มู่ชิงอีพยักหน้า เอ่ยเสียงเบา “ไม่รู้ว่า…พรุ่งนี้จะเป็นเช่นไรบ้าง”
หรงจิ่นยิ้มบางกล่าว “ถึงวันพรุ่งนี้ก็รู้เองแหละ”
วันต่อมา…ก็มีข่าวสะพรึงมากมายแพร่สะพัดจนทำเอาคนในเมืองหลวงต่างตกใจปวดเศียรเวียนเกล้ากันไปตามๆ กัน มารดาของจวงอ๋องเต๋อเฟยสกุลหนานกงทรงสิ้นพระชนม์ ฮองเฮาสกุลโจวเป็นคนฆ่ากุ้ยเฟยเลยถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งแล้วส่งตัวไปอยู่ในตำหนักเย็น ส่วนคนในตระกูลโจวต่างถูกจับเข้าคุกยกตระกูล ป้ายชื่อจวนฉินอ๋องที่เด่นเป็นสง่าในวันวานก็ถูกเปลี่ยนเป็นจวนฟู่เอินโหว
อีกทั้งยังมีข่าวเล่าลือออกมาอีกว่าแม่ทัพใหญ่หนานกงเจวี๋ยป่วยหนักเพราะน้องสาวถูกฆ่าตาย จวงอ๋องหรงเซวียนถูกกักบริเวณอยู่ในจวน กระทั่งงานศพของแม่ตัวเองยังช่วยจัดแจงเองไม่ได้ จวนฉินอ๋องที่เคยมั่นคงก็เหมือนฝูงลิงที่แตกฮือ ครั้นจวงอ๋องขาดต้นไม้ใหญ่อย่างหนานกงเจวี๋ยกับหรงเซวียนไป เหลือหนานกงอี้เพียงลำพังจึงโดดเดี่ยวไม่ต่างกัน เพียงพริบตาเดียวความคิดของทุกคนก็ค่อยๆ เอนเอียงพุ่งเป้าไปที่องค์ชายอีกคนอย่าง…ตวนอ๋องหรงเหยี่ยนแทน
ดูทรงแล้วหลังจากองค์ชายคนโตตาย บัดนี้องค์ชายคนรองก็พูดยากเช่นกัน ในเมื่อถูกสงสัยว่าลอบสังหารองค์รัชทายาทเต้ากง ถึงแม้จะไม่มีหลักฐานแต่ยากจะรับประกันได้ว่าฮ่องเต้จะไม่ทรงคิดอะไร องค์ชายสามไม่เข้าราชสำนักมาหลายปี สุขภาพก็ไม่ค่อยดี จะว่าไปเวลานี้ก็ถึงคราวขององค์ชายสี่แล้ว หากว่ากันเรื่องความสามารถ ความสามารถของเหล่าองค์ชายเบื้องหน้าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ยังห่างชั้นอยู่มาก หากตัดองค์ชายสามที่ป่วยออดๆ แอดๆ ออก บัดนี้คนที่มีความสามารถมากที่สุดคงเป็นองค์ชายสี่ มิน่าคนมากมายถึงทยอยพากันเปลี่ยนไปหาเจ้านายคนใหม่
“ใต้เท้า” เช้าตรู่วันถัดมาพอมู่ชิงอีมาถึงศาลก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่แปลกไป หลังจากนั่งได้ไม่นานก็มีเรื่องโผล่มาจริงๆ
“เรียนใต้เท้า ด้านนอกมีคนมาร้องทุกข์ขอรับ”
มู่ชิงอีเลิกคิ้ว จากนั้นก็มองฉินฮุยที่แสดงท่าทีนอบน้อมพลางเอ่ย “เอาคำร้องทุกข์มาให้ข้าดูเถิด”
“ขอรับ” ฉินฮุยส่งคำร้องทุกข์ปึกหนึ่งให้ด้วยท่าทีเคารพเชื่อฟัง
