบาๆ
“อืม” ชิงชิงเอามือออก สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าคือใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้าของมู่ชิงอี นางสวมชุดสีเรียบ มวยผมครึ่งหัว ใต้ตาคล้ำจางๆ เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้นอนทั้งคืน “ไม่สบายตรงไหนหรือไม่เพคะ”
หรงจิ่นส่ายหน้า “ชิงชิง… เมื่อคืนข้าทำให้เจ้าตกใจหรือไม่” ดวงตาที่ยังแดงก่ำนั้นตื่นตระหนก เขาจำได้ทุกอย่าง เมื่อวานอาการของเขารุนแรงเป็นพิเศษ ที่จริงแล้วก่อนหน้านี้ชิงชิงยังไม่เคยเห็นเขาอาการกำเริบมาก่อน ถึงแม้ว่าครั้งก่อนมันก็น่ากลัว แต่เขาขังตัวเองไว้ในห้องศิลา แน่นอนว่าพลังทำลายล้างของเขาย่อมลดน้อยลง
มู่ชิงอียิ้มบางเอ่ย “หม่อมฉันไม่ได้ตกใจแต่คนอื่นคงจะตกใจไม่เบา ตอนนี้คุณชายเว่ยและคนอื่นยังเฝ้าอยู่ข้างนอก หม่อมฉันไปเรียกพวกเขาเข้ามาแกะโซ่ให้ท่านดีกว่าเพคะ”
สีหน้าของหรงจิ่นมืดมนลง “เว่ยอู๋จี้…”
“เมื่อคืนต้องขอบคุณเว่ยอู๋จี้ ไม่เช่นนั้น…” มู่ชิงอีถอนหายใจ “หม่อมฉันรู้ว่าท่านไม่ชอบเขา แต่ว่าอย่าเพิ่งอารมณ์เสียตอนนี้เลย ถึงแม้เมื่อวานหม่อมฉันจะไม่ตกใจ แต่หากท่านเป็นเช่นนี้ตลอดก็คงไม่ไหว รู้หรือไม่”
ร่างกายของตัวเอง หรงจิ่นจะไม่รู้ได้เช่นไร เพราะว่าเขารู้ และยิ่งรู้มากเท่าไรก็ยิ่งรังเกียจคนพวกนี้มากเท่านั้น!
แต่หรงจิ่นไม่ใช่คนไม่รู้ความ เขาไม่มีทางหลบหน้าเว่ยอู๋จี้ได้ตลอดไป จึงพยักหน้าตอบรับ
ผ่านไปไม่นาน เว่ยอู๋จี้ก็เดินเข้ามา ใบหน้าของเขามีแต่รอยที่เกิดจากเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ รอยคล้ำใต้คางของเขาทำให้ใบหน้าที่หล่อเหลานั้นดูน่าขบขัน มือของเขายังพันผ้าพันแผลอยู่ เขายิ้มแล้วมองหรงจิ่น “ไอ๊หยา ฟื้นแล้วหรือ”
หรงจิ่นมองเขาอย่างเฉยเมยและไม่พูดอะไร เว่ยอู๋จี้ก็ไม่สนใจ เดินเข้าไปแก้โซ่ให้หรงจิ่น แต่กลับคิดไม่ถึงว่าหรงจิ่นจะยกมือขึ้นต่อยหน้าเว่ยอู๋จี้ เว่ยอู๋จี้ร้องอุทานด้วยความตกใจแล้วถอยหลังออกไป โชคดีที่ทุกครั้งที่หรงจิ่นอาการกำเริบเสร็จแล้วเขาจะไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง หมัดนี้ต่อยไม่ถูกหน้าเว่ยอู๋จี้ เมื่อวานเว่ยอู๋จี้เสียเปรียบให้หรงจิ่น ตอนนี้เขาก็ยังตกใจไม่หาย “หรงจิ่น นี่จะเนรคุณเกินไปแล้ว”
หรงจิ่นเอนตัวพิงมู่ชิงอี เลิกคิ้วแล้วเอ่ยว่า “ข้าเนรคุณ แล้วเจ้าจะทำไม”
คุณชายเว่ยพูดอะไรไม่ออก เขาจะทำไมอย่างนั้นน่ะหรือ หันไปพูดกับมู่ชิงอีด้วยความโมโห “ทำดีกับเจ้าสารเลวคนนี้ เจ้าไม่กลัวว่าวันหนึ่งเขาจะเนรคุณเจ้าเช่นนั้นหรือ”
