“คนต่ำช้า! ข้าจะฆ่าเจ้า!” มู่หรงอวี้ยื่นมือออกมาอย่างบ้าคลั่ง หมายจะคว้าตัวหลิงซูที่ยืนอยู่ข้างนอก แต่มือของเขาอยู่ห่างจากหลิงซูหนึ่งถึงสองนิ้วและไม่สามารถเข้าใกล้ได้มากกว่านี้ หลิงซูมองเขาอย่างสงบนิ่ง กล่าวด้วยความเวทนา “ข้าขอลาเจ้าสำนัก”
“นังสารเลว! ข้าจะฆ่าเจ้า!” มู่หรงอวี้ตะโกนด้วยความเดือดดาลขาดสติ
หลิงซูยิ้มบาง ถอยกลับไปอยู่ข้าหลังเว่ยอู๋จี้อย่างอ่อนช้อย
เมื่อมองไปที่คนหลายคนตรงหน้าที่มองมาที่ตนด้วยสายตาเย็นชา มู่หรงอวี้ก็รู้ว่าในเวลานี้ตัวเองเต็มไปด้วยความน่าสมเพช แต่การกลัวความตายนั้นเป็นจุดอ่อนโดยธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน มู่หรงอวี้เองก็ไม่ใช่คนที่กล้าหาญและไม่ยึดติดทางโลก ดังนั้นเขาจึงอดที่จะหวาดกลัวไม่ได้
มู่ชิงอียืนขึ้น มองมู่หรงอวี้พลางกล่าวเสียงเรียบว่า “พรุ่งนี้เช้าการพิจารณาคดีวางยาพิษสังหารจวงอ๋องจะเริ่มขึ้น เตรียมตัดสิน…ทางที่ดีกงอ๋องควรจะไตร่ตรองให้ดี ความจริงแล้ว…ข้ายังคงหวังว่ากงอ๋องจะยืนกรานไม่พูดอะไรจนท้ายที่สุด”
ไม่พูดอะไรทั้งนั้น รับข้อกล่าวหาทั้งหมดด้วยตัวเอง รับโทษทัณฑ์เลาะกระดูก ลูกหลานตระกูลกู้เห็นว่าผู้ร้ายที่ทำลายตระกูลกู้ถูกโทษทัณฑ์เลาะกระดูก นี่นับว่าเป็นกฎแห่งกรรม ผลที่ตามมาไม่มีผิดพลาด
หลังจากพูดจบมู่ชิงอีก็หันหลังแล้วเดินออกนอกประตูไป เมื่อนางไปแล้วหรงจิ่นก็ย่อมไม่อยู่ต่อ เว่ยอู๋จี้ชำเลืองมองมู่หรงอวี้ที่หน้าซีดเซียวด้วยรอยยิ้มแล้วเดินตามออกไป ยิ้มเอ่ย “ข้าคิดว่าเขาไม่สามารถยืนหยัดจนถึงที่สุดได้”
ทัณฑ์เลาะกระดูกเดิมก็เป็นโทษประหารที่ร้ายแรงที่สุด น้อยคนนักที่จะนึกภาพออกและแบกรับความเจ็บปวดนั้นได้
หลิงซูเดินตามหลังเว่ยอู๋จี้ “คุณชายกล่าวถูกแล้ว”
“เดี๋ยว…เดี๋ยวก่อน” ในห้องขัง เสียงที่สิ้นหวังและอ่อนแอของมู่หรงอวี้ดังขึ้น “ข้า…ข้าจะชี้ตัวตวนอ๋อง ข้า…ยังมีจดหมายและหลักฐานที่ติดต่อกับตวนอ๋องอยู่…”
มู่ชิงอีหยุดฝีเท้า ก้มหน้าพลางถอนหายใจเบาๆ นางเป็นคนใจแข็งจริงๆ หรือ จุดจบเช่นนี้เป็นไปตามคาด แต่นางกลับรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
เมื่อออกมาจากห้องขัง กลุ่มคนก็เคลื่อนย้ายไปนั่งในห้องตำรา หรงจิ่นจ้องเว่ยอู๋จี้เอ่ย “ที่เจ้าไปแคว้นหวาในตอนนั้นก็เพื่อมู่หรงอวี้อย่างนั้นหรือ นับตั้งแต่นั้นมาเขาคือหมากที่พวกเจ้าวางแผนไว้?”
เว่ยอู๋จี้ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “จะเป็นไปได้อย่างไร มู่หรงอวี้เป็นถึงองค์ชายแคว้นหวา การที่จะบีบบังคับให้เขามาแคว้นเย่ว์นั้นยากเกินไป ตอนนั้น…ไม่ใช่เจ้าหรือที่โวยวายจะไปแคว้นหวา” กล่าวได้ว่าที่เว่ยอู๋จี้ไปแคว้นหวาในตอนนั้นก็เพื่อปกป้ององค์ชายหรงจิ่น แม้ว่าสุดท้ายจะรู้ว่าหรงจิ่นไม่ได้ต้องการการปกป้องจากเขาเลยสักนิด
“แต่ว่าก็ต้องขอบคุณคุณชายกู้เป็นอย่างมาก ในแคว้นหวานับว่าคุณชายกู้ได้พลิกแพลงสถานการณ์ได้อย่างน่าทึ่ง” เว่ยอู๋จี้ยิ้มเอ่ยเสียงเบาพร้อมจับจ้องมู่ชิงอี เมื่อรู้ถึงตัวตนของมู่ชิงอี เว่ยอู๋จี้ก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้นไปอีก ตั้งแต่ต้นจนจบ ทุกอย่างเป็นเพียงแผนการของเด็กสาวอายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเท่านั้น แม้แต่กู้ซิ่วถิงและมู่หรงซีก็เพิ่งมาเข้าร่วมในภายหลัง ความเฉลียวฉลาดเจ้าวางแผนเช่นนี้ แม้แต่เว่ยอู๋จี้เองก็ไม่กล้าพูดออกมาได้ว่าตนสามารถวางแผนการที่เยี่ยมยอดขนาดนี้ได้
มู่ชิงอียกมือคำนับ ยิ้มเอ่ยอย่างถ่อมตน “แค่บังเอิญโชคดีเท่านั้น”
เว่ยอู๋จี้ส่ายหน้า “ไม่มีใครบังเอิญโชคดีได้ตลอดไป” หากที่แคว้นหวาเป็นความโชคดีโดยบังเอิญ เช่นนั้นการวางแผนฆ่าหรงหวงที่เมืองเผิง ทำเอายอดฝีมือในยุทธภพต้องตกที่นั่งลำบาก นั่นก็นับว่าบังเอิญโชคดีอย่างนั้นหรือ การที่ได้นั่งตำแหน่งผู้ว่าการเฟิ่งเทียนอย่างมั่นคงตั้งแต่ตอนที่อายุไม่ถึงสิบห้าปีในขณะที่ขุนนางเก่าแก่ที่อยู่ในราชสำนักมาหลายสิบปีก็ไม่แน่ว่าจะทำได้ก็นับว่าเป็นความโชคดีโดยบังเอิญอย่างนั้