มู่ชิงอีหันหน้ากลับไปเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หืม องค์ชายสิบยังมีสิ่งใดอยากพูดอีกหรือ”
หรงซิงอดกลั้นความโกรธไว้แล้วเอ่ยกับมู่ชิงอีว่า “ข้าพูดว่าคุยกันเป็นการส่วนตัวได้หรือไม่”
มู่ชิงอีโบกมืออย่างไม่ใส่ใจสื่อว่าให้คนอื่นๆ ออกไป เพียงแต่เซี่ยซิวจู๋ไม่ได้เดินตามออกไปด้วย ทว่าเขากลับยืนอยู่ตรงตำแหน่งองครักษ์ด้านหลังมู่ชิงอีอย่างเงียบเชียบ หรงซิงเอ่ยด้วยความโมโห “ใต้เท้ากู้ทำเช่นนี้หมายความว่าเช่นไร คิดว่าข้าจะทำอะไรเจ้าอย่างนั้นหรือ”
มู่ชิงอีไม่ตอบกลับแต่อย่างใด แต่เซี่ยซิวจู๋ที่อยู่ด้านหลังเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “อวี้อ๋องกำชับไว้ว่าใต้เท้ากู้มาจากตระกูลปัญญาชนจึงไม่เก่งเรื่องวิทยายุทธ์ กระหม่อมมิอาจออกห่างใต้เท้ากู้โดยพลการได้ องค์ชายสิบโปรดอภัยให้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าเป็นใครกัน กลางวันแสกๆ เช่นนี้ยังใส่หน้ากากอยู่อีก ทำตัวลับๆ ล่อๆ!” หรงซิงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ เวลานี้เขานึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างหรงจิ่นกับกู้หลิวอวิ๋นขึ้นมาได้แล้ว ในเมื่อเป็นองครักษ์ที่หรงจิ่นส่งตัวมา เช่นนั้นเขาก็คงจนปัญญาจะพูดอะไรได้
มู่ชิงอีนั่งลงตรงที่นั่งถัดลงมาด้านล่างของหรงซิงก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “สู้องค์ชายพูดมาดีกว่าว่าองค์ชายเสด็จมาถึงที่ว่าการเฟิ่งเทียนด้วยเรื่องอันใด”
หรงซิงแค่นเสียงเย้ยก่อนเอ่ย “ข้ามาด้วยเรื่องใดใต้เท้ากู้จะไม่รู้เลยหรือ” มู่ชิงอีคลี่ยิ้มอ่อนโยน “กระหม่อมรอฟังอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
พอหรงซิงมาปะทะกับคนที่ดูอ่อนโยนแต่ข่มไม่ได้เช่นนี้ ไฟโทสะก็ยิ่งปะทุขึ้น แค่นเสียงเบาเอ่ย “ใต้เท้ากู้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ถึงขั้นสามารถเชิญตัวขุนนางใหญ่ๆ ในราชสำนักมาที่ว่าการเฟิ่งเทียนได้ในครั้งเดียว เกรงว่านับแต่นี้ไปใต้เท้ากู้คงโด่งดังไปทั่วใต้หล้าแล้วกระมัง” มู่ชิงอียิ้มด้วยท่าทีสงบ “ท่านอ๋องก็พูดเกินไป ได้รับใบร้องทุกข์มากมายตั้งแต่เช้าตรู่เช่นนี้…กระหม่อมก็ตกใจไม่เบาเช่นกัน ตอนแรกกระหม่อมนึกว่าเมืองหลวงแห่งนี้ดีที่สุดในใต้หล้าแล้ว เพราะเหตุนี้…กระหม่อมถึงได้รีบเข้าวังไปขอคำชี้แนะจากฝ่าบาท”
“แล้ว…เสด็จพ่อทรงตรัสเช่นใดบ้าง” หรงซิงพลันใจหายพร้อมเอ่ยถามเสียงขรึม
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “ฝ่าบาทย่อมพระปรีชาเหนือใครนัก ฝ่าบาททรงตรัสว่า…ในเมื่อที่ว่าการเฟิ่งเทียนได้รับเรื่องร้องทุกข์มากขนาดนี้ กระหม่อมก็ต้องตรวจสอบคดีเหล่านี้อย่างถึงที่สุด เพื่อให้ความกระจ่างแก่ผู้เสียหาย ส่วนพวกใต้เท้าที่มีความเกี่ยวข้องกับคดีคงต้องขอให้พวกเขาทนกล้ำกลืนอยู่ที่ว่าการเฟิ่งเทียนไปสักระยะหนึ่งก่อน แต่องค์ชายวางใจได้ หากยังสืบหาความจริงใดไม่พบ กระหม่อมไม่มีทางจับใต้เท้าเหล่านั้นเข้าคุกแน่นอน หากเป็นคดีใส่ร้ายป้ายสีกันขึ้นมาจะได้ไม่ทำให้เหล่าใต้เท้าต้องอับอาย”
