“ท่าน!” ซู่เวิ่นโกรธสุดขีด นางเคยเห็นบรรดาองค์ชายและขุนนางชั้นสูงมากมายในเมืองหลวง แต่กลับไม่เคยเห็นใครไร้มารยาทแบบนี้มาก่อน
หลิงซูยิ้มอย่างแผ่วเบา มองไปที่มู่ชิงอีแล้วเอ่ย “แม่นางหนานกงมาหาคุณชายกู้ ข้าจึงรับปากว่าจะมากับแม่นางหนานกง คุณชายกู้จะไล่แขกอย่างนั้นหรือ”
มู่ชิงอีถอนหายใจอย่างจนใจแล้วยิ้มบางเอ่ย “ท่านอ๋องเพียงแค่ล้อเล่นเท่านั้น เชิญแม่นางหลิงซูดื่มชาก่อนเถิด”
ซู่เวิ่นมองไปที่มู่ชิงอีด้วยความสงสัย นางมาถึงเมืองหลวงช้ากว่าหลิงซู วันธรรมดาก็เอาแต่ยุ่งจึงไม่เคยเห็นมู่ชิงอี แต่เมื่อครั้งแรกที่นางเห็นชายหนุ่มรูปงามชุดขาวคนนี้ นางกลับรู้สึกไม่ค่อยถูกชะตา เป็นเพียงบุรุษแต่หน้าตากลับดูงดงามกว่าสตรีเสียอีก…ถึงแม้อวี้อ๋องก็หน้าตาหล่อเหลา กระนั้นท่าทีที่เย็นชาของอวี้อ๋องกลับทำให้ผู้คนรู้สึกหลงใหล แต่ชายหนุ่มชุดขาวที่สุภาพอ่อนโยนคนนี้กลับทำให้ซู่เวิ่นรู้สึกถูกข่มอย่างอธิบายไม่ถูก
หนานกงหย่ามองไปที่ชายหนุ่มสองคนที่นั่งอยู่ด้วยความแปลกใจ คนหนึ่งสวมชุดสีดำและสีหน้าเย็นชา ส่วนอีกคนหนึ่งสวมชุดเสื้อคลุมสีขาว ยิ้มหวานราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิก็ไม่ปาน อวี้อ๋องมีชื่อเสียงเรื่องอารมณ์แปรปรวน แต่ทุกครั้งที่เขามองชายหนุ่มชุดขาวคนนั้น ในสายตาของเขามักจะมีความอบอุ่นและอ่อนโยน ทำให้หนานกงหย่าพลันนึกถึงข่าวลือในเมืองหลวง สีหน้าของนางจึงแปรเปลี่ยน
มู่ชิงอีสังเกตเห็นสายตาที่ลอบมองตัวเองของหนานกงหย่าตั้งนานแล้ว นางมองหนานกงหย่าอย่างเอือมระอา ก่อนจะยิ้มเอ่ย “คุณหนูหนานกง ไม่ทราบว่า…มีเรื่องอันใดหรือ”
หนานกงหย่ามองไปที่มู่ชิงอี จากนั้นก็หน้าขึ้นสี ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ข้า ขอคุยกันคุณชายกู้ตามลำพังได้หรือไม่”
“ไม่ได้!”