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “ไม่มีทาง หรงจิ่นดีกับข้า”
หรงจิ่นได้ยินดังนั้นก็พึงพอใจ เอนตัวพิงไหล่มู่ชิงอี จากนั้นก็นอนลงด้วยความปีติ เนื่องจากอาการกำเริบทั้งคืน คนที่สูญเสียพละกำลังไปมากที่สุดเลยเป็นเขา ตอนที่อาการกำเริบไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อฟื้นขึ้นมากลับรู้สึกราวกับว่าตอนที่อาการกำเริบ พลังมหาศาลเหล่านั้นมาจากพลังทั้งหมดในอนาคตของเขา
มองดูพวกเขาสองคน เว่ยอู๋จี้ส่ายหน้าก่อนจะหันหลังเดินออกไป
หลับตาพักผ่อนไปครู่หนึ่ง หรงจิ่นรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย เขาลืมตาขึ้นก็เห็นมู่ชิงอียังคงนั่งอยู่ข้างเตียงแล้วมองมาที่เขา แต่ในดวงตาที่สดใสกลับมีความเหนื่อยล้าและเป็นห่วงเป็นใย
“ชิงชิง ขึ้นมาพักผ่อนสักประเดี๋ยวเถิด” หรงจิ่นขยับเข้าไปข้างใน เหลือที่ไว้ให้นางครึ่งหนึ่ง มู่ชิงอีส่ายหน้า “ไม่เป็นไรเพคะ ประเดี๋ยวหม่อมฉันกลับไปพักผ่อนที่ห้องดีกว่า ท่านไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
หรงจิ่นส่ายหน้า หากไม่นับว่าทั้งตัวรู้สึกอ่อนแรง ตอนนี้เขารู้สึกสบายขึ้นมาก จับมือมู่ชิงอีมาไว้ในฝ่ามือตัวเอง หรงจิ่นหลับตาลงแล้วถามว่า “เขาทำให้เจ้าลำบากใจหรือไม่”
“เขา?” มู่ชิงอีงุนงง ไม่นานนางก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่าเขาที่หรงจิ่นหมายถึงคือสวินอ๋อง หรงจัง นางยิ้มอย่างแผ่วเบา “ไม่เพคะ ทำไมหรือ”
หรงจิ่นเอ่ย “ต่อไปอย่าอยู่กับเขาตามลำพัง หากเขาเรียกเจ้าก็ต้องมาบอกข้าก่อน” มู่ชิงอีเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถามเบาๆ “เขาคือคนที่ส่งนักฆ่ามาฆ่าหม่อมฉัน?”
ถึงแม้สำหรับคนนอกเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก แต่หากมองจากอีกมุมหนึ่ง มันกลับเป็นเรื่องที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด
มือที่กำลังกุมมือนางพลันแข็งทื่อ แต่มู่ชิงอีทำท่าทีราวกับไม่รู้สึกอะไร นางยิ้มแล้วลูบหลังมือที่จับมือตัวเองของหรงจิ่น เอ่ยอย่างอ่อนโยน “ท่านตามเว่ยอู๋จี้ไปไม่ใช่หรือ ทำไมถึงได้ต่อสู้กับเขาเล่า” ก่อนหน้านี้ ทุกครั้งที่อาการจะกำเริบ หรงจิ่นมักจะขังตัวเองอยู่ในห้องศิลาก่อนเสมอ นั่นหมายความว่าก่อนที่อาการจะกำเริบ ต้องใช้เวลาและมีสัญญาณเตือนล่วงหน้า แต่ครั้งนี้กลับกำเริบกะทันหัน เกรงว่าคงมีอะไรมากระทบจิตใจของเขา
หรงจิ่นลืมตาที่แดงก่ำแล้วจับจ้องไปที่นาง มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “ยังมีเรื่องอันใดที่บอกหม่อมฉันไม่ได้หรือ”