หรงซิงยิ้มเย็นชา “ในเมื่อเจ้าก็รู้ว่าอาจเป็นเรื่องใส่ความกัน เหตุใดถึงไม่ปล่อยคนพวกนั้นเสีย”
มู่ชิงอีเอ่ยอย่างจนใจ “ปกติหากมีแค่คดีสองคดีคงไม่ต้องเข้มงวดนัก ทว่าบัดนี้ในระยะเวลาเพียงสองวันที่ว่าการเฟิ่งเทียนกลับได้รับเรื่องร้องทุกข์ถึงเจ็ดสิบกว่าคดี กระทั่งอย่างน้อยต้องมีสักห้าสิบกว่าคดีที่มีความเกี่ยวข้องกับเหล่าใต้เท้าหลายสิบคนในราชสำนักด้วย กระหม่อม…จะบังอาจเพิกเฉยต่อคดีเหล่านี้ได้เช่นใด องค์ชายสิบวางใจได้ ใต้เท้าซุนกับใต้เท้าจ้าวพักอยู่หลังจวนที่ว่าการเฟิ่งเทียน อยู่ดื่มกินตามมาตรฐานของขุนนางชั้นสูง ไม่มีทางปล่อยให้พวกเขาลำบากแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
หรงซิงขมวดคิ้วมุ่นอย่างคลางแคลงใจ “ที่ว่าการเฟิ่งเทียนของเจ้ามีที่ให้คนพักอาศัยมากมายขนาดนั้นเสียที่ไหนกัน” ที่ว่าการเฟิ่งเทียนไม่ใช่ที่ที่จะพักอาศัยได้ รวมถึงกู้หลิวอวิ๋นด้วย แม้แต่เหล่าข้าหลวงอย่างฉินฮุยยังมีจวนเป็นของตนเอง ด้านหลังที่ว่าการมีแค่ที่ทำงานและเรือนรับรองให้ผู้ว่าการพักผ่อนเท่านั้น
มู่ชิงอียิ้มบางกล่าว “เรื่องนี้…อาจลำบากเหล่าใต้เท้าทุกท่านไปหน่อยจริงๆ กระหม่อมทำได้แค่ขอให้พวกเขาอยู่ด้วยกันแล้ว”
หรงซิงเผลอพ่นชาออกจากปาก แต่ก็พยายามฝืนกลืนลงคอไปแล้วเอ่ยอย่างยากลำบากว่า “เจ้าให้พวกเขาอยู่ด้วยกันหรือ!”
“ไม่รู้ว่าต้องสอบสวนคดีนี้ไปถึงเมื่อไร เหล่าใต้เท้าจะได้อยู่เป็นเพื่อนกันอย่างไรเล่า” มู่ชิงอีเอ่ยราวกับว่ามันควรเป็นเช่นนั้น
อยู่เป็นเพื่อนกันบ้าบออะไรเล่า! หรงซิงลอบสบถในใจ คนของหรงเซวียนถูกคนของพวกเขาร้องเรียนจนถูกจับตัวเข้าไปทั้งนั้น คนของเขายังว่าไปอย่าง แต่ดันจับคนสองพวกไปอยู่ด้วยกันในสถานการณ์เช่นนี้“เดี๋ยวนะ ข้าจำได้ว่ามีแม่ทัพเวยอู๋อยู่ในนั้นด้วย!” แม่ทัพเวยอู๋เป็นลูกน้องเก่าของหนานกงเจวี๋ย จงรักภักดีต่อจวงอ๋องอย่างมาก หากถูกกักตัวรวมกับพวกข้าหลวงรู้หนังสือของตวนอ๋องจริง คนพวกนั้นไม่ถูกตีตายไปแล้วหรือ
มู่ชิงอีเอ่ยปลอบโยนเสียงอ่อนหวาน “องค์ชายวางใจได้ พวกเขารู้ขอบเขตดี ไม่มีทางตายแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“…” ดังนั้นมาตรฐานของเจ้าคือขอแค่ไม่ตายแค่นั้นหรือ
ในเมื่อพูดถึงขนาดนี้แล้วหรงซิงจะยังพูดอะไรได้อีก หากแม้แต่พี่สี่ยังเห็นว่ากู้หลิวอวิ๋นเป็นงานยาก เขาก็คงจนใจเช่นกัน โดยเฉพาะยามที่กู้หลิวอวิ๋นมีพระราชสาสน์ของเสด็จพ่อในมือด้วย ถึงแม้หรงเซวียนจะถูกกักบริเวณแล้ว แต่หนานกงเจวี๋ยกับหนานกงอี้ยังอยู่ เวลานี้พวกเขาสองคนต้องระดมสมองคิดหาวิธีตอบโต้จวนตวนอ๋องแน่นอน หากเขามาหาเรื่องกู้หลิวอวิ๋นตอนนี้ก็เท่ากับเผยจุดอ่อนให้พวกตระกูลหนานกงรู้
