หรงซิงเล่นแหวนในมือพลางมองทุกคนจากมุมสูงด้วยท่าทีสูงส่งแล้วเอ่ย “ข้าไม่มัวมาเสียน้ำลายกับพวกเจ้าหรอก ได้ยินว่าที่ว่าการเฟิ่งเทียนของพวกเจ้าจับกุมตัวท่านเจ้ากรมซุนกับใต้เท้าจ้าวมาหรือ พวกเจ้าเหิมเกริมนัก! ท่านเจ้ากรมซุนเป็นถึงขุนนางชั้นสูงระดับหนึ่ง เป็นคนที่ว่าการเฟิ่งเทียนอย่างพวกเจ้าจะแตะต้องได้หรือ”
ฉินฮุยหน้าซีดเผือด ผ่านไปนานก็ยังกล้าๆ กลัวๆ พูดอะไรไม่ออก ปู้อวี้ถังรู้แต่แรกแล้วว่าฉินฮุยใช้การไม่ได้ ดังนั้นถึงได้ตามออกมาเจอหรงซิงด้วย เขาก้าวเท้าขึ้นไปข้างหน้าประสานมือเอ่ย “องค์ชายสิบทรงตรัสเกินไปแล้ว เขาว่ากันว่าหากฮ่องเต้ทำผิดยังมีโทษเฉกเช่นเดียวกับราษฎร แล้วนับประสาอะไรกับท่านเจ้ากรมคนหนึ่งเล่า ยิ่งไปกว่านั้น…ที่ว่าการของเราก็ไม่ได้จับกุมตัวใต้เท้าซุนกับใต้เท้าคนอื่นๆ มา เพียงแค่ขอความร่วมมือให้การสอบปากคำก็เท่านั้น เรื่องนี้เป็นไปตามกระบวนการของที่ว่าการเฟิ่งเทียนปกติ แล้วมีความผิดที่ใดหรือ”
“เป็นไปตามกระบวนการปกติ?!” หรงซิ่งตวาดขึ้น “ใต้เท้าซุนกับใต้เท้าคนอื่นๆ เป็นขุนนางคนสำคัญของบ้านเมืองทั้งสิ้น หากทำให้เรื่องของบ้านเมืองล่าช้า ที่ว่าการเฟิ่งเทียนของพวกเจ้าจะรับผิดชอบไหวหรือ” ปู้อวี้ถังเอ่ยอย่างจำยอม “เพราะรับผิดชอบไม่ไหว ใต้เท้ากู้ถึงไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทอย่างไรเล่า ฝ่าบาทย่อมทรงมีพระบัญชาลงมาเอง ฝ่าบาทรับสั่งให้สิทธิ์ที่ว่าการเฟิ่งเทียนเข้าวังเข้าเฝ้าได้ทุกเมื่อก็ไม่ใช่เพราะเหตุนี้หรอกหรือ”
หรงซินเจอคำพูดที่ไม่เชิงแข็งกร้าวและไม่เชิงอ่อนข้อให้ของเขาจนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ กระทั่งกัดฟันเอ่ย “ปากคอเราะร้ายเหมือนกู้หลิวอวิ๋นไม่มีผิด เพียงแต่น่าเสียดาย…เกรงว่าแค่ที่ปรึกษาตัวเล็กๆ อย่างเจ้าจะไม่มีสิทธิ์พูดเช่นนี้กับข้าได้! รองผู้ว่าการเฟิ่งเทียน รีบปล่อยคนเดี๋ยวนี้!”
ฉินฮุยแสดงท่าทีตื่นตกใจแล้วพยักหน้าหงึกหงัก “พ่ะ…พ่ะย่ะค่ะ เร็ว รีบเชิญใต้เท้าซุนกับใต้เท้าจ้าวออกมาเร็ว!”
