เว่ยอู๋จี้รู้สึกว่า พวกเขาจำเป็นต้องทำความเข้าใจเรื่องทุกอย่างที่เกี่ยวกับหรงจิ่นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีหลายเรื่องที่พวกเขาไม่รู้ หรือว่า…พวกเขาไม่สนใจเขาเกินไป
หรงจิ่นเอ่ยอย่างเย็นชา “ไม่รู้ ข้าจัดการเองได้ เขาชอบซ่อนตัวอยู่ในเงามืด เช่นนั้นก็ไม่ต้องโผล่หัวออกมา ระวังข้าจะฆ่าเขาให้ตาย”
เว่ยอู๋จี้พลันเหนื่อยใจ “แต่เขาคือ… “
ครั้นรู้สึกถึงสายตาที่เย็นชาของหรงจิ่น เว่ยอู๋จี้จึงหยุดพูดแล้วเปลี่ยนเป็นเอ่ยว่า “สรุปก็คือ เจ้าคิดให้ดี ที่จริงแล้ว…คืนนั้นเขาก็พูดถูก เจ้าเป็นคนฉลาด เจ้าน่าจะรู้ว่าหากมีเขาคอยช่วยเจ้า เจ้าก็จะสามารถเดินทางลัดได้หลายทาง”
“ข้าไม่ต้องการ” หรงจิ่นปฏิเสธอย่างเด็ดขาด แค่นเสียงเอ่ย “ข้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่น แล้วก็ไม่อยากติดหนี้บุญคุณใคร”
เขาเป็นบิดาของเจ้า ทุกสิ่งที่เขาทำในช่วงหลายปีที่ผ่านมาล้วนแต่เป็นการเตรียมการไว้เพื่อเจ้า นี้คือการติดหนี้บุญคุณคนอื่นเช่นนั้นหรือ เว่ยอู๋จี้ลอบถอนหายใจ แต่เขารู้ว่าตนพูดเช่นนี้ออกไปไม่ได้ หรงจิ่นเอนตัวพิงเตียงและหลับตาลง จากนั้นก็เอ่ยอย่างเย็นชา “เจ้ากลับไปเถิด ไปบอกเขาว่าข้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเขา แต่หากเขากล้าแตะต้องชิงชิงก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือน!”
เว่ยอู๋จี้ถอนหายใจ เกิดเรื่องคืนนั้นขึ้น ใครยังจะกล้าแตะต้องมู่ชิงอีอีก แต่ว่า… ท่านพ่อคงอยากจะจัดการมู่ชิงอีให้เร็วที่สุด เกรงว่าเขาคงจะนั่งไม่ติดกระมัง ก็จริง…คนเช่นนั้นอดทนมาตั้งยี่สิบปี หากยังรอต่อไป เกรงว่าฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์คงจะแก่ตายเสียก่อน
“หากฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์และท่านพ่อ…เจ้าจะเลือกช่วยใคร” เว่ยอู๋จี้เปิดปากถาม
หรงจิ่นยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา ดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “ใครกล้าช่วยพวกเขา ข้าก็จะฆ่าคนนั้น ปล่อยให้พวกเขาสองคนตายไปทั้งสองไม่ดีกว่าหรือ” เว่ยอู๋จี้ยิ้มอย่างขมขื่น ส่ายหน้าแล้วเดินออกไป
เห็นเว่ยอู๋จี้ออกไปแล้ว มู่ชิงอียกมือขึ้นเพื่อจับใบหน้าของหรงจิ่น นางยิ้มเอ่ย “ทำไมท่านต้องทำให้เขาตกใจเพคะ ที่จริงแล้ว… เว่ยอู๋จี้ก็ไม่แย่ไม่ใช่หรือ” เว่ยอู๋จี้ดีกับหรงจิ่นจริงๆ ขนาดตอนนั้นที่เขายังไม่รู้ว่าอวิ๋นอิ่นก็คือหรงจิ่น เขาก็ดีกับหรงจิ่นอยู่แล้ว แน่นอนว่าตอนนั้นคงเป็นความชื่นชมอีกฝ่าย
