หรงจิ่นยิ้มอย่างมีความสุข เขาหลับตาลงแล้วเอ่ยเบาๆ “ข้าไม่ต้องการบิดา ข้าไม่จำเป็นต้องมีก็โตเองได้ ตาเฒ่า…อืม ตาเฒ่าคนนั้นและเขาล้วนไม่ใช่คนดี ข้าต้องการแค่ชิงชิง แค่ชิงชิงอยู่กับข้าก็พอ…” มู่ชิงอีฟังเขาเอ่ยวาจาเรื่อยเปื่อย ในสิบประโยคมีหกเจ็ดประโยคที่กล่าวถึงนาง เสียงของเขาเบาลงเรื่อยๆ จากนั้นก็ผล็อยหลับไป
มู่ชิงอีก้มหน้าลงมองแล้วยิ้มอย่างแผ่วเบา ที่จริงแล้วไม่ว่าผู้หญิงจะฉลาดแค่ไหน แต่ส่วนมากพวกนางล้วนแต่โง่เขลา สิ่งที่พวกนางต้องการก็แค่ผู้ชายที่ในหัวใจมีแต่ตัวเอง หรงจิ่นเป็นผู้ชายคนแรกที่ปฏิบัติต่อนางเช่นนี้ มู่ชิงอีนึกถึงคำพูดที่ตัวเองเคยพูดกับหรงจิ่น
‘หากหม่อมฉันไม่รักท่าน ชีวิตนี้หม่อมฉันก็คงไม่รักใคร’
ไม่รัก…จะไม่รักได้เช่นไร มองดูใบหน้าที่หลับสนิทของเขา มู่ชิงอีก็พลันใจอ่อนยวบ
หรงจิ่นป่วยกะทันหันแบบนี้ จวนอวี้อ๋องเลยคึกคักอีกครั้ง ฮ่องเต้ส่งคนมาถามไถ่ บรรดาองค์ชายและท่านอ๋องต่างก็มาเยี่ยม มู่ชิงอีทั้งต้องดูแลหรงจิ่น ทั้งต้องจัดการเรื่องพวกนี้ไปด้วย มู่ชิงอีที่เพิ่งจะย้ายออกไปได้ไม่นานก็ต้องย้ายกลับมาที่เรือนชิงหนิงอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ โชคดีที่จวนตระกูลกู้อยู่ใกล้จวนอวี้อ๋อง ทำประตูตรงกำแพงลานก็ไม่มีใครสังเกตเห็น
ในห้องของหรงจิ่น หลิงซูนั่งจับชีพจรให้หรงจิ่นอยู่ข้างหน้าต่าง เว่ยอู๋จี้และมู่ชิงอีคอยดูอยู่ข้างๆ ถึงแม้ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เว่ยอู๋จี้ถึงได้บอกให้นางมาจับชีพจรให้อวี้อ๋อง แต่ว่าตอนนี้กฎที่ไม่รับใช้คนร่ำรวยของสำนักเย่าหวังกู่ถูกทำลายไปอย่างหมดจดแล้ว นางจึงไม่สนใจเรื่องนี้ นั่งลงแล้วจับชีพจรให้หรงจิ่นอย่างตั้งใจ
มู่ชิงอีนั่งขมวดคิ้วอยู่ข้างๆ นางไม่ได้มีความหวังมากนัก ตามที่หรงจิ่นได้บอกไว้ หากแม้แต่อดีตเจ้าสำนักเย่าหวังกู่ยังทำอะไรไม่ได้ เช่นนั้น หลิงซู ผู้อาวุโสของสำนักเย่าหวังกู่คนนี้ก็คงทำอะไรไม่ได้เช่นกัน
หลังจากนั้นไม่นาน หลิงซูก็ดึงมือกลับมา นางขมวดคิ้ว เว่ยอู๋จี้จึงถามว่า “แม่นางหลิงซู อวี้อ๋องเป็นเช่นไรบ้าง”
หลิงซูส่ายหน้าด้วยความสับสน “อวี้อ๋อง… ดูเหมือนจะสบายดี ไม่มีพิษในร่างกาย แต่ชีพจรของเขาอ่อนแรงมาก ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเพราะร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่กำเนิด”
เว่ยอู๋จี้พยักหน้าเอ่ย “ตอนที่อวี้อ๋องกำเนิด เขานั้นแข็งแรงดี”