“ใครบังอาจ!” ปู้อวี้ถังเอ่ยขัดเสียงสูง
เหล่าข้าหลวงและขุนนางในนั้นต่างตัดสินใจกันไม่ถูก ท่านอ๋องย่อมเป็นคนที่พวกเขาล่วงเกินไม่ได้อยู่แล้ว แต่หากเทียบกับฉินฮุยแล้วเห็นได้ชัดว่าปู้อวี้ถังเป็นคนที่ใต้เท้ากู้ไว้วางใจและให้ความสำคัญมากกว่า พวกเขาล่วงเกินองค์ชายสิบไม่ได้ แต่พวกเขาก็ล่วงเกินใต้เท้ากู้ไม่ได้เช่นกัน ถึงอย่างไรรองผู้ว่าการก็สู้ผู้ว่าการไม่ได้
“ยังไม่รีบไปอีก” ครั้นเห็นคนธรรมดาๆ คนหนึ่งน่าเกรงขามมากกว่ารองผู้ว่าการอย่างฉินฮุย หรงซิงก็หรี่ตาเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
“นี่…”
“องค์ชายสิบ เกรงว่าคนที่ทางเราต้องสอบปากคำ ท่านอ๋องคงไม่มีสิทธิ์เอาตัวไปได้” ปู้อวี้ถังเอ่ยเสียงแข็งกร้าวไม่อ่อนข้อให้เลยสักนิด หรงซิงสีหน้าขรึมลง เขารู้ดีว่าเขาไม่มีสิทธิ์เอาตัวคนในที่ว่าการเฟิ่งเทียนไป แต่หากวันนี้ฉินฮุยส่งตัวคนเหล่านั้นให้เขา เขาย่อมมีวิธีลบล้างความผิดครั้งนี้ได้ สุดท้ายค่อยโยนข้อหาละเลยหน้าที่ให้กู้หลิวอวิ๋น แต่คิดไม่ถึงว่าจะต้องมาเจอคนไม่รู้กาลเทศะอย่างปู้อวี้ถังเข้า
หรงซิงยิ้มเย็นชากล่าว “สามหาว! ประชาชนคนธรรมดาตัวเล็กๆ อย่างเจ้าบังอาจยื่นมือมาแทรกแซงเรื่องในที่ว่าการเฟิ่งเทียน ใครให้ความกล้านี้กับเจ้ากัน ใครก็ได้มานี่ ไปลากตัวปู้อวี้ถังมาให้ข้าแล้วโบยสามสิบที โทษฐานที่ไม่ให้ความเคารพแก่ข้า”
องครักษ์ที่ติดตามหรงซิงมาต่างรับคำก่อนก้าวเข้าไปจับกุมตัวปู้อวี้ถังไว้ ฉินฮุยรีบกล่าวโน้มน้าวด้วยท่าทีตกอกตกใจ “องค์ชายสิบ องค์ชายสิบอย่าทรงกริ้วไป” ปู้อวี้ถังรู้ว่าวันนี้คงยากจะรอดพ้นวิบากกรรมนี้ไปได้จึงกัดฟันเอ่ยเสียงเย็นชา “องค์ชายสิบก็แค่อยากใช้อำนาจข่มคนเช่นนั้นหรือ กระหม่อมยังยืนยันคำเดิม หากฮ่องเต้ทำผิดก็ต้องได้รับโทษเหมือนราษฎร ใต้เท้ากู้เข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้ว ควรทำเช่นใดพระองค์ทรงไตร่ตรองเอาเองเถิด!”
“สามหาวนัก!” หรงซิงตบโต๊ะตรงหน้าอย่างแรง เอ่ยเสียงเย็นชา “ข้าอยากเห็นนักว่าที่ว่าการเฟิ่งเทียนของพวกเจ้าจะมีความยุติธรรมมากเพียงใด แม้กระทั่งข้าเจ้าก็กล้าพูดว่ามีโทษเฉกเช่นประชาชน?”