“ได้”
มีเสียงสองเสียงดังขึ้นมาพร้อมกัน มู่ชิงอีเลิกคิ้วขึ้นเหลือบมองไปยังหรงจิ่น หรงจิ่นแค่นเสียงแล้วเบิกตามองหนานกงหย่าด้วยความไม่พอใจ “หนานกงหย่า หนานกงเจวี๋ยไม่เคยสอนเจ้าหรือว่าผู้หญิงที่ยังไม่ออกเรือนห้ามอยู่กับผู้ชายเพียงลำพัง”
หนานกงหย่าเงยหน้าขึ้นเหลือบมองมู่ชิงอี เอ่ยเบาๆ “ตระกูลเราไม่ใช่ตระกูลนักปราชญ์ ท่านพ่อไม่เคยสอนเช่นนั้นเพคะ” หรงจิ่นเลิกคิ้ว “เช่นนั้นคงน่าเสียดาย ตระกูลของจื่อชิงเป็นตระกูลนักปราชที่มีชื่อเสียงในแคว้นหวา พวกเขาให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์”
เจตนาร้ายที่ชัดเจนเช่นนี้ ถึงแม้หนานกงหย่าจะเกิดจากตระกูลแม่ทัพ แต่นางก็ถูกหรงจิ่นทำให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ นางเงยหน้ามองมู่ชิงอีด้วยดวงตาแดงก่ำ ไม่แปลกที่องค์ชายเก้าหน้าตาหล่อเหลาเช่นนี้ แต่กลับไม่ค่อยมีผู้หญิงคนไหนอยากเข้าใกล้เขา ผู้ชายที่โหดเหี้ยมเช่นนี้ ผู้หญิงคนนั้นต้องแข็งแกร่งแค่ไหนถึงจะอดทนเขาได้
“หรงจิ่น” มู่ชิงอีเตือนเขาด้วยความไม่พอใจ หนานกงหย่าเป็นแค่เด็กผู้หญิงอายุสิบห้าสิบหกปีเท่านั้น หรงจิ่นพูดจาเหลวไหลโจมตีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งแบบนี้ ดูไม่ดีเกินไป
เดิมทีแม่นางทั้งสามคิดว่าหรงจิ่นต้องโมโหอย่างแน่นอน แต่กลับเห็นสีหน้าของอวี้อ๋องเปลี่ยนไป เขาสงบลง โบกมือแล้วเอ่ยว่า “ก็ได้ จื่อชิงรีบไปรีบมาก็แล้วกัน”
มู่ชิงอียืนขึ้น ส่งยิ้มให้หนานกงหย่าแล้วเอ่ยว่า “คุณหนูหนานกง เชิญทางนี้”
เพื่อไม่ให้ใครบางคนเอะอะโวยวาย พวกนางจึงออกไปไม่ไกล พูดคุยกันในห้องโถงทางด้านซ้ายของห้องโถงใหญ่
“คุณหนูหนานกง เชิญนั่งก่อน” ในห้องโถง มู่ชิงอียิ้มและมองดูหญิงสาวสวมชุดสีฟ้าที่ท่าทางดูอึดอัดตรงหน้า “คุณหนูมาหาข้า มีเรื่องอันใดอย่างนั้นหรือ”
หนานกงหย่าลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามว่า “พี่ใหญ่…พี่ใหญ่มอบเฟิ่งหลายฉินให้คุณชายกู้แล้วหรือยัง”
มู่ชิงอีพยักหน้าเอ่ย “มอบให้แล้ว แต่…เฟิ่งหลายฉินนั้นสำคัญกับคุณหนูหนานกงเป็นอย่างมาก…” หนานกงหย่ารีบส่ายหัวปฏิเสธ “ไม่ ไม่ใช่เช่นนั้น ท่านพ่อเคยบอกว่า เพราะว่าคุณชายกู้มอบกระบี่ที่มีชื่อเสียงให้พี่สอง เฟิ่งหลายฉินคือของขวัญที่พี่ใหญ่มอบให้เจ้าแทนพี่สอง”
มู่ชิงอีแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ไม่ได้มาพูดถึงเรื่องแต่งงานก็ดีแล้ว
“เช่นนั้น…คุณหนูหนานกงหมายความว่าอย่างไร”
หนานกงหย่ามองดูชายหนุ่มชุดขาวที่หน้าตาหล่อเหลาและไร้เดียงสาอย่างเหม่อลอย หากพูดตามความจริง ถึงแม้ว่ากู้หลิวอวิ๋นจะอายุน้อยไปหน่อย แต่ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหรือความสามารถ นับเป็นบุรุษที่เป็นที่หมายปองของบรรดาหญิงสาว หากบอกว่าหนานกงหย่าไม่ชอบเขาคงไม่ใช่ เพราะกู้หลิวอวิ๋นมีภูมิหลังที่ดี หน้าตาดีแล้วยังมีความสามารถ และที่สำคัญก็คือ ชายหนุ่มที่ไม่ดูถูกคนอื่นเช่นนี้ไม่ได้มีมากนัก แต่ว่า หนานกงหย่ารู้มาจากพี่ใหญ่ว่ากู้หลิวอวิ๋นไม่ได้สนใจเรื่องแต่งงานครั้งนี้มากนัก แล้วยังมีข่าวลือของกู้หลิวอวิ๋นกับอวี้อ๋อง ที่ทำให้หัวใจที่เต้นแรงของหญิงสาวนั้นเบาลง
