ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์จับจ้องฮองเฮาแล้วตรัสว่า “เจ้าเป็นถึงมารดาของแผ่นดิน แต่กลับไม่รู้คุณสมบัติของสตรีที่พึงมี บังอาจฆ่าสนมเพียงเพราะข่าวลือที่ถูกกุขึ้นมาเท่านั้น เจ้าจะเป็นฮองเฮาไปทำไมอีก ใครก็ได้มานี่ เก็บตราประทับหงส์ไป นับแต่บัดนี้ขอปลดฮองเฮาออกจากตำแหน่ง!”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เจี่ยงปินที่อยู่ด้านหลังฮ่องเต้แคว้นเย่ว์น้อมรับพระบัญชาเสียงนอบน้อม จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกประตูไปแล้วส่งคนไปเก็บตราประทับหงส์ในพระตำหนักฮองเฮากลับคืน
“ไม่นะ…” ฮองเฮาร่างอ่อนยวบล้มลงบนพื้น ในหัวมีเพียงความว่างเปล่า กระทั่งคิดไม่ออกว่าเหตุใดตนถึงบุกเข้ามาฆ่าหนานกงเสียนด้วยอารมณ์ชั่ววูบเช่นนั้นได้ ตอนนี้…ตอนนี้ควรทำเช่นใดต่อ
“เสด็จพ่อ” ทันใดนั้นหรงเซวียนก็ก้าวขึ้นมาด้านหน้าก่อนคุกเข่าลงพื้น
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์จ้องหรงเซวียน ตรัสเสียงเย็นชา “เจ้ายังอยากพูดอะไรอีก”
หรงเซวียนกัดฟันเอ่ย “เสด็จพ่อโปรดให้ความเป็นธรรมแก่เสด็จแม่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” หนานกงเจวี๋ยและหนานกงอี้ที่อยู่ด้านหลังหรงเซวียนก็คุกเข่าลงตรงหน้าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์พร้อมกันสองคน “ฝ่าบาทโปรดให้ความเป็นธรรมแก่เต๋อเฟยด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
สีหน้าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ถูกบดบังอยู่ภายใต้ลูกปัดที่ห้อยยาวลงมาจึงมองไม่ถนัดตานัก เพียงแต่มีเสียงเย็นยะเยือกดังแว่วมาว่า “เจ้าหมายความว่าจะให้ฮองเฮาชดใช้เต๋อเฟยด้วยชีวิตอย่างนั้นหรือ”
หรงเซวียนเหยียดหลังตรงพร้อมสบตาฮ่องเต้แคว้นเย่ว์แน่นิ่งโดยไม่คิดหลบ “หากลูกฆ่าพี่ใหญ่จริงๆ ลูกก็พร้อมชดใช้คืนด้วยชีวิต แต่เสด็จแม่…เสด็จแม่อยู่เคียงข้างเสด็จพ่อมาตั้งสี่สิบกว่าปี แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยทำสิ่งใดล่วงเกินเลย เสด็จพ่อโปรดเห็นแก่ความยากลำบากถึงแม้จะไม่มีคุณงามความดีใดเลยของเสด็จแม่ ทวงความเป็นธรรมให้แก่เสด็จแม่ทีเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” ขณะที่พูดหรงเซวียนก็ก้มเอาศีรษะโขกพื้นต่อหน้าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์สามครั้ง หลังจากเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นหน้าผากปูดโปนม่วงช้ำ
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์แค่นเสียงเบาทีก่อนตรัสเสียงขรึม “เอาเถอะ ฮองเฮา…ไม่สิ เอาตัวแม่นางโจวไปขังในตำหนักเย็นและจะไม่มีการอภัยโทษให้ไปชั่วชีวิต!”