“กล้าหรือไม่…องค์ชายสิบก็ลองดูเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เสียงใสกังวานหนึ่งดังขึ้นจากด้านนอก ครั้นได้ยินเช่นนั้นฉินฮุยก็สีหน้าเปลี่ยน ส่วนปู้อวี้ถังกลับเผยสีหน้าดีอกดีใจ
ทุกคนต่างหันหน้ามาอย่างพร้อมเพรียง จากนั้นก็เห็นมู่ชิงอีที่สวมชุดคลุมยาวสีขาวยืนอยู่ตรงหน้าประตูพร้อมสีหน้าราบเรียบ ซึ่งชุดสีขาวทั้งร่างขับให้เหมือนดั่งเกล็ดหิมะเย็นยะเยือก ใบหน้าหล่อเหลาอ่อนโยนที่มักแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มในยามปกติกลับเย็นเฉียบดั่งหิมะ ดวงตาเย็นชากวาดมองร่างทุกคนจนชวนให้สะท้านเฮือกราวกับร่างอยู่กลางหิมะเย็นยะเยือกก็มิปาน
ส่วนข้างกายของมู่ชิงอีก็มีเซี่ยซิวจู๋ที่สวมหน้ากากยืนอยู่ด้วย
มู่ชิงอีถอดชุดคลุมสีขาวบนร่างออกแล้วมอบให้เซี่ยซิวจู๋จนเผยให้เห็นชุดเครื่องแบบสีแดงด้านใน จากนั้นก็ย่างกรายเดินเข้ามาในโถงใหญ่
ครั้นเห็นหนุ่มน้อยชุดแดงเดินเข้ามาอย่างช้าๆ หรงซิงก็อดตกตะลึงไม่ได้ เขาเจอกู้หลิวอวิ๋นมานับครั้งไม่ถ้วน แต่หรงซิงกลับไม่เคยสังเกตเห็นเลยว่าบุรุษที่คนต่างเล่าลือว่ารูปงามเป็นอันดับหนึ่งในเมืองหลวงผู้นี้จะงดงามสะกดตาเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะสายตาเย็นชาคู่นั้นแฝงความดุดันไว้ หรงซิงคงอดคิดไม่ได้ว่าคนตรงหน้าผู้นี้เป็นสาวงามคนหนึ่ง
เมื่อเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหรงซิง มู่ชิงอีก็ประสานมือเอ่ยเสียงเรียบ “กระหม่อมกู้หลิวอวิ๋นขอคารวะองค์ชายสิบ ไม่ทราบว่าองค์ชายสิบเสด็จมาถึงที่นี่ด้วยเรื่องอันใดหรือ”
พอหรงซิงได้สติก็แค่นเสียงเบาแล้วเบือนหน้าหนี เขาเป็นถึงองค์ชายแห่งแคว้นเย่ว์ ทว่ากลับยืนมองบุรุษคนหนึ่งตาค้าง เพราะเหตุนี้ถึงทำให้เขาแอบรู้สึกหงุดหงิดใจขึ้นมาโดยไร้ต้นสายปลายเหตุ ทว่าครั้นเลื่อนตามามองมู่ชิงอี หรงซิงก็สงบอารมณ์ลงได้ เมื่อนึกถึงเรื่องที่พี่สี่มอบหมายให้แล้วก็เอ่ยถามเสียงขรึมว่า “ใต้เท้ากู้ คุยกันเป็นการส่วนตัวได้หรือไม่”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วงามเล็กน้อยโดยไม่ได้ตอบกลับเขาแต่อย่างใด ทว่าหมุนตัวหันไปมองปู้อวี้ถังที่ถูกองครักษ์ของหรงซิงคุมตัวไว้แล้วเอ่ยว่า “อวี้ถังล่วงเกินอะไรองค์ชายสิบหรือ องค์ชายสิบโปรดอภัยโทษให้ด้วยเถิด”