หรงจิ่นแค่นเสียงหัวเราะ เอ่ยอย่างเฉยเมย “ไม่แย่? เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าหากข้าไปฆ่าหรงจังตอนนี้ เว่ยอู๋จี้ก็จะสู้กับข้าอย่างสุดชีวิต” ความดีของเว่ยอู๋จี้ที่มีต่อเขา เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เขาเป็นบุตรชายของหรงจัง หากเขาไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับหรงจัง หรือว่าไม่ใช่บุตรชายของหรงจัง หรือคนที่หรงจังอยากจะฆ่าคือเขา เว่ยอู๋จี้ก็นับเป็นศัตรูที่อันตรายที่สุด ความไม่แน่นอนเช่นนี้ เรื่องบางอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เขาไม่ต้องการ
“ข้าต้องการแค่ชิงชิง และข้าก็จะดีกับชิงชิงคนเดียวเท่านั้น” หรงจิ่นเอียงหัวมองมู่ชิงอีพลางยิ้มอย่างมีความสุข
มู่ชิงอีเลิกคิ้ว “มีเรื่องอันใด ทำไมดีใจขนาดนี้”
หรงจิ่นส่ายหน้า เขามองมู่ชิงอีแล้วยิ้มกว้างมากกว่าเดิม มู่ชิงอีเอือมระอา นางส่ายหน้าแล้วไม่สนใจเขาอีก
ณ จวนสวินอ๋อง
หรงจังนั่งหยิบพู่กันฝึกเขียนอักษรอยู่ที่โต๊ะหนังสือ ห้องตำราบรรยากาศดูเงียบเหงา ผนังทั้งสี่ด้านมีผ้าม่านแขวนอยู่ ดูไม่เหมือนห้องตำราของท่านอ๋อง แต่เหมือนห้องตำราของสตรีเสียมากกว่า หลังผ้าม่านมีภาพสตรีที่อิริยาบถแตกต่างกันแขวนอยู่ แต่ภาพเหล่านั้นกลับถูกผ้าม่านบัง ทำให้มองไม่เห็นหน้าตาของสตรีที่อยู่ในภาพ
เว่ยอู๋จี้ปรากฏตัวในห้องหนังสืออย่างเงียบเชียบ เขาเอ่ยด้วยความเคารพ “ท่านพ่อ”
หรงจังไม่ตกใจ วางปากกาลงแล้วถามว่า “จิ่นเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง”
เว่ยอู๋จี้ส่ายหน้าเอ่ย “ท่านพ่อไม่ต้องห่วง อวี้อ๋อง…ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว”
“ตอนนี้?” หรงจังขมวดคิ้ว เว่ยอู๋จี้รีบอธิบายอาการป่วยของหรงจิ่น หรงจังขมวดคิ้ว เงียบอยู่นานก่อนจะเอ่ยขึ้น “เจ้าหมายความว่า… ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าทำไมจิ่นเอ๋อร์ถึงมีอาการเช่นนี้อย่างนั้นหรือ แค่สงสัยว่าเขาฝึกฝนกำลังภายในจนเป็นบ้า”
เว่ยอู๋จี้พยักหน้าเอ่ย “แต่อวี้อ๋องกลับไม่เห็นด้วย แต่ว่า…ข้ามักจะรู้สึกว่าในวัยของอวี้อ๋อง มีวิทยายุทธเยี่ยมยอดขนาดนี้นั้นเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ” บนโลกใบนี้ใช่ว่าจะไม่มีอัจฉริยะ เว่ยอู๋จี้เองก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะด้านวิทยายุทธที่หาได้ยาก แต่หรงจิ่นกลับไม่เหมือนกัน ต้องรู้ว่า ก่อนที่หรงจิ่นจะอายุแปดชันษา หรือก่อนอายุสิบสองชันษา ที่จริงแล้วเขาไม่เคยเรียนรู้วิทยายุทธเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มที่ไม่พื้นฐานใดสามารถฝึกฝนตัวเองจนกลายเป็นยอดฝีมือในเวลาเพียงสามสี่ปีนั้นไม่ใช่เรื่องปกติ ตอนนั้นที่อวิ๋นอิ่นมาหาเขาแล้วทำร้ายเชียนหลิง อวิ๋นอิ่นมีอายุเพียงสิบห้าปี แต่อวิ๋นอิ่นสวมหน้ากากอยู่ตลอด แม้แต่เสียงก็เปลี่ยนไป ดังนั้น เว่ยอู๋จี้จึงคิดว่าอวิ๋นอิ่นอาจอายุเท่ากันหรือแก่กว่าตัวเขามาตลอด