หนานกงหย่าสูดหายใจเข้า เงยหน้ามองมู่ชิงอีแล้วถามว่า “คุณชายกู้ คุณชายกู้รู้เจตนาของพี่ใหญ่ข้าใช่หรือไม่”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วด้วยความตกใจ สตรีของเคว้นเย่ว์และแคว้นหวาไม่เหมือนกัน แต่ตอนนั้นองค์หญิงไหวหยางยังกล้าแสดงความรักต่อเกอซูฮั่นในที่สาธารณะ พฤติกรรมของแม่นางหนานกงก็คงไม่แปลก
มู่ชิงอีพยักหน้าอย่างไม่ปิดบัง หนานกงหย่าเอ่ยขึ้น “แต่คุณชายกู้ไม่มีความคิดเช่นนั้นใช่หรือไม่”
มู่ชิงอีพยักหน้าอีกครั้ง
“เพราะ…อวี้อ๋อง?” หนานกงหย่ากระซิบถามด้วยความน้อยใจ นางเป็นถึงคุณหนูตระกูลหนานกง หน้าตาความสามารถและภูมิหลังก็ไม่ด้อยไปกว่าคุณหนูคนอื่นในเมืองหลวง ถูกคนอื่นปฏิเสธ ไม่ใช่เพราะมีผู้หญิงที่ดีกว่าตัวเอง แต่กลับเพราะผู้ชายคนหนึ่ง แน่นอนว่า หากไม่เอ่ยถึงเรื่องเพศ คนที่มีภูมิหลังและหน้าตาดีอย่างอวี้อ๋องคงจะดีกว่าตัวเองจริงๆ
มู่ชิงอีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าอย่างระอาใจ
ดวงตาที่สวยงามของหนานกงหย่าหม่นแสงลง นางกัดริมฝีปากแล้วถามว่า “คุณชายกู้…เป็นอะไรกับอวี้อ๋องอย่างนั้นหรือ เป็นเหมือนที่พวกเขาเล่าลือกัน…”
“เจ้าอยากรู้ว่าเราเป็นอะไรกัน ทำไมไม่มาถามข้าเล่า” ไม่รู้ว่าตั้งแต่ตอนไหน หรงจิ่นปรากฎตัวขึ้นมาที่ประตูห้อง หนานกงหย่าโมโหขึ้นมาทันที นางเอ่ยอย่างไม่พอใจ “อวี้อ๋อง หม่อมฉันต้องการถามคุณชายกู้เพคะ!”
หรงจิ่นเลิกคิ้ว เดินเข้าไปหามู่ชิงอีและจับมือนาง จากนั้นก็พูดกับหนานกงหย่าด้วยสีหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “เจ้าอยากรู้ว่าข้ากับจื่อชิงเป็นอะไรกันไม่ใช่หรือ ดูสิ”
หนานกงหย่าเบิกตากว้างด้วยความตกใจ นางมองหรงจิ่นด้วยสีหน้าที่สับสน ถึงอย่างไรนางก็เป็นผู้หญิง ถึงแม้จะเคยได้ยินข่าวลือของหรงจิ่นกับกู้หลิวอวิ๋น แต่พวกเขาเป็นอะไรกันกันแน่ หนานกงหย่ายังไม่ชัดเจน
แต่เมื่อเห็นหรงจิ่นโอบเอวของมู่ชิงอี ใช้มืออีกข้างหนึ่งจับไล่นาง จากนั้นก็ก้มหน้าลงจูบนางท่ามกลางสายตาที่อึ้งตะลึงของหนานกงหย่า
“ไอ๊หยา!” หนานกงหย่าอุทานด้วยความตกตะลึง ไม่รู้ว่าควรมีปฏิกิริยาเช่นไร
ไม่ต้องพูดถึงเด็กผู้หญิงอย่างหนานกงหย่า แม้แต่มู่ชิงอีเองก็ตกใจกลับพฤติกรรมกะทันหันนี้ของหรงจิ่นเช่นกัน ที่หรงจิ่นเคยพูดเอาไว้ตอนนั้น มู่ชิงอีคิดว่าเขาเพียงแค่กล่าวเหลวไหล แต่กลับลืมไปว่าองค์ชายเก้าคือคนที่สามารถทำให้เรื่องเหลวไหลกลายเป็นเรื่องจริงได้
และเรื่องพละกำลัง ถึงแม้จะมีมู่ชิงอีสามคนรวมกันก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหรงจิ่น มู่ชิงอีผลักเขา แต่เขากลับไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย สุดท้ายมู่ชิงอีจึงทำได้แค่ถอนหายใจในใจ ชื่อเสียงของนาง คงจะถูกทำลายไปพร้อมกับเขาแล้ว