หรงซิงขมวดคิ้ว เอ่ยอย่างไม่ชอบใจว่า “ปู้อวี้ถังเป็นแค่คนธรรมดาแต่บังอาจเสียมารยาทกับข้า ข้าแค่โบยเขาไม่กี่ทีผิดมากนักหรือ” มู่ชิงอียิ้มกล่าว “หากเป็นแต่ก่อนคงไม่เป็นไร แต่ตอนนี้เห็นทีคงไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
หรงซิงรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี มุ่นคิ้วเอ่ย “ทำไมเล่า”
มู่ชิงอีล้วงหยิบสาสน์สีเหลืองที่อยู่ในแขนเสื้อออกมาด้วยท่าทีสงบ เอ่ยเสียงเรียบ “เพราะที่ว่าการเฟิ่งเทียนมีภารกิจมากมาย ฝ่าบาทเลยทรงเมตตาแต่งตั้งให้ปู้อวี้ถังขึ้นเป็นผู้ช่วยของรองผู้ว่าการ ขุนนางระดับห้าพ่ะย่ะค่ะ” ในฐานะองค์ชาย นอกจากจะมีความใจกล้าและเป็นที่โปรดปรานอย่างหรงจิ่นแล้ว การโบยขุนนางที่มีลำดับชั้นกลับเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเอามาพูดได้
หรงซิงชะงักไป “เหลวไหล! ที่ว่าการเฟิ่งเทียนก็มีรองผู้ว่าการอยู่แล้ว!” รองผู้ว่าการมีหน้าที่คอยเป็นแรงเสริมและเป็นผู้ช่วยของผู้ว่าการ ถึงแม้ตำแหน่งรองผู้ว่าการอย่างฉินฮุยจะอยู่มานานหลายปีกระทั่งเปลี่ยนตัวผู้ว่าการมาหลายครั้งโดยไม่ต้องแต่งตั้งใครมาเพิ่ม ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาที่ว่าการเฟิ่งเทียนก็มีรองผู้ว่าการแค่คนเดียว
มู่ชิงอียิ้มเย็นชาเอ่ย “องค์ชายสิบทรงฟังผิดแล้ว เป็นผู้ช่วยของรองผู้ว่าการอีกทีพ่ะย่ะค่ะ” รองผู้ว่าการถือว่าเป็นผู้ช่วยของผู้ว่าการ ส่วนผู้ช่วยของรองผู้ว่าการก็เป็นผู้ช่วยและแรงเสริมอีกที หากผู้ว่าการให้ความสำคัญกับผู้ช่วยของรองผู้ว่าการมากกว่าก็ใช่ว่าวันหน้าจะเลื่อนตำแหน่งไม่ได้
“ในแคว้นเย่ว์ไม่มีตำแหน่งนี้!” หรงซิงกัดฟันกล่าว มู่ชิงอียิ้มบางกล่าว “ตอนนี้มีแล้ว ปู้อวี้ถังยังไม่น้อมรับพระราชโองการอีกหรือ!”
ครั้นปู้อวี้ถังได้สติก็รีบคุกเข่าน้อมรับพระราชโองการ “กระหม่อมอวี้ถัง ซาบซึ้งในพระกรุณาธิคุณยิ่งนัก” ตอนนั้นเขาคิดไม่ผิดเลยจริงๆ ที่เลือกเข้าพวกกับอวี้อ๋องและคุณชายกู้ ใครจะโชคดีรอดจากเคราะห์ร้ายหลังจากเจอเรื่องแย่ๆ อย่างองค์ชายถูกฆ่าตายมาได้แล้วกลับมารับราชการใหม่อีกครั้งได้ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือนอย่างเขาอีกบ้าง ถึงแม้จะเป็นแค่ขุนนางระดับห้า แต่ก็นับว่าไม่เลวแล้วมิใช่หรือ
พอวางสาสน์ราชโองการลงบนมือของปู้อวี้ถัง มู่ชิงอีก็ยื่นมือดึงตัวปู้อวี้ถังขึ้นมาเอ่ยยิ้มๆ “ลำบากท่านแล้ว”
ปู้อวี้ถังรีบกล่าวว่ามิบังอาจ ส่วนหรงซิงที่ถูกเมินอยู่อีกฝั่งก็เผยสีหน้าขรึมลงราวกับหมึกดำก็มิปาน กัดฟันเอ่ย “ใต้เท้ากู้!”