“อย่างนี้นี่เอง…พี่สี่จงใจโยนคดีพวกนั้นไปให้ที่ว่าการเฟิ่งเทียน แต่ไม่ได้ให้คนโพล่งกล่าวหาโต้งๆ ในราชสำนักก็เพื่อเขาอย่างนั้นหรือ” หรงซิงเอ่ยถาม
หรงเหยี่ยนเอ่ยเสียงเรียบ “จะบอกว่าเพื่อเขาก็คงไม่ได้ แต่เป็นเพราะความบังเอิญต่างหาก…ช่วงนี้จวนอวี้อ๋องกับจวนจวงอ๋องสนิทกันเกินไป หากน้องเก้าขอร้องเสด็จพ่อเพื่อช่วยพี่รองล่ะก็ เป็นไปได้ที่พวกเราคงเสียแรงเปล่ามากกว่า”
“พี่สี่ช่างปรีชายิ่งนัก!” หรงซิงอดพูดชมขึ้นมาไม่ได้
“ทูลท่านอ๋อง เกิดเรื่องใหญ่แล้วพ่ะย่ะค่ะ!” ผู้ดูแลคนสำคัญที่อยู่ด้านนอกห้องหนังสือรีบวิ่งเข้ามารายงาน คิ้วทรงดาบของหรงเหยี่ยนขมวดมุ่น “เข้ามาคุยด้านใน เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
ผู้ดูแลหายใจหอบถี่แล้วเอ่ยด้วยเสียงร้อนใจว่า “เมื่อครู่…จู่ๆ ที่ว่าการเฟิ่งเทียนก็มาเอาตัวท่านผู้เฒ่ากับนายท่านคนอื่นๆไป ท่านเจ้ากรมซุน ใต้เท้าจ้าว ใต้เท้าเฉิน รวมถึงฮูหยินของตระกูลพระชายาซื่อจื่อก็ถูกจับกุมตัวไปที่ว่าการเฟิ่งเทียนแล้วพ่ะย่ะค่ะ! แล้วก็…แล้วก็…”
“แล้วก็อะไรเล่า พูดจาอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่ได้!” หรงซิงเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
ผู้ดูแลมองหรงซิงแวบหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “แล้วก็…พี่ชายของพระชายาองค์ชายสิบกับน้าขององค์ชายห้าก็ถูกเรียกตัวไปเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
“อะไรนะ กู้หลิวอวิ๋นบ้าไปแล้วหรืออย่างไรกัน!” หรงซิงสีหน้าเปลี่ยนยกใหญ่แล้วตวาดขึ้นด้วยความโมโห
ผู้ดูแลเอ่ยเสียงเบา “คนของที่ว่าการเฟิ่งเทียนบอกว่า…ใต้เท้ากู้ได้รับคำร้องเรียนเลยต้องเรียกเหล่าใต้เท้าคนอื่นๆ ไปเขียนสำนวนคดี แต่…ตระกูลของพระชายากับตระกูลพระชายาขององค์ชายสิบเป็นเครือญาติกับเชื้อพระวงศ์ ตามหลักแล้วใต้เท้ากู้ไม่มีสิทธิ์สอบปากคำพวกเขา ดังนั้นใต้เท้ากู้…เลยเข้าวังเอาคดีพวกนี้ไปถวายให้ฝ่าบาทจัดการพ่ะย่ะค่ะ”
“สารเลว!” หรงซิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ยกเท้าเตะจนเก้าอี้ตรงหน้าล้ม “กู้หลิวอวิ๋นตัวดี ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วกระมัง!”
“น้องสิบ อย่าเพิ่งร้อนใจไป” หรงเหยี่ยนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือสีหน้าเรียบนิ่งดั่งวารีและแสดงท่าทีสุขุมมากกว่าหรงซิง เขาใช้มือกุมหน้าผากพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยเสียงขรึม “ดูท่าทางจะเป็นการตอบโต้ของพี่รอง เพียงแต่…เร็วขนาดนี้เชียว พี่รองเตรียมแผนสำรองไว้แล้วหรือ”
“ไม่ เป็นไปไม่ได้ พวกเราจัดการอย่างลับๆ แล้วพี่รองจะมีแผนตอบโต้กลับได้เช่นไร หากมีเวลาและความสามารถเช่นนี้ เขาไม่มีทางตกที่นั่งลำบากอย่างในตอนนี้ได้หรอก นอกเสียจาก…จะมีคนคาบข่าวไปบอกเขา” หรงเหยี่ยนส่ายศีรษะแล้วผลักข้อสรุปก่อนหน้านี้ทิ้งไป
หรงซิงสะดุ้งวาบ จับจ้องเขาแล้วกล่าว “พี่สี่ ท่านสงสัยข้าอย่างนั้นหรือ” นอกจากเขาแล้ว แม้แต่สหายคนสำคัญของพี่สี่ทั้งห้าคนและพี่เจ็ดก็ไม่มีใครรู้แผนการของพี่สี่สักคน
หรงเหยี่ยนส่ายศีรษะกล่าว “ข้าไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้น” เขารู้ว่าไม่ใช่หรงซิง ดังนั้นเขาถึงยิ่งเป็นกังวล เพราะบ่งบอกว่าในเมืองหลวงมีอิทธิพลบางอย่างที่พวกเขาไม่เคยรู้ แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าอิทธิพลนี้ไม่ได้เอนเอียงมาทางพวกเขา หรงเหยี่ยนขบคิดอยู่นานถึงเอ่ยเสียงขรึมว่า “กู้หลิวอวิ๋น”
หรงซิงขมวดคิ้วเอ่ย “พี่สี่ ท่านหมายความว่ากู้หลิวอวิ๋นเป็นคนคาบข่าวเรื่องนี้ไปบอกพี่รองอย่างนั้นหรือ เขาช่างใจกล้านัก เป็นแค่ผู้ว่าการเฟิ่งเทียนแต่กล้าสมรู้ร่วมคิดกับองค์ชาย!”