หลิงซูมองเว่ยอู๋จี้ด้วยความแปลกใจ เขารู้ได้เช่นไรว่าตอนที่อวี้อ๋องกำเนิดเขาแข็งแรงหรือไม่ แต่เรื่องนี้หลิงซูไม่สนใจ เพราะในฐานะหมอ เจอกับโรคที่แปลกประหลาดเช่นนี้ นางจึงอยากที่จะศึกษาตามสัญชาตญาณ
เว่ยอู๋จี้และมู่ชิงอีมองหน้ากัน เว่ยอู๋จี้มุ่นคิ้วเอ่ย “หรือว่า…”
“อะไรหรือ” หลิงซูรีบถามอย่างรวดเร็ว
เว่ยอู๋จี้ส่ายหน้า เขาไม่ได้บอกว่าเขาสงสัยว่าหรงจิ่นฝึกฝนกำลังภายในจนเป็นบ้า เพราะตอนเด็กเขาไม่มีอาการเช่นนี้แต่เรื่องนี้จะบอกหลิงซูไม่ได้ หลิงซูรู้สึกผิดหวัง เอ่ยขึ้น “ถึงแม้ข้ายังไม่มีวิธีรักษาอวี้อ๋องให้หายดี แต่ว่าพวกเจ้าไม่ต้องห่วง ถึงแม้เมื่ออาการกำเริบอวี้อ๋องจะรู้สึกเจ็บปวด แต่ตอนนี้มันยังไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายและไม่เป็นอัตรายถึงชีวิต”
เว่ยอู๋จี้ขมวดคิ้ว นึกถึงความคาดหวังของท่านพ่อที่มีต่อหรงจิ่น แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องแค่ไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต แต่ตอนนี้ถือว่านี่คือข่าวดีที่สุดแล้ว
เห็นเว่ยอู๋จี้ขมวดคิ้ว หลิงซูก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “มีคนคนหนึ่ง…หากพวกเจ้าสองคนไม่วางใจ ลองไปหาเขาดูก็ได้”
“ใครหรือ” เว่ยอู๋จี้เอ่ยถาม แต่ในใจของเขากลับพอเดาออก เป็นเหมือนที่เขาคิดไว้ หลิงซู เอ่ยเบาๆ ว่า “มั่วเวิ่นฉิง”
มู่ชิงอีมุ่นคิ้วแล้วถามว่า “มั่วเวิ่นฉิง? เท่าที่ข้ารู้…อดีตเจ้าสำนักเย่าหวังกู่เคยมาดูอาการของอวี้อ๋องแต่เขากลับทำอะไรไม่ได้ มั่วเวิ่นฉิง...”
หลิงซูยิ้มบาง “ถึงแม้คนส่วนใหญ่คิดว่าฝีมือการรักษาโรคของมั่วเวิ่นฉิงจะสู้อดีตเจ้าสำนักเย่าหวังกู่ไม่ได้ นั่นเป็นเพราะว่าเขาไม่ค่อยเดินไปมาบนท้องถนนและก็ไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เเต่ที่จริงแล้ว ก่อนที่อดีตเจ้าสำนักเย่าหวังกู่จะเสียชีวิต เขาเคยพูดว่า ฝีมือการรักษาโรคของมั่วเวิ่นฉิงเหนือกว่าอาจารย์ของเขาเสียอีก หากบนโลกใบนี้มีใครที่รักษาได้ เช่นนั้นก็คงจะเป็นมั่วเวิ่นฉิงแล้ว แต่ว่าตอนนี้… มั่วเวิ่นฉิงอยู่ไหนไม่รู้ เกรงว่าคงไม่มีใครตามหาเขาเจอ”
มู่ชิงอีพยักหน้าเอ่ย “ข้ารู้แล้ว ขอบพระคุณผู้อาวุโสหลิงซูที่ให้คำแนะนำ”
หลิงซูมองชายหนุ่มรูปงามที่สวมชุดสีขาวตั้งแต่หัวจรดเท้า นางยิ้มอย่างแผ่วเบา “เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
หลังจากส่งหลิงซูออกไป หรงจิ่นที่นอนอยู่บนเตียงก็ลืมตาแล้วมองเว่ยอู๋จี้ที่เดินเข้ามา เขาเลิกคิ้ว “นี่คือวิธีของเจ้า?” คนหนึ่งเชียนหลิง คนหนึ่งหลิงซู สายตาของเว่ยอู๋จี้ทำให้คนรังเกียจเสียจริง!
