“นี่มัน…ใต้เท้าเหล่านั้น?” ปู้อวี้ถังนึกถึงบรรดาขุนนางที่ถูกขังอยู่ในจวนเหล่านั้น ยังคงใช้ชีวิตหรูหราเช่นเดิม เพียงแต่ถูกกักขังไว้ในเรือนเล็กๆ ไม่สามารถเป็นอิสระ คนที่อยู่ร่วมกันก็เป็นศัตรูของตัวเอง เกรงว่าหากอยู่ต่อไปก็เหมือนกับเป็นการนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่เต็มไปด้วยเข็ม เมื่ออยู่ไปนานๆ ก็คงเริ่มเกิดความวุ่นวาย
มู่ชิงอีกล่าวอย่างสบายๆ ว่า “ให้พวกเขาอยู่ไปก่อนเถิด ซิวจู๋ ส่งคนสักสองสามคนไว้คอยจับตาดูพวกเขาว่าทุกวันพวกเขาทำอะไร กินอะไร พูดอะไร ต้องจับตาดูทั้งหมด สำหรับ…ความคับแค้นใจระหว่างพวกเขา ไม่ต้องสนใจ ขอเพียงแค่ไม่มีใครตายก็พอ”
เซี่ยวซิวจู๋พยักหน้า หลายวันมานี้เขาได้เรียนรู้ที่จะไม่แปลกใจกับการตัดสินใจใดๆ ของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขา แม้ว่าเขาจะยังคงประหลาดใจกับสติปัญญาและวิธีการของนางทุกครั้ง ด้วยวิธีการที่ชาญฉลาดเช่นนี้ อย่าว่าแต่สตรีเลย แม้แต่บุรุษก็ยังรู้สึกทอดถอนใจ กล่าวคือกู้ฮองเฮาผู้มีจิตใจเมตตาและอ่อนโยนที่สกุลกู้ส่งเข้าวังในตอนนั้น หากเปลี่ยนเป็นคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผู้นี้…เกรงว่าราชบัลลังก์ของรัชทายาทคงจะถูกยึดไปนานแล้ว
เซี่ยซิวจู๋เงียบไปนาน เข้าใจถึงเจตนาของมู่ชิงอี เลิกคิ้วพลางยิ้มเอ่ย “คุณชายต้องการให้พวกเขาต่อสู้กันอยู่ด้านใน ส่วนจวนจวงอ๋องกับจวนตวนอ๋องต่อสู้กันอยู่ด้านนอก และในที่สุด…”
สุดท้ายแล้วไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร ในความจริงแล้วก็นับว่าพ่ายแพ้ทั้งสองฝ่าย
มู่ชิงอียิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “เซี่ยซิวจู๋รู้ใจข้า ในเมื่อหรงเหยี่ยนต้องการสร้างปัญหาเหล่านี้ให้ข้า ข้าก็จะทำใจรับคนเหล่านี้ไว้ทั้งหมด อย่าคิดว่าจะได้กลับไปแม้แต่คนเดียว!”
จวนเล็กๆ ด้านหลังของที่ว่าการเฟิ่งเทียน ในความเงียบมีความมืดมนและอันตรายที่ทำให้คนรู้สึกหายใจไม่ออก แม้ว่าคนที่ถูกขังในลานเล็กจะไม่ถูกกีดกันไม่ให้เคลื่อนไหว ขอเพียงแค่ไม่ออกไปนอกประตู แต่ดูเหมือนว่าทุกคนจะเต็มใจปิดประตูและขังตัวเองไว้ในห้องของตัวเอง
ซุนลี่เหยียนคงไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะถูกคุมขังไว้ในสำนักงานที่ว่าการเฟิ่งเทียนหลังจากที่เขาได้เป็นเจ้ากรมอาลักษณ์
เป็นเวลาสามวันเต็มแล้วตั้งแต่ที่เขาถูกขังอยู่ในจวนเล็กๆ แห่งนี้ ซุนลี่เหยียนยังคงโกรธตั้งแต่ตอนแรกมาจนถึงตอนนี้…อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง ผู้ว่าการเฟิ่งเทียนที่พึ่งแต่ตั้งเข้ามาใหม่ยังไม่เคยเห็นเขาและเขาก็ไม่ได้พูดอะไรเกินเลยแม้แต่คำเดียว ยกเว้นสอบถามเรื่องเกี่ยวกับคดีบางอย่าง การกระทำเช่นนี้ทำให้คนเก่าแก่ที่วนเวียนอยู่ในแวดวงราชการมาตลอดชีวิตก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน ชายหนุ่มผู้นี้คิดจะทำอะไรกันแน่
