มู่ชิงอีมุ่นคิ้วเอ่ย “แต่ทางด้านสวินอ๋อง…” หรงจังไม่ได้แสดงออกเพียงแค่ครั้งเดียว ทุกสิ่งที่เขาทำก็เพื่อหรงจิ่น และตำแหน่งสุดท้ายก็เป็นของหรงจิ่น
หรงจิ่นเบะปากก่อนจะเอ่ยอย่างดูหมิ่น “ข้าไม่ต้องการ ข้าไม่ต้องการให้ใครมาควบคุมข้า ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร เขาก็ต้องการเพียงแค่หุ่นเชิดเท่านั้น” มู่ชิงอีถอนหายใจอย่างจนปัญญา ขมวดคิ้วเล็กน้อย คิดในใจว่า หากหรงจังมั่นใจว่าจะประสบความสำเร็จ เขาก็สามารถขึ้นครองบัลลังก์ฮ่องเต้ได้ด้วยตัวเอง เหตุใดถึงต้องการหุ่นเชิดด้วย
เมื่อรู้ว่าไม่สามารถโน้มน้าวหรงจิ่นได้ มู่ชิงอีจึงไม่กล่าวอะไรอีก และนางก็ไม่ชอบพฤติกรรมของหรงจังเช่นกัน ไม่ว่าเขาจะทำเพื่ออะไร บาดแผลที่เขาสร้างขึ้นให้กับหรงจิ่นนั้นยังคงอยู่และไม่มีวันจางหายไป
มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเบา “หม่อมฉันรู้แล้วเพคะ” หรงจิ่นก้มหน้าพลางลูบผมนุ่มๆ ของนางอย่างมีความสุข “ข้ารู้ว่าชิงชิงดีต่อข้าที่สุดแล้ว” มู่ชิงระอาใจ “ไม่สน ไม่ถาม เอาแต่ฟังท่าน ก็นับว่าเป็นคนที่ดีต่อท่านที่สุดแล้วอย่างนั้นหรือ” หรงจิ่นยิ้มเอ่ย “นี่หมายความว่าชิงชิงเชื่อในตัวข้าไม่ใช่หรือ” มู่ชิงอียิ้มมุมปาก ก็จริง หากไม่ใช่เพราะเชื่อมั่นในหรงจิ่น นางจะเชื่อฟังการตัดสินใจของเขาอย่างไม่มีเงื่อนไขได้อย่างไร
หรงจิ่นโอบนางแล้วกล่าวอย่างอ่อนโยน “ขอเพียงชิงชิงเชื่อในตัวข้าตลอดไปก็พอแล้ว”
มู่ชิงอียกยิ้มแผ่วเบา “แน่นอนว่าหม่อมฉันย่อมเชื่อในตัวท่าน”
จวนอวี้อ๋องนั้นเงียบสงบและอบอุ่น แต่จวนอานซุ่นจวิ้นอ๋องที่อยู่อีกด้านหนึ่งของเมืองหลวงกลับไม่ค่อยผ่อนคลายนัก ในห้องตำราวุ่นวายไปหมด มู่หรงอวี้ขว้างข้าวของทุกอย่างที่ทำได้ในห้องตำราอย่างบ้าคลั่ง ไม่นานทั้งห้องตำราก็พังทลาย ทางเข้าห้องตำรามีซู่เวิ่นกับหลิงซูยืนอยู่เงียบเชียบมองดูมู่หรงอวี้ทำลายห้องหนังสือทั้งห้องในเวลาอันสั้น หลิงซูยังคงนิ่งเงียบ แต่สายตาของซู่เวิ่นกลับเผยให้เห็นความไม่พอใจและดูแคลน
ซู่เวิ่นไม่เคยเข้าใจว่าทำไมพี่สาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของนางถึงพามู่หรงอวี้กลับมา บอกว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้าสำนักเย่าหวังกู่เพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ พวกนางย่อมต้องเคารพและเชื่อฟัง แต่มู่หรงอวี้ผู้นี้มีท่าทีเหมือนเจ้าสำนักเย่าหวังกู่คนก่อนเสียที่ไหนกัน เขาไม่มีแม้แต่ความสามารถด้านการรักษาที่มีหลายชั่วอายุคนของตระกูลมั่ว เย่าหวังกู่ได้ส่งหมอผู้มีฝีมือคนเก่าคนแก่ที่มีคุณธรรมและน่านับถือที่สุดมาสอนทักษะการรักษาให้เขาเป็นพิเศษ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่สามารถแยกแยะสมุนไพรที่ง่ายที่สุดได้หลังจากศึกษามาเป็นเวลานาน ผ่านไปยังไม่นานเขาก็ไม่แม้แต่จะเต็มใจไปเรียนด้วยซ้ำ คนเช่นนี้จะมีคุณสมบัติที่จะเป็นเจ้าสำนักเย่าหวังกู่ได้อย่างไร ยังดีไม่เท่าแม้แต่เศษเสี้ยวเดียวของพี่เวิ่นฉิงด้วยซ้ำ!