สุดท้ายหรงซิงเลยแค่ทำหน้าเคร่งขรึมแล้วขอเจอเจ้ากรมและใต้เท้าลูกน้องคนอื่นๆ ของตวนอ๋อง มู่ชิงอีเองก็ไม่ได้ขัดขวางแต่อย่างใด เพียงแต่เอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่มีปัญหา เมื่อเช้าใต้เท้าหนานกงก็มาเยี่ยมใต้เท้าเหล่านั้นแล้วเช่นกัน”
หรงซิงโมโหแล้วเดินจากไปด้วยความโกรธเคือง
หลังจากเห็นหรงซิงกระฟัดกระเฟียดเดินจากไปแล้ว มู่ชิงอีก็ยิ้มบางพลางพาเซี่ยซิวจู๋กลับไปที่ห้องหนังสือซึ่งอยู่หลังที่ว่าการ ปู้อวี้ถังรออยู่ที่นั่นก่อนแล้ว ครั้นเห็นมู่ชิงอีเดินเข้ามาก็รีบพุ่งตัวเข้าไปทำความเคารพ “อวี้ถังขอบคุณที่คุณชายช่วยเลื่อนตำแหน่งให้”
มู่ชิงอีรีบประคองเขาขึ้นมาแล้วเอ่ย “อวี้ถังอย่าทำเช่นนี้เลย อวี้ถังมีความรู้มีความสามารถ หากเป็นแค่ที่ปรึกษาตัวเล็กๆ ก็น่าน้อยใจจริงๆ แต่…ตอนนี้คงต้องขอให้อวี้ถังอดทนไปก่อน”
“อวี้ถังมิบังอาจ” ปู้อวี้ถังรีบกล่าวทันที มู่ชิงอีอมยิ้มแล้วชี้ไปทางเก้าอี้ด้านข้างสื่อว่าให้เขานั่งลงสนทนากัน “ซิวจู๋ก็นั่งด้วยสิ”
เซี่ยซิวจู๋นั่งลงอย่างเงียบๆ พร้อมจ้องมู่ชิงอีแล้วขมวดคิ้วกล่าว “หลายวันนี้คุณชายไม่เห็นใครในสายตา แถมวันนี้ยังล่วงเกินเหล่าตระกูลผู้มีอำนาจไปเกินครึ่งเมืองหลวง วันหน้าหากออกไปไหนต้องระวังตัวด้วย”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วยิ้มบางกล่าว “ซิวจู๋กังวลมากไปแล้ว ข้าเชื่อว่าหากมีซิวจู๋อยู่คงไม่มีใครสามารถแตะต้องข้าได้แม้แต่ปลายเล็บ ยิ่งไปกว่านั้นคนที่กล้าลอบฆ่าผู้ว่าการเฟิ่งเทียนโจ่งแจ้งขนาดนั้นคงมีไม่กี่คน” แม้แต่ครั้งก่อนหรงจังยังต้องให้เว่ยอู๋จี้ล่อนางออกนอกเมืองถึงจะกล้าลงมือเลย ขอแค่นางไม่ออกไปนอกเมือง โอกาสที่นางจะเจอเหตุการณ์เช่นนี้ก็มีน้อยมาก อีกอย่างเซี่ยซิวจู๋เป็นถึงหัวหน้าองครักษ์วังหน้าของแคว้นหวามาก่อน ลำพังแค่คนที่เขาส่งมาคอยคุ้มกันอย่างลับๆ และเขาที่คอยคุ้มกันอยู่ข้างกายแล้ว เกรงว่าในใต้หล้านี้สถานที่ที่จะปลอดภัยกว่าข้างกายนางคงไม่มีอีกแล้ว
“กันไว้ดีกว่า” เซี่ยซิวจู๋เอ่ยเสียงเรียบ
มู่ชิงอีเข้าใจเจตนาดีของเขาเลยพยักหน้าอมยิ้มกล่าว “ข้ารู้แล้ว”
ปู้อวี้ถังขมวดคิ้วมุ่น “คุณชาย เห็นได้ชัดว่าคดีเหล่านี้ล้วนเป็นฝีมือของจวงอ๋องกับตวนอ๋องตอบโต้กันถึงได้เกิดเรื่องขึ้นเช่นนี้ พวกเราจะสวบสวนทีละคนจริงๆ หรือ” มู่ชิงอีพยักหน้ากล่าวราวกับว่าควรเป็นเช่นนั้น “แน่นอน ถึงแม้สาเหตุจะมาจากการแก่งแย่งกันของจวงอ๋องกับตวนอ๋อง แต่เหมือนว่าคดีจะไม่ได้ผุดขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ เวลานี้ต่อให้เป็นเรื่องใส่ความกันก็คงไม่ใช่เรื่องโกหกเสียทั้งหมด พวกเรา…ย่อมต้องจัดการไปตามความยุติธรรมอยู่แล้ว”
ปู้อวี้ถังพยักหน้ากล่าว “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะรีบจัดการโดยเร็วที่สุด” ปู้อวี้ถังรับราชการมาหลายปีย่อมจัดการเรื่องนี้ได้คล่องแคล่วกว่ามู่ชิงอี ทว่ามู่ชิงอีกลับอมยิ้มแล้วส่ายหน้าเอ่ย “ใครบอกว่าต้องรีบจัดการกัน ค่อยๆ จัดการไปดีกว่า”