สิ่งที่สำคัญที่สุด ซุนลี่เหยียนรู้ว่าเขาไม่ใช่คนเดียวที่ถูกคุมขังอยู่ที่นี่ ข้าราชบริพารคนสำคัญของราชสำนักจำนวนมากถูกขังอยู่ในจวนเล็กๆ ของสำนักงานที่ว่าการเฟิ่งเทียนเป็นเวลาหลายวันแล้ว ไม่เพียงแต่บรรดาองค์ชายที่ไม่มีท่าทีใดๆ แม้แต่ฝ่าบาทก็ไม่มีท่าทีใดๆ เช่นกัน ซุนลี่เหยียนอดนึกถึงเรื่องที่องค์ชายสิบมาหาเขาเมื่อสามวันก่อนไม่ได้ แม้ว่าองค์ชายสิบจะไม่ได้กล่าวอะไร แต่ซุนลี่เหยียนรู้ว่าเกรงว่าเรื่องต่างๆ จะยุ่งยาก ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าผู้ว่าการเฟิ่งเทียนผู้นี้จะกลายเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งจนทุกคนคาดไม่ถึง ตวนอ๋องต้องการใช้กู้หลิวอวิ๋นหักปีกของจวงอ๋อง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะถูกลากเข้าไปด้วย
ซุนลี่เหยียนอยากออกไปหาสหายร่วมงานเพื่อพูดคุยว่าควรทำอย่างไร แต่หลังจากยืนขึ้นเขาก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วกลับไปนั่งเหมือนเดิม ในลานแห่งนี้ไม่ได้มีเพียงขุนนางจากจวนของตวนอ๋อง ยังมีคนของจวนจวงอ๋องอีกด้วย วันแรกที่เข้ามาทุกคนเดินไปรอบๆ จวน ต่อมาทั้งสองฝ่ายก็ต่อสู้กันขึ้นมา แต่ฝ่ายของจวนจวงอ๋องมีแม่ทัพอยู่คนหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องพูดถึงผลว่าใครแพ้ชนะ บอกไม่ได้ว่าพ่ายแพ้ทั้งสองฝ่าย แต่ก็มีหลายคนที่ตอนนี้ยังนอนร้องโอดโอยอยู่บนเตียง…
ปัง! ประตูที่เดิมทีถูกปิดอยู่ถูกเตะให้เปิดออกจากด้านนอก ซุนลี่เหยียนตกใจคิดจะร้องโวยวายแต่กลับพบว่าผู้ที่เข้ามาคือดาวร้ายของจวนเล็กแห่งนี้ ผู้ใต้บังคับบัญชาของแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่หนานกงเจวี๋ย ในจวนเล็กๆ มีกลุ่มคนที่ต่อต้านซึ่งกันและกัน กลุ่มคนรู้หนังสือที่อ่อนแอทำอะไรไม่ถูก และแม่ทัพที่เก่งกาจในการลงสนามรบเข่นฆ่าศัตรู ราวกับว่ามีหมาป่าบุกรุกเข้ามาในฝูงแกะอย่างกะทันหันก็มิปาน
“เหลยหลิน! เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร” ซุนลี่เหยียนสีหน้าเคร่งขรึม จ้องมองไปที่บุรุษที่อยู่ตรงหน้าพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง แม้ว่าจะสวมชุดแพรธรรมดาแต่แม่ทัพผู้นี้ที่เพิ่งอายุเลยสี่สิบปียังคงดูสง่างาม อย่างน้อยก็เพียงพอแล้วสำหรับขุนนางพลเรือนอย่างซุนลี่เหยียน
แม่ทัพเวยอู่เอ่ยด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย “อะไรที่หมายความว่าอย่างไร ก็แค่ว่างไม่มีอะไรทำจึงมาเยี่ยม เจ้ากรมซุนหลบอยู่ในห้องแกล้งทำตัวน่าสงสารหรือ”
ซุนลี่เหยียนยิ้มอย่างเย็นชา “หากเจ้าไม่ได้แกล้งทำตัวน่าสงสาร เหตุใดไม่ลุยออกจากที่นี่ไปเสียเล่า เป็นถึงแม่ทัพเวยอู่ถูกขังไว้ในจวนเล็กๆ แห่งนี้กับนักปราชญ์อย่างพวกเรา นี่นับว่าเป็นความสามารถของแม่ทัพเวยอู่ที่ต่อสู้ในสนามรบอย่างนั้นหรือ”