“ซู่เวิ่น” เมื่อเห็นความโกรธที่เห็นได้ชัดบนใบหน้าของซู่เวิ่น หลิงซูก็ส่ายหน้าเล็กน้อย ส่งสัญญาณให้นางเก็บสีหน้า ซู่เวิ่นสบถเบาๆ มองหลิงซู กัดฟันเอ่ย “พี่หญิง ตอนนี้ข้าเสียใจจริงๆ …” เสียใจอะไรน่ะหรือ เสียใจที่บังคับพี่เวิ่นฉิงในตอนนั้นทำให้พี่เวิ่นฉิงสูญเสียตำแหน่งเจ้าสำนักแล้วหายตัวไปไม่มีใครรู้ แต่ว่า…นางไม่ได้ต้องการขับไล่พี่เวิ่นฉิงออกไปจริงๆ ในใจของนาง คนเดียวที่มีคุณสมบัติเป็นเจ้าสำนักมีเพียงพี่เวิ่นฉิงเท่านั้น
“อย่าพูดเหลวไหล” หลิงซูกล่าวเสียงเบา มู่หรงอวี้มักจะต่อต้านมั่วเวิ่นฉิงมาตลอด หากเขาได้ยินสิ่งที่ซู่เวิ่นพูดจะเป็นเรื่องได้
ซู่เวิ่นแค่นเสียงแล้วหันหน้าหนีไม่พูดอะไรอีก ในใจของนางแอบรู้สึกเกลียดชังพี่หญิงอยู่เล็กน้อย หากพี่หญิงไม่ได้พูดในตอนนั้น…นางจะใช้วิธีนี้บังคับพี่เวิ่นฉิงได้อย่างไร
“เข้ามา!” น้ำเสียงเบื่อหน่ายของมู่หรงอวี้ดังมาจากข้างใน เห็นได้ชัดว่าในที่สุดเขาก็ระบายความโกรธออกมาหมดแล้ว หลิงซูก้าวนำเข้าไปก่อน หาที่ยืนอย่างระมัดระวัง กล่าวคำนับเสียงเบาว่า “เจ้าสำนัก”มู่หรงอวี้หันกลับมา จ้องมองนางอย่างเย็นชาเอ่ย “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดหรงเซวียนยังมีชีวิตอยู่”
หลิงซูก้มหน้าลง เอ่ยด้วยความเคารพว่า “เป็นข้าที่ทำงานไม่สำเร็จขอเจ้าสำนักโปรดลงโทษ”
“ทำงานไม่สำเร็จ?” มู่หรงอวี้หัวเราะอย่างเย็นชา “เจ้าคิดว่าข้าโง่อย่างนั้นหรือ ยาพิษเย่าหวังกู่ของเจ้าฆ่าไม่ได้แม้แต่คนอย่างหรงเซวียน? ในเมื่อเจ้าวางยาพิษให้ตายไม่ได้แล้วจะวางยาไปเพื่ออะไร” หลิงซูยังคงสงบนิ่ง ก้มหน้าเอ่ย “เจ้าสำนักอย่าโกรธไปเลย”
“ไร้ประโยชน์!”
“เจ้าสำนัก สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้ไม่ใช่เอาแต่คิดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ควรจะออกจากเมืองหลวงไปก่อน” ซู่เวิ่นที่อยู่ข้างหลังหลิงซูอดกล่าวขึ้นมาไม่ได้ “ทันทีที่ข่าวจวงอ๋องถูกวางยาพิษแพร่ออกไป ผู้ที่ถูกสงสัยเป็นคนแรกคือเย่าหวังกู่ของพวกเรา” เรื่องนี้ซู่เวิ่นก็สับสนเป็นอย่างมาก เย่าหวังกู่มียามากมายที่ไร้สีไร้กลิ่น กระทั่งทำให้คนตายโดยไม่รู้ตัว แต่เหตุใดผู้ที่ถูกวางยาไม่เพียงแต่ยังไม่ตาย ซ้ำยังถูกจับได้ มองหลิงซูที่ท่าทางสงบนิ่งด้วยความสงสัยเล็กน้อย เป็นครั้งแรกที่ซู่เวิ่นไม่เข้าใจว่าพี่หญิงที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของนางกำลังคิดอะไรอยู่ ไม่ต้องพูดถึงว่ามู่หรงอวี้สงสัยหลิงซู แม้แต่นางก็ยังสงสัยอยู่เล็กน้อย
มู่หรงอวี้สีหน้าเปลี่ยนไป กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “เจ้าไปกระจายข่าวให้ข้าว่ามั่วเวิ่นฉิงปรากฏตัวในเมืองหลวง”
ซู่เวิ่นสีหน้าเปลี่ยน “ท่านจะใส่ร้ายพี่เวิ่นฉิงหรือ”
รอยยิ้มของมู่หรงอวี้แฝงไว้ด้วยความเจ้าเล่ห์เล็กน้อย “เรียกเพราะขนาดนี้ ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่เห็นเจ้าสำนักอย่างข้าผู้นี้อยู่ในสายตา” ซู่เวิ่นเงียบปากลงเพียงแต่ลอบคิดในใจว่า เจ้ามีอะไรที่จะไปเทียบกับพี่เวิ่นฉิงได้อย่างนั้นหรือ
หลิงซูเอ่ยเสียงเรียบ “ซู่เวิน ไปจัดการเถิด”
ซู่เวิ่นหันกลับมาทันทีพลางจ้องมองหลิงซู ผ่านไปนานก่อนที่จะกัดฟันเอ่ย “ข้าไม่ไป!” หลิงซูขมวดคิ้ว คิ้วเรียวยาวของนางดูไม่พอใจเล็กน้อย ซู่เวิ่นเอ่ยขึ้น “พี่หญิง ท่านเปลี่ยนไปแล้ว ตอนนั้นท่านบอกกับข้าว่าจะทำให้พี่เวิ่นฉิงชอบข้าได้ แต่ตอนนี้กลับไม่พบพี่เวิ่นฉิงแล้ว ท่านยังคิดที่จะใส่ร้ายเขาอีก ข้าไม่มีทางช่วยท่าน ข้า…ข้าไม่สนใจพวกท่านแล้ว ข้าจะกลับเย่าหวังกู่ ข้าจะไปตามหาพี่เวิ่นฉิง!” พูดจบซู่เวิ่นก็หันหลังเดินออกไปจากห้องตำราโดยไม่สนใจอะไรอีก
“ซู่เวิ่น!” หลิงซูสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ดึงดันจะรั้งซู่เวิ่นไว้ เมื่อซู่เวิ่นถูกขัดขวางก็ย่อมตอบโต้กลับ แต่วรยุทธ์ของหลิงซูนั้นสูงกว่านาง หลังจากผ่านไปไม่กี่กระบวนท่าซู่เวิ่นก็ตกอยู่ในมือของหลิงซูแล้ว เมื่อมองดูพวกนางทั้งสอง สีหน้าของมู่หรงอวี้ก็แย่ขึ้นเรื่อยๆ จ้องมองไปที่ซู่เวิ่นที่ถูกหลิงซูทำให้ขยับไม่ได้อย่างเคร่งขรึมเอ่ย “เจ้าช่างบังอาจนัก ผู้อาวุโสหลิงซู การฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าสำนักมีโทษอย่างไร”
หลิงซูกล่าวเสียงเบา “เย่าหวังกู่ให้ความเคารพเจ้าสำนัก ผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งจะต้องตาย”
“เช่นนั้นยังไม่รีบลงมืออีก!” มู่หรงอวี้พูดอย่างเด็ดขาด
“คือ…” หลิงซูลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “เจ้าสำนัก ซู่เวิ่นอายุยังน้อยไม่รู้ความ ขอเจ้าสำนักโปรดอภัยด้วย เวลานี้เป็นเวลาที่ต้องการคน ขอให้เจ้าสำนัก…เรื่องมั่วเวิ่นฉิง ข้าจะจัดการเอง” มู่หรงอวี้แค่นเสียงอย่างเย็นชา ในที่สุดเขาก็ค่อยๆ ละสายตาจากซู่เวิ่น กล่าวเสียงดุดัน “ไสหัวออกไป!”
“ข้าขอตัวก่อน” หลิงซูดึงซู่เวิ่นออกจากห้องตำราอย่างรวดเร็ว
“กราบทูลท่านอ๋อง ใต้เท้ากู้ผู้ว่าการเฟิ่งเทียนและใต้เท้าหนานกงขุนนางศาลต้าหลี่มาพ่ะย่ะค่ะ” ทันที่ที่หลิงซูกับซู่เวิ่นมาถึงประตู บ่าวรับใช้หน้าประตูจวนอานซุ่นจวิ้นอ๋องก็รีบมารายงาน เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของมู่หรงอวี้ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย “พวกเขามาทำอะไร” บ่าวรับใช้กล่าวเสียงเบาว่า “ข้าน้อยไม่ทราบ เพียงแต่…ใต้เท้าทั้งสองท่านมาพร้อมกับทหาร ในขณะนี้…จวนอานซุ่นจวิ้นอ๋องถูกทหารล้อมไว้หมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
มู่หรงอวี้สงบสติอารมณ์ เอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “ข้ารู้แล้ว เจ้าออกไปก่อน”
บ่าวรับใช้รีบขอตัวลา มู่หรงอวี้หันกลับไปมองหลิงซูที่ยืนอยู่หน้าประตูแล้วถามว่า “เจ้าคิดเห็นเช่นใด”