ใช่แล้ว ไม่ใช่แค่ใบเดียวและไม่ใช่แค่สองใบ แต่เป็นกระดาษปึกหนาเป็นชั้น มีทั้งร้องทุกข์กล่าวว่าตระกูลหนานกงรังแกคนที่อ่อนแอกว่า ร้องทุกข์ว่าคนของจวนจวงอ๋องยึดที่นาคนอื่น รวมถึงกระทำชำเราสตรีซึ่งผิดกฎหมาย แถมยังมีเรื่องฟ้องร้องเล็กๆ น้อยๆ อย่างอื่นอีกมากมาย ดูเหมือนไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกัน แต่มู่ชิงอีกลับจำได้ว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นข้าหลวงของจวงอ๋องทั้งสิ้น รวมถึงเรื่องที่หนานกงอวี้ทำร้ายคนเมื่อหลายปีก่อนอีกต่างหาก
มู่ชิงอียิ้มเยาะเย็นชา ดั่งสำนวนที่ว่ากำแพงใกล้ล้มคนก็ยิ่งผลัก[1] บัดนี้กำแพงของจวนจวงอ๋องยังไม่ทันถล่มลงมาก็มีคนอดใจไม่ไหวอยากเหยียบซ้ำ ปรารถนาอยากใช้เพียงกำลังอันน้อยนิดผลักกำแพงนั้นให้ถล่มลงมาราบเป็นหน้ากลองจนตัวสั่นแล้ว
“ใต้เท้า เรื่องพวกนี้…ควรจะจัดการเช่นใดดีขอรับ” ฉินฮุยเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
มู่ชิงอีเลิกคิ้วเอ่ย “จัดการเช่นใดหรือ ย่อมต้องเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ใต้เท้าฉินไปเชิญตัวจำเลยมาที่ว่าการเฟิ่งเทียนเถิด แต่…อย่าลืมเตือนเล่า…ว่าถ้าทำให้ข้าเสียเวลาไม่เป็นไร แต่การใส่ความขุนนางใหญ่ของราชสำนัก…มีโทษประหารยกครัว! โปรดไตร่ตรองให้ดีก่อนด้วย”
ฉินฮุยสีหน้าเปลี่ยนแล้วเอ่ยด้วยท่าทีนอบน้อม “ขอรับ ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”
หลังจากไล่ฉินฮุยออกไป มู่ชิงอีก็ก้มหน้าอ่านคำร้องทุกข์ที่อยู่ตรงหน้า จากนั้นมุมปากก็เหยียดยิ้มเยาะ จู่ๆ ก็มีคนมาร้องทุกข์มากมาย อีกทั้งคนที่มาร้องทุกข์ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับจวงอ๋องทั้งสิ้น หากบอกว่าไม่มีใครบงการเกรงว่าคงไม่มีใครเชื่อ คำร้องทุกข์เหล่านี้ย่อมมีเรื่องจริงอยู่บ้าง แต่เกรงว่าคงมีเรื่องเท็จปนอยู่ด้วยไม่น้อยเช่นกัน น้ำใสเกินไปคงไม่มีปลาตัวใดอยู่ได้ จะมีองค์ชายคนใดไม่เคยแอบทำเรื่องไม่ดีบ้างเล่า
เพียงแต่ไม่รู้ว่าครั้งนี้เป็นฝีมือของหรงเหยี่ยนหรือหรงจัง กระทั่งโยนเรื่องมาให้ที่ว่าการเฟิ่งเทียนอีกต่างหาก เกรงว่าคงอยากบีบให้จวนอวี้อ๋องขีดเส้นแบ่งแยกกับจวนจวงอ๋องอย่างชัดเจนมากกว่ากระมัง