แม่ทัพเวยอู่สีหน้าแข็งทื่อ ใช่ว่าเขาไม่เคยลองที่จะลุยออกไป แต่กลับคิดไม่ถึงว่าสำนักงานที่ว่าการเฟิ่งเทียนเล็กๆ แห่งนี้จะได้รับการป้องกันอย่างแน่นหนา ราวกับว่ามียอดฝีมือเต็มไปหมด วันแรกที่เขาถูกเชิญเข้ามาก็อดคิดที่จะลุยออกไปไม่ได้ เดิมทีอีกแค่นิดเดียวก็จะออกจากจวนเล็กได้แล้ว แต่สุดท้ายกลับมีชายสวมหน้ากากผู้หนึ่งโผล่มา เพียงแค่สะบัดแขนเสื้อเบาๆ เขาก็ล้มกลับเข้าไปในจวนแห่งนี้แล้ว หายใจไม่คล่องอยู่นาน ต่อมาหนานกงอี้เข้ามาเยี่ยมพวกเขา ส่งสัญญาณให้เขาทำใจให้สบาย จึงได้สงบลง แต่ในขณะเดียวกันเขาก็หมดความมั่นใจที่จะฝืนบุกเข้าไปในสำนักงานที่ว่าการเฟิ่งเทียนแล้ว
เมื่อเห็นเขาเป็นเช่นนี้ สีหน้าเย้ยหยันของซุนลี่เหยียนก็ชัดเจนยิ่งขึ้น
แม่ทัพเวยอู่ยิ้มเอ่ยอย่างเย็นชา “หากไม่ใช่เพราะขุนนางพลเรือนอย่างพวกเจ้ารู้จักแต่วางกลอุบาย ข้าจะลงเอยเช่นนี้ได้อย่างไร ดังนั้น…เจ้ากรมซุน หากข้าอัดเจ้าเพื่อระบายความโกรธคงไม่ผิดหรอกกระมัง” ขณะที่พูดแม่ทัพเวยอู่ก็ยิ้มพลางหักข้อนิ้วดัง กรอบ!
“เจ้ากล้าหรือ!” ซุนลี่เหยียนตื่นตกใจ ตะโกนด้วยความตื่นตระหนก “ข้าเป็นขุนนางกรมอาลักษณ์ หากเจ้ากล้าลงมือข้าจะทำให้เจ้ารับผลที่ตามมาแทบไม่ไหว!”
แม่ทัพเวยอู่ไม่คิดเช่นนั้น “ข้ากลัวเหลือเกิน…ขุนนางพลเรือนอย่างพวกเจ้าขัดหูขัดตามานานแล้ว ใส่ร้ายข้า อยากตายหรืออย่างไรกัน!” ผู้คนในจวนเล็กแห่งนี้บอกว่าตัวเองถูกใส่ความแต่กลับมีไม่กี่คนที่ถูกใส่ความจริงๆ แต่ด้วยสถานะของคนเหล่านี้ ความจริงแล้วในหลายๆ เรื่องทุกคนต่างก็ยอมรับว่าเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยไปโดยปริยาย หากไม่ใช่ถูกจับมาขังไว้ที่ที่ว่าการเฟิ่งเทียน เดิมทีก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร หากคนชั้นใต้บังคับบัญชาทำตัวบังอาจก็เพียงแค่จัดการคนเหล่านี้ก็พอแล้ว หากบุคคลที่มีอำนาจปฏิบัติตามกฎเกณฑ์จริงเมืองหลวงแห่งนี้คงไม่มีอะไรผิดพลาด แต่ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายได้ส่งขุนนางคนสำคัญในราชสำนักมากมายเข้ามาในที่ว่าการเฟิ่งเทียน เกรงว่านี่จะเป็นครั้งแรกตั้งแต่แคว้นเย่ว์ก่อตั้งอาณาจักรขึ้นมา
ดังนั้นการใช้ความรุนแรงที่โหดร้ายเพียงด้านเดียวจึงถูกจัดขึ้นที่หลังสำนักงานที่ว่าการเฟิ่งเทียนเพื่อเป็นตัวแทนของความยุติธรรมและกฎหมายในเมืองหลวงของแคว้นเย่ว์ เจ้ากรมซุนผู้น่าสงสารไม่มีกำลังที่จะต่อต้านหรือด่าคนที่มาเตะต่อยตัวเอง ในขณะเดียวกันในใจกลับมีความไม่พอใจต่อตวนอ๋องเพิ่มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว หากไม่ใช่เพราะตวนอ๋องกำลังวางแผนต่อต้านจวงอ๋อง เขาจะถูกแม่ทัพผู้หยาบคายทำร้ายเช่นนี้ได้อย่างไร เป็นเพราะเกิดในตระกูลที่ยากจน ความยึดติดในอำนาจในมือของเจ้ากรมซุนจึงมีมากกว่าขุนนางที่เกิดในตระกูลชั้นสูงเท่าไป เป็นเรื่องน่าละอายอย่างยิ่งที่ขุนนางระดับสูงผู้สง่างามถูกแม่ทัพทุบตี
“ช่วย…ช่วยด้วย…” ซุนลี่เหยียนเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เหลยหลินราวกับจะอัดเขาให้ตาย