“…เขาบอกว่าเขาคือบิดาของข้า” ผ่านไปครู่หนึ่ง หรงจิ่นก็กัดฟันพูดออกมา ถึงแม้เขาจะไม่ชอบตาเฒ่าที่อยู่ในวังคนนั้น แต่เขาก็ยังไม่อยากเปลี่ยนบิดาของตัวเองตอนนี้
หรือพูดอีกอย่างได้ว่า อายุและประสบการณ์ของหรงจิ่น ไม่ต้องการบิดาที่รักและเอ็นดูตัวเองอีกต่อไปแล้ว บางทีก่อนที่เขาจะอายุเจ็ดแปดชันษา เขาเคยหวังว่าชายสุภาพเรียบร้อยที่มาไหว้ผู้ที่ตายไปแล้วในตำหนักเหมยเป็นครั้งคราวคือบิดาของตัวเอง แต่นั่นมันเป็นเรื่องเมื่อก่อนอายุเจ็ดแปดชันษา ตอนนี้จู่ๆ หรงจังก็บอกเขาเช่นนี้ จึงทำให้องค์ชายเก้าเกรี้ยวกราด
เรื่องนี้ มู่ชิงอีก็เคยแอบคาดเดาเองบ้าง แต่ว่าท่าทีที่สวินอ๋องและฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์มีต่อหรงจิ่นนั้นแปลกเกินไป ล้วนไม่ชัดเจน หากหรงจิ่นเป็นบุตรชายของหรงจังจริงๆ เช่นนั้นท่าทีที่ไม่สนใจใยดีเขาตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมาของหรงจังจะอธิบายเช่นไร แล้วท่าทีที่รักและเอ็นดูหรงจิ่นของฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์จะอธิบายเช่นไร แต่หากหรงจิ่นเป็นบุตรชายของฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์ แล้วทำไมหรงจังถึงกล่าวเช่นนั้น ก่อนที่หรงจิ่นจะอายุแปดชันษา ทำไมเขาถึงถูกโยนทิ้งอยู่ที่ตำหนักเหมยเพียงลำพัง
“ท่านเชื่อหรือไม่” มู่ชิงอีก้มหน้าถาม
หรงจิ่นแค่นเสียงหัวเราะเอ่ย “เชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่ต่างกัน หรือเขากล้าวิ่งไปพูดเช่นนั้นต่อหน้าตาเฒ่าคนนั้น ต่อหน้าทุกคนนั้นเช่นนั้นหรือ ข้าไม่ต้องการบิดา เขาก็เหมือนตาเฒ่าคนนั้น ชิงชิงอย่าได้เชื่อเขา”
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “หม่อมฉันไม่เชื่อแน่นอนเพคะ” ต้องรู้ว่า คนคนนั้นอยากจะฆ่านาง เชื่อคนที่อยากจะฆ่าตัวเอง นางไม่ได้อยากตายเสียหน่อย
หรงจิ่นจับมือที่เนียนละเอียดของมู่ชิงอี มุ่นคิ้วเอ่ย “ข้าเกลียดพวกเขาจริงๆ โชคดีที่ชิงชิงไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ ตระกูลกู้นั้นดียิ่งนัก” ดังนั้นเมื่อคืนที่เขาบอกว่าจะฆ่าหรงจัง ถึงแม้จะไม่มีสติ แต่อย่างน้อยครึ่งหนึ่งก็เป็นความจริง
มู่ชิงอีแตะหน้าผากของเบาๆ นางยิ้มเอ่ย “หากท่านเกลียดพวกเขา เราก็ไม่ต้องสนใจพวกเขา” ตระกูลกู้ดีจริงๆ หากไม่ใช่เพราะภัยร้ายครั้งนั้น กู้อวิ๋นเกอแห่งตระกลกู้ที่มีทุกอย่างที่สตรีบนโลกนี้อิจฉา มีท่านปู่ที่มีเมตตา ท่านพ่อที่สง่างาม ท่านแม่ที่อ่อนโยน แล้วยังมีพี่ชายที่ชาญฉลาดและหล่อเหลา…
มู่ชิงอีถอนหายใจ ยิ้มเอ่ย “หรงจิ่นเป็นเช่นนี้ก็ดีเช่นกัน”