หรงจังพยักหน้าพลางขมวดคิ้ว เขาคิดไม่ถึงว่าหรงจิ่นก็คือคุณชายอวิ๋นอิ่น ต้องรู้ว่า เมื่อก่อนหรงจิ่นถูกฮ่องเต้เเคว้นเย่ว์กักตัวอยู่ในวังตลอด เขาป่วยอยู่บ่อยๆ ไม่ค่อยออกมาจากวัง แต่ในทางกลับกัน ในฐานะบิดา เขาช่างภูมิใจในความสำเร็จของบุตรชายตัวเอง
“เรื่องที่ข้ากล่าวกับเขาก่อนหน้านี้ เขาคิดเห็นเช่นไร” หรงจังเอ่ยถาม เว่ยอู๋จี้ก้มหน้าลงยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนใจ “ท่านพ่อ…เรื่องที่ท่านพูดนั้น เกรงว่าเขาคงจะไม่สนใจ”
“หมายความว่าอย่างไร” หรงจังขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ
เว่ยอู๋จี้เอ่ย “สำหรับอวี้อ๋องแล้ว กู้หลิวอวิ๋นไม่ใช่แค่…คนที่เขาโปรดปรานเท่านั้น สถานการณ์ในคืนนั้น ท่านพ่อก็เห็นแล้ว ไม่ต้องเอ่ยถึงเซี่ยซิวจู๋ที่อยู่ข้างกู้หลิวอวิ๋น วิทยายุทธของเขาไม่ด้อยไปกว่าข้าเลย หากอยากรับมือกับเขา เกรงว่าคงไม่มีโอกาสเหมือนครั้งก่อนแล้ว ถึงแม้จะมี…ท่านพ่ออยากเห็นอวี้อ๋องบ้าคลั่งอีกครั้ง? อู๋จี้เห็นกับตาตัวเองที่จวนอวี้อ๋อง ตอนนี้คนที่สามารถปลอบประโลมอวี้อ๋องได้ก็คงมีแค่กู้หลิวอวิ๋นคนเดียวเท่านั้น”
หรงจังครุ่นคิดอยู่นาน จากนั้นก็โบกมือด้วยความหงุดหงิด “เรื่องนี้ค่อยว่ากันทีหลัง เรื่องอื่นล่ะ จิ่นเอ๋อร์ว่าอย่างไร”
เว่ยอู๋จี้มองไปที่หรงจังอย่างเหนื่อยหน่ายใจ ในเมื่อหรงจิ่นไม่มีทางทิ้งมู่ชิงอี แล้วเขาจะยอมแต่งงานกับคนอื่นได้เช่นไร ถึงแม้เขาไม่ค่อยสนิทสนมกับมู่ชิงอี แต่เขามองออกว่าผู้หญิงที่ข้างนอกดูอ่อนโยนและสง่างามคนนั้น แต่ข้างในกลับมีความหย่อหยิ่ง หากหรงจิ่นมีคนอื่น เกรงว่าชีวิตนี้คงไม่ต้องคิดให้นางหันกลับมามองตัวเองอย่างอาลัยอาวรณ์
“เหลวไหล!” หรงจังตบโต๊ะอย่างแรง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจกับความดื้อรั้นของหรงจิ่น เว่ยอู๋จี้ถอนหายใจ ถึงแม้ท่านพ่อคือผู้ให้กำเนิดของหรงจิ่น แต่ท่านพ่อที่ไม่เคยรับผิดชอบ หรือไม่เคยแม้แต่พูดกล่าวกับเขา จะควบคุมอวี้อ๋องที่นิสัยเย่อหยิ่งได้เช่นไร หรงจิ่นไม่ใช่บุตรชายที่ยอมเสียน้ำตาเพราะความซาบซึ้งหรือยอมคุกเข่าลงตรงหน้าเขาเพียงเพราะคำว่าความรักจากบิดา
หรงจังสะบัดมือด้วยความรำคาญเอ่ย “ช่างมันเถิด เจ้ากลับไปก่อน ข้าคิดดูก่อน”
เว่ยอู๋จี้พยักหน้าตอบ “เช่นนั้นอู๋จี้ขอตัวก่อน”
เว่ยอู๋จี้เอ่ยขอตัวออกมาด้วยความนอบน้อม ในห้องตำรา หรงจังลุกขึ้นเดินไปที่ภาพวาดที่อยู่หลังม่าน เขายกมือขึ้น เปิดผ้าม่านผ้าออก เผยให้เห็นใบหน้าของสตรีที่งดงามราวกับเทพธิดาบนผนัง หรงจังยืนมองรอยยิ้มที่แสนหวานบนผนังอย่างเหม่อลอย ราวกับสตรีที่ไร้ซึ่งความกังวล เขาเอ่ยเบาๆ “ซีเอ๋อร์ ไม่ต้องเป็นห่วง…ข้าจะทำให้หรงจิ่นได้ครองบัลลังก์และแก้แค้นให้เจ้า เด็กคนนี้…ช่างดื้อเสียจริง แต่ไม่เป็นไร…ข้าไม่โกรธเขาหรอก ในเมื่อเขาไม่ยอมฟังข้า ข้าก็จะจัดการคนที่ขวางทางให้เขาก่อน”