ปู้อวี้ถังนั่งมองสายตานิ่งขรึมของมู่ชิงอีอยู่อีกฝั่ง จากนั้นก็เลิกคิ้วยิ้มถาม “มีเรื่องอันใดทำให้ใต้เท้ากู้ลำบากใจเช่นนี้หรือ”
มู่ชิงอีส่ายศีรษะพลางยื่นคำร้องทุกข์ส่งให้ปู้อวี้ถังแล้วเอ่ย “ก็ไม่ได้ถือว่าลำบากใจอะไร ในเมื่อ…เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเรามากนัก เพียงแต่…หากเรากลายเป็นมีดที่ใครบางคนใช้ยืมฆ่าคน เราย่อมรู้สึกไม่สบายใจเป็นธรรมดา”
ปู้อวี้ถังหยิบมาอ่านสองแผ่นด้วยท่าทีแปลกใจก่อนจะกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่เอ่ย “คนพวกนี้ใจร้อนกันเสียจริง ฝ่าบาทเพิ่งทรงให้จวงอ๋องพักอยู่ในจวน ยังไม่ทันได้เตรียมทำอะไรเลยด้วยซ้ำ” มู่ชิงอียิ้มกล่าว “ก็เพราะว่าเป็นเช่นนี้ พวกเขาถึงร้อนใจขึ้นมาอย่างไรเล่า ฉวยโอกาสตอนที่พวกของจวงอ๋องแตกฮือ ขจัดตัวขุนนางคนสำคัญในมือของจวงอ๋องทิ้ง หลังจากนั้นต่อให้จวงอ๋องกลับมาสถานการณ์ดีขึ้น ฝ่าบาททรงคิดได้แล้วปล่อยตัวเขาไป สิ่งที่สูญเสียไปก็ไม่เหลือแล้ว”
“เช่นนั้นพวกเราจะทำเช่นใดดี” ปู้อวี้ถังเอ่ยถาม “หน้าที่ของที่ว่าการเฟิ่งเทียนก็คือจัดการเรื่องพวกนี้ หากคุณชายไม่จัดการเกรงว่าจะมีผลต่อคุณชาย อีกฝ่ายคงเล็งเห็นเรื่องนี้พอดีถึงได้โยนเรื่องนี้มาให้คุณชาย” ไม่ใช่แค่ต้องจัดการเท่านั้น แต่จำเป็นต้องจัดการให้เรียบร้อยด้วย มิเช่นนั้นเขาอาจต้องแบกรับความผิดที่ว่าไม่รู้ความ ไร้เดียงสา ไร้ความสามารถ ในเมื่อกู้หลิวอวิ๋นอายุยังน้อยมากจริงๆ
มู่ชิงอีพิงพนักเก้าอี้เงียบไปครู่หนึ่ง คลี่ยิ้มเอ่ย “ข้ากับตระกูลหนานกงก็ถือว่าสนิทกันอยู่บ้าง หากข้าจะเอาเรื่องงานมาใช้ประโยชน์ส่วนตัวสักคราก็คงเป็นเรื่องปกติกระมัง”
“คุณชายคิดจะ…” ปู้อวี้ถังดวงตาลุกวาวแล้วมองมู่ชิงอีด้วยท่าทีประหลาดใจ มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “บอกให้ท่านอ๋องส่งข่าวพวกนี้ไปบอกหนานกงอี้ ใช่แล้ว…อย่าลืมบอกเขาล่ะว่าหากมัวแต่เอาเวลาไปคิดหาวิธีทำลายหลักฐานหรือหาความจริง สู้เอาเวลามาคิดดีกว่าว่าใครที่ต้องการต่อกรกับจวนจวงอ๋องกันแน่”
ปู้อวี้ถังขบคิดครู่หนึ่งก็เข้าใจในทันที จากนั้นก็มองมู่ชิงอีอย่างอึ้งตะลึง “ข้าคิดไม่ถึงว่า…คุณชายก็กลัวว่าใต้หล้านี้จะสงบสุขเกินไปเช่นกัน”