“เสด็จปู่…”
“ฝ่าบาท…”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ชิงตัดบทคำอ้อนวอนขอชีวิตของหรงไหวและอัครเสนาบดีโจวอย่างเย็นชา “ส่วนพวกเจ้า โจวเหวินปินใส่ร้ายจวงอ๋องจะละเว้นโทษไม่ได้เช่นกัน เราขอถอดถอนตำแหน่งอัครเสนาบดี ฉินอ๋องไม่ให้ความยำเกรงอา ไม่รู้จักกตัญญูเกรงใจผู้อาวุโสกว่า เราขอถอดถอนฉินอ๋องออกจากตำแหน่งแล้วลดขั้นเป็นเพียงฟู่เอินโหว”
“ฝ่าบาท…หม่อมฉันถูกใส่ความ…ฝ่าบาท ไหวเอ๋อร์เป็นหลานคนโตของฝ่าบาทนะเพคะ” ในที่สุดฮองเฮาก็ร้อนใจขึ้นมา พลางปล่อยโฮน้ำตาไหลอาบเป็นสาย
ฟู่เอินโหว…ฉายานามนี้ หากจะกล่าวว่าถูกแต่งตั้งสู้บอกว่าเป็นความอับอายเสียยังดีกว่า ในขณะเดียวกันยังบ่งบอกว่าหรงไหวไม่มีหวังแล้วจริงๆ ไม่ว่าลูกหลานคนใดที่ถูกฝ่าบาทแต่งตั้งด้วยฉายานามเช่นนี้ล้วนไม่มีโอกาสลุกขึ้นมาผงาดได้ใหม่อีกครั้งเลยสักคน ฟู่เอิน…เนรคุณต่อบุญคุณกษัตริย์ ฉินอ๋องเป็นหลานคนแรกของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ที่ได้เข้าฟังงานในราชสำนัก อีกทั้งเป็นบุตรชายคนโตขององค์รัชทายาทเต้ากงด้วย เขาเข้าราชสำนักได้เพียงไม่กี่เดือนก็พบกับจุดจบที่น่าเศร้านี้แล้ว อีกทั้งสิ่งที่รอคอยเขาอยู่ข้างหน้ามีเพียงความซวยมากกว่าเดิมเท่านั้น
หากแม้แต่สาวงามยังสร้างความหวั่นไหวให้แก่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ไม่ได้ เช่นนั้นฮองเฮาที่อายุล่วงเลยเกินหกสิบชันษาย่อมไม่สามารถมีผลต่อใจฮ่องเต้ได้เช่นกัน ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์โบกมือด้วยท่าทีเย็นชา “เอาตัวออกไป เราไม่อยากเห็นหน้าพวกเขาแล้ว”
องครักษ์ที่รออยู่ด้านนอกรีบเข้ามาหมายจะลากตัวพวกฮองเฮาไป ฮองเฮาย่อมไม่มีทางยอมรับชะตากรรมนี้อยู่แล้วจึงกรีดร้องดิ้นพล่าน อัครเสนาบดีโจวหน้าซีดเซียว ชั่ววินาทีนั้นราวกับอายุแก่ลงสิบกว่าปีได้ เขามองเหล่าองค์ชายที่เผยสีหน้าราบเรียบก่อนถอนหายใจกล่าว “พี่หญิง ไม่ต้องพูดแล้ว…พวกเราถูกหลอกใช้งานเข้าแล้ว” พอถึงตอนนี้เรื่องทุกอย่างคลี่คลายลง อัครเสนาบดีโจวถึงเข้าใจเรื่องที่แฝงอยู่อย่างชัดเจน
ฮองเฮาชะงักไปชั่วครู่ องครักษ์ด้านข้างฉวยโอกาสนี้คว้าตัวนางลากออกไปด้านนอก ฮองเฮาถูกองครักษ์ใช้แรงกดจนขยับร่างไม่ได้ ทว่าสายตาเคียดแค้นของนางกลับจับจ้องไปที่หรงเซวียนที่คุกเข่าอยู่ที่พื้น กรีดร้องเสียงสูงว่า “หรงเซวียน ข้าขอสาปแช่งเจ้า ขอแช่งให้เจ้ากับตระกูลหนานกงไม่ตายดี!”
เสียงของฮองเฮาค่อยๆ ห่างไกลออกไป แม้ว่าจะเดินไปไกลแล้วแต่กลับมีเสียงดังแว่วเข้ามาในพระตำหนักว่า “หรงเซวียน เจ้าไม่ตายดีแน่”
ทันใดนั้นหนานกงอี้ที่อยู่ข้างกายหนานกงเจวี๋ยก็ตัวสะท้านเฮือก ฉับพลันสายตาก็เต็มไปด้วยความสับสน
“ตอนนี้เจ้าพอใจหรือยัง พวกเจ้า…พอใจกันหรือยัง” แววตาของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์กวาดมองไปทางทุกคนแวบหนึ่ง สุดท้ายก็มาหยุดอยู่ที่ร่างของหรงเซวียน
หรงเซวียนกัดฟันแน่น เขารู้แก่ใจดีว่าด่านที่ยากที่สุดในวันนี้เพิ่งมาถึง หากเขาไม่ให้ความกระจ่างเป็นที่น่าพอใจแก่เสด็จพ่อ จุดจบของเขาก็คงดีกว่าหรงไหวไม่เท่าไรนัก
“ลูกมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ยกยิ้มเย็นชาที่มุมปาก “มิบังอาจ เราไม่เห็นว่าเป็นเช่นนั้นเลยสักนิด เอาเถอะ พวกเจ้าปีกกล้าขาแข็งกันแล้ว เราคงดูแลพวกเจ้าไม่ไหว ช่วงนี้เจ้าก็อยู่ในจวนอย่าเถลไถลไปไหนแล้วกัน ”