เว่ยอู๋จี้ลูบจมูกตัวเองอย่างกระอักกระอ่วน “เจ้าไม่พอใจอะไรข้ากันแน่ หรือเพราะว่าตอนที่เจ้าอายุแปดชันษาข้าไม่ระวัง…”
ฟิ้ว!มีเสียงลมผัดผ่าน ปอยผมที่อยู่ระแก้มของเว่ยอู๋จี้ขาดเบาๆ แล้วตกลงบนเสื้อสีม่วงของเขา เว่ยอู๋จี้พูดอย่างอ่อนแรง “หากข้าบอกว่าข้าไม่ได้ตั้งใจ เจ้าเชื่อหรือไม่” ตอนนั้นเขาก็เพิ่งจะอายุสิบกว่าปี ได้เจอน้องชายที่ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อนเลยหยอกล้อเขาเล่นนิดหน่อย นั่นคือเรื่องที่พี่ชายทุกคนต้องทำอยู่แล้วไม่ใช่หรือ เอ่อ…ถึงแม้ว่าตนจะตื่นเต้นจนไม่ระวัง ปล่อยให้เขาอยู่ในสวนดอกเหมยที่เย็นยะเยือก แต่เรื่องนี้จะโทษตนไม่ได้ วังหลวงไม่ใช่สถานที่ที่ตนอยากจะเข้าก็เข้าอยากจะออกก็ออกได้ตามอำเภอใจ
แต่แค่เรื่องนี้ทำให้สองสามปีที่ผ่านมาหรงจิ่นคอยหาเรื่องเขาตลอด หรงจิ่นใจแคบเกินไปหรือไม่ สองสามปีก่อน หากไม่เพราะเชียนหลิงช่วยเขาไว้ ตนอาจถูกหรงจิ่นฆ่าตายไปแล้วก็ได้
“อย่างน้อย เจ้าก็ควรเรียกข้าว่าพี่” เว่ยอู๋จี้ถอนหายใจอย่างเอือมระอา
“เว่ยอู๋จี้ อยากตายก็บอกกันตรงๆ” หรงจิ่นเอ่ยอย่างเย็นชา
มู่ชิงอีที่อยู่ข้างๆ มองดูพวกเขาสองคนอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เมื่อก่อนไม่รู้ว่าพวกเขามีความสัมพันธ์อะไรกัน แต่ตอนรู้แล้วกลับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ส่งเสียงกระแอมเบาๆ มู่ชิงอีจับพัดเล่นในมือแล้วเอ่ยขึ้นว่า “พวกท่านอยากให้ข้าเห็นพวกท่านทะเลาะกัน?” เว่ยอู๋จี้ยักไหล่ มองไปที่หรงจิ่นเอ่ย “ตอนนี้ เจ้าจะทำอย่างไร”
หรงจิ่นมองเขาอย่างเฉยเมย “เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่”
เว่ยอู๋จี้เอ่ย “เจ้ารู้ว่าข้าพูดถึงเรื่องอันใด” เห็นได้ชัดว่าหรงจิ่นไม่ยอมรับเรื่องที่หรงจังเป็นบิดาของเขา ไม่ใช่เพราะเขามีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์ แต่เพราะหรงจิ่นไม่ต้องการความรักจากใคร การที่ท่านพ่อคิดว่าหรงจิ่นมีความสัมพันธ์พิเศษกับตัวเอง เกรงว่าคงเป็นความเข้าใจผิดของท่านพ่อเพราะเขาไม่เคยเห็นร่องรอยของความรู้สึกใดๆ ในแววตาของหรงจิ่นที่มีต่อคนอื่น…ยกเว้นกับมู่ชิงอี