มู่ชิงอีเอ่ยยิ้มบางเอ่ย “ในเมื่อพวกเขาคิดว่าข้าว่างมากนัก เห็นทีข้าคงต้องขยันทำงานหน่อยแล้ว จัดการเอาคดีเก่าๆ ในเมืองหลวงมาทำความเข้าใจเสีย ไปบอกข้าหลวงว่าทำตัวให้กระฉับกระเฉงหน่อย ตั้งแต่นี้ไป…ที่ว่าการเฟิ่งเทียนจะยุ่งมากแล้ว”
“ขอรับ” ปู้อวี้ถังลุกขึ้นแล้วกล่าวด้วยท่าทีนอบน้อม
ณ จวนตระกูลหนานกง
แม่ทัพใหญ่หนานกงที่ถูกเล่าลือกันว่าป่วยหนักและหนานกงอี้ต่างกำลังนั่งอยู่ในห้องหนังสือ พ่อลูกบุคลิกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงต่างทำสีหน้าเคร่งขรึมด้วยกันทั้งคู่
“ข้านำคำของคุณชายมาถ่ายทอดเรียบร้อยแล้ว ข้าขอตัวล่ะ” บุรุษสวมชุดสีเทาและหน้ากากมองหนานกงเจวี๋ยและหนานกงอี้ด้วยท่าทีสงบเอ่ยเสียงเรียบ อีกทั้งยังไม่คิดตกใจกับอารมณ์โมโหที่หนานกงเจวี๋ยระบายออกมาเลยสักนิด
หนานกงอี้สูดหายใจเข้าลึก พยักหน้ากล่าว “ลำบากสหายเซี่ยต้องแวะมาบอก รบกวนฝากบอกคุณชายด้วยว่าตระกูลหนานกงจะไม่มีวันลืมบุญคุณของเขาเลย”
เซี่ยซิวจู๋พยักหน้าเบาๆ หมุนตัวแล้วเดินออกจากห้องหนังสือไป
ภายในห้องหนังสือตกอยู่ในความเงียบพักใหญ่ สุดท้ายหนานกงเจวี๋ยก็ผ่อนลมหายใจยาวเอ่ย “ผ่านมาหลายปีแล้ว…มัวแต่ทำอะไรอยู่”
“ท่านพ่อ” หนานกงอี้เอ่ยเสียงขรึม “ท่านพ่อ ตอนนี้เราจะยอมแพ้ไม่ได้เด็ดขาด หากพวกเรา… เช่นนั้นจวงอ๋องจะทำเช่นใดต่อไปเล่า ในเมื่อท่านอาหญิงก็ไม่อยู่แล้ว”
หนานกงเจวี๋ยโบกมือเอ่ยเสียงเรียบ “กู้หลิวอวิ๋นก็ไม่ธรรมดา คนรอบกาย…เจ้าคิดว่าอวี้อ๋องจะยืนข้างเราจริงๆ หรือ”
หนานกงอี้ตกใจ เอ่ยว่า “ท่านพ่อหมายความว่าอย่างไร ถึงแม้อวี้อ๋องจะไม่ได้อยู่ข้างเรา แต่อย่างน้อย…ตอนนี้เขาก็ไม่ได้เป็นศัตรูกับเรา ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ…ตวนอ๋อง!” พอพูดถึงชื่อตวนอ๋อง หนานกงอี้ก็แอบขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน หรงจังกับหรงเหยี่ยนรวมหัวกันทำร้ายหรงไหว คิดไม่ถึงว่าหัวเรืออย่างหรงเซวียนจะโดนลูกหลง ทว่าหรงเหยี่ยนกลับได้ผลประโยชน์ไป ยามคับขันเช่นนี้ยังแอบแทงซ้ำอีก พวกเขาทั้งสองต่างล้มไม่เป็นท่า แต่เขากลับชุบมือเปิบเอาผลประโยชน์ไปแท้ๆ!
[1]กำแพงใกล้ล้มคนก็ยิ่งผลัก สำนวนนี้แปลว่าพอตกอยู่ในช่วงตกต่ำ คนอื่นๆ ก็ยิ่งเหยียบซ้ำ