ครั้นจบประโยคนี้ก็ทำเอาหรงเซวียนผงะไปพลันสะดุ้งวาบในใจ ถึงแม้เสด็จพ่อจะจัดการหรงไหวกับโจวเหวินปินไปแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าคำพูดของพวกเขาสองคนยังตราตรึงอยู่ในใจของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อไม่เชื่อใจเขาเลยสักนิด
“ลูกน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ลุกขึ้นยืนแล้วจับมือของเจี่ยงปินประคองตัวค่อยๆ เดินออกไป ตรัสเสียงเรียบนิ่ง “พวกเจ้าก็แยกย้ายเถิด ส่วนจิ่นเอ๋อร์ตามเรามา”
หรงจิ่นที่หลบดูเรื่องสนุกๆ อยู่อีกฝั่งเลิกคิ้วแล้วมองไปทางมู่ชิงอีเป็นเชิงปลอบโยน จากนั้นหรงจิ่นก็เดินตามไปอย่างว่าง่าย
ร่างของเต๋อเฟยยังคงถูกวางอยู่ในพระตำหนักโดยที่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ไม่แม้แต่ตรัสสักประโยค เดิมทีกษัตริย์ก็เย็นชาอยู่แล้ว ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ยิ่งแล้วใหญ่ ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เดินจากไปอย่างไร้เยื่อใย ในฐานะที่หรงเซวียนเป็นบุตรชายเลยไปไหนไม่ได้ หลังจากฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ตรัสเช่นนั้นองค์ชายคนอื่นๆก็ทยอยกล่าวแสดงความเสียใจกับหรงเซวียนก่อนจะขอตัวออกพระตำหนักไป รอหลังจากนำร่างของเต๋อเฟยลงโลงแล้วค่อยพาเหล่าพระชายาและลูกๆ มากราบไหว้ก็พอแล้ว
มู่ชิงอียังต้องรอหรงจิ่นเลยไม่รีบไปไหน
“จวงอ๋อง ท่านแม่ทัพหนานกง ใต้เท้าหนานกง ขอแสดงความเสียใจด้วย” มู่ชิงอีที่กลับเป็นคนสุดท้ายก็เดินเข้ามาแสดงความเสียใจเช่นกัน
หรงเซวียนจ้องหนุ่มน้อยรูปงามหน้านิ่งแล้วพยักหน้า เอ่ยเสียงแหบพร่า “ขอบคุณใต้เท้ากู้ด้วย”
มู่ชิงอีถอนหายใจเสียงเบาโดยไม่มีอะไรจะพูดอีก จากนั้นก็ขอตัวกลับ พูดถึงหายนะที่หนานกงเสียนประสบในวันนี้ล้วนมีความเกี่ยวพันกับใครหลายคนอย่างหนีไม่พ้น ซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงนางและหรงจิ่นที่คอยชักใยทำให้เรื่องกลายเป็นเช่นนี้ด้วย แต่…แล้วอย่างไรเล่า หากคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์นี้ เข้ามาแล้วถอยไม่ได้ หากไม่ชนะก็ต้องตาย! หนานกงเสียนก็เป็นเพียงคนที่ต้องเสียสละในบรรดาคนมากมายก็เท่านั้น
หลังจากออกพระตำหนักเต๋อเฟยมา มู่ชิงอีก็เดินมุ่งหน้าไปทางพระตำหนักฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ตามความทรงจำที่นึกออก ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ต้องพาหรงจิ่นไปที่ห้องหนังสือของเขาแน่นอน ทว่าในสวนดอกไม้เล็กๆ ของพระตำหนักชิงเหอที่ไม่ไกลนักกลับเห็นใครคนหนึ่งที่รออยู่ตรงนั้นก่อนแล้ว…หรงจังนั่นเอง
หรงจังนั่งจิบชาด้วยสีหน้าแน่นิ่ง ครั้นเห็นมู่ชิงอีเดินมาช้าๆ ก็ทำเพียงหันไปพยักหน้าให้น้อยๆ แล้วกล่าว “กู้หลิวอวิ๋น?”
มู่ชิงอีเอ่ยด้วยท่าทีนอบน้อม “สวินอ๋อง”
“นั่งคุยกันก่อนเป็นอย่างไรเล่า” หรงจังกล่าว
“น้อมปฏิบัติตามพระประสงค์พ่ะย่ะค่ะ” มู่ชิงอีพยักหน้าเอ่ย
ภายในห้องหนังสือฝั่งตะวันออกของพระตำหนักชิงเหอ ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ขมวดคิ้วมองสีหน้าดื้อดึงของบุตรชายตรงหน้าพลางกุมขมับอย่างปวดศีรษะ ตรัสถาม “จิ่นเอ๋อร์คิดเห็นกับเรื่องวันนี้อย่างไรบ้าง”
หรงจิ่นหลุบตาลงเอ่ยเสียงเรียบ “มีเพียงเสด็จพ่อที่ตัดสินได้ ลูกจะพูดอะไรได้เล่า”