หรงเหยี่ยนยิ้มเย็นชากล่าว “ต่อให้พวกเราสงสัยเขา แต่ใครจะหาหลักฐานได้ ยิ่งไปกว่านั้น…คนที่พวกเราร้องเรียน เขาก็จับกุมตัวไม่เหลือเลยสักคน ต่อให้เอาเรื่องนี้ไปกราบทูลฝ่าบาทก็ไม่ถือว่าเอาเรื่องงานไปปะปนกับเรื่องส่วนตัวเลย” เพียงแต่ในขณะที่กู้หลิวอวิ๋นจัดการคนของหรงเซวียน เขาเองก็จัดการคนของจวนตวนอ๋องไปด้วยเช่นกัน จากเดิมทีตกอยู่ในสถานการณ์เป็นต่อ ทว่ากลับกลับมามีอำนาจเท่าเทียมกันดั่งเดิม ใครก็ทำอะไรใครไม่ได้
กู้หลิวอวิ๋นตัวแสบ!
“พี่สี่ ตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไรต่อไปดี” หรงซิงเอ่ยอย่างร้อนใจ
หรงเหยี่ยนเอ่ยเสียงขรึมด้วยท่าทีแน่นิ่ง “น้องสิบ เจ้าพาคนไปดูที่ว่าการเฟิ่งเทียนที จำไว้ว่าอย่าบุ่มบามทำอะไรกู้หลิวอวิ๋นเด็ดขาด เพียงแค่ต้อง…ปลอบใจคนของเราให้ดี”
ตวนอ๋องกับจวงอ๋องนั้นต่างกัน หรงเซวียนมีตระกูลหนานกงหนุนหลัง หากหนานกงเจวี๋ยยังไม่ตาย ต่อให้จบสิ้นก็ยังไม่น่าเวทนาเท่าไร อีกทั้งขุนนางของจวงอ๋องที่มีอำนาจเหล่านั้นต่างมีมิตรภาพหรือความสัมพันธ์ที่ดีด้วยไม่มากก็น้อย พร้อมร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกันและสามัคคีกันมากทีเดียว แต่มารดาของหรงเหยี่ยนกลับผูกมิตรแค่กับคนธรรมดาๆ ตอนแรกตระกูลใหญ่ๆ ดูแคลนหรงเหยี่ยนมาก หากรอกระทั่งอิทธิพลของหรงเหยี่ยนกว้างขวาง ต่อให้จะมีพวกตระกูลใหญ่ๆ คอยหนุนหลัง แต่ขุนนางธรรมดาๆ ของหรงเหยี่ยนก็คงปีกกล้าขาแข็งกันไปหมดแล้ว ดั่งการช่วงชิงของขุนนางเก่าและใหม่ของคนใต้บังคับบัญชาของหรงไหว คนใต้บังคับบัญชาของหรงเหยี่ยนก็มีการแก่งแย่งชิงดีของตระกูลธรรมดากับตระกูลผู้ดีเช่นกัน ซึ่งไม่ได้มั่นคงไปกว่าที่หรงเซวียนอาศัยการผูกมิตรกับขุนนางของตระกูลหนานกงและพระชายาจวงอ๋องเลย ดั่งที่กล่าวไว้ว่าวีรบุรุษจะไม่ถามถึงภูมิหลัง แต่บางครั้ง…การมาจากตระกูลที่ไม่ดีก็ยากจะเป็นวีรบุรุษได้เช่นกัน
“พ่ะย่ะค่ะ” หรงซิงพยักหน้าด้วยท่าทีหนักแน่น หรงเหยี่ยนเงียบไปพักหนึ่ง ฉับพลันสีหน้าก็เป็นประกายแวบหนึ่งเอ่ยเสียงเข้ม “บอกมู่หรงอวี้ว่าอย่าทำให้ข้าผิดหวัง”
“พ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นน้องขอตัวลา” หรงซิงเอ่ย
จากนั้นในห้องหนังสือก็เหลือเพียงหรงเหยี่ยนเพียงคนเดียว ห้องหนังสือที่เงียบสงบในเดิมทีก็ยิ่งวังเวงเข้าไปใหญ่ ผ่านไปนานหรงเหยี่ยนถึงหัวเราะออกมา “น้องเก้า…เจ้าช่างสายตาหลักแหลมนัก กู้หลิวอวิ๋น...ฝีมือไม่ธรรมดาจริงๆ! แต่อย่าลืมสิว่าเชื้อพระวงศ์ของแคว้นเย่ว์ไม่ได้ไร้ประโยชน์อย่างแคว้นหวาเสียหน่อย!”
“องค์ชายสิบเสด็จ!”
ณ ที่ว่าการเฟิ่งเทียน ฉินฮุยพาเหล่าขุนนางออกมาต้อนรับ “กระหม่อมคารวะองค์ชายสิบพ่ะย่ะค่ะ!”
หรงซิงมองคนที่คุกเข่าบนพื้นด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นก็กวาดตามองทั่วทั้งโถงใหญ่แวบหนึ่งเลิกคิ้วเอ่ย “ข้ามาเยือนทั้งที เหตุใดผู้ว่าการเฟิ่งเทียนถึงไม่ออกมาต้อนรับ เขาไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาหรืออย่างไร”
ฉินฮุยรีบกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านอ๋องพูดเกินไปแล้ว ใต้เท้า…ใต้เท้ากู้ไม่อยู่หรอกพ่ะย่ะค่ะ”
หรงซิงย่อมรู้อยู่แล้วว่ากู้หลิวอวิ๋นไม่อยู่ สีหน้าเลยไม่แสดงท่าทีใดๆ เพียงกล่าวว่า “เวลานี้เป็นเวลาทำงาน หากผู้ว่าการไม่อยู่จวนที่ว่าการแล้วจะไปที่ใดได้เล่า หรือว่า…คนอายุน้อยมากความสามารถอย่างใต้เท้ากู้จะละเลยในหน้าที่เป็นด้วยหรือ”
ฉินฮุยเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ทูลองค์ชายสิบ ใต้เท้ากู้เข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท เชิญองค์ชายสิบเข้าไปนั่งดื่มชาด้านในโถงก่อน อีกประเดี๋ยวใต้เท้ากู้ก็กลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หรงซิงเอ่ยยิ้มเยาะ “เจ้าคิดว่าข้าว่างมากเลยมาเดินเล่นที่นี่อย่างนั้นหรือ”
“เช่นนั้น…ไม่ทราบว่าท่านอ๋อง…มีสิ่งใดจะรับสั่งหรือพ่ะย่ะค่ะ” ฉินฮุยลังเลใจครู่หนึ่ง จากนั้นก็มองปู้อวี้ถังที่ก้มหน้าอยู่ด้านหลังไม่พูดอะไรแวบหนึ่ง หรงซิงย่อมเห็นสายตาของเขาจึงมุ่นคิ้วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้าพูดกับข้าอยู่แต่หันไปมองด้านหลังทำไมกัน หรือจะแอบส่งสัญญาณอะไร เจ้า…ข้าเห็นเจ้าไม่ได้เป็นขุนนางหรือมีตำแหน่งใด เจ้าเป็นใครกันแน่”
ปู้อวี้ถังรู้แก่ใจดีว่าองค์ชายผู้นี้มาเพื่อหาเรื่อง เขาจึงเดินขึ้นมาด้านหน้าเอ่ยด้วยท่าทีนอบน้อม “กระหม่อมปู้อวี้ถังขอคารวะองค์ชายสิบพ่ะย่ะค่ะ”
“ปู้อวี้ถังหรือ” หรงซิงเลิกคิ้วยิ้มกล่าว “อ๋อ จำได้ล่ะ อดีตผู้ว่าการเมืองเผิงนี่เอง ตอนนั้นพี่สี่เคยช่วยขอไว้ชีวิตแทนเจ้า แล้วเจ้ามาทำอะไรอยู่ที่นี่” ปู้อวี้ถังก้มหน้าเอ่ย “กระหม่อมมาเป็นที่ปรึกษาตัวเล็กๆ ให้ใต้เท้ากู้ให้พอมีกินก็เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
หรงซิงยิ้มเย้ย “เป็นถึงผู้ว่าราชการที่มาจากการสอบจอหงวน แต่กลับมีชีวิตเช่นนี้น่ะหรือ”
ปู้อวี้ถังกลับไม่แสดงท่าทีใดๆ เพียงแค่ก้มหน้าเอ่ยด้วยท่าทีเคารพ “แค่มีชีวิตรอดมาได้ก็นับว่าเป็นบุญของอวี้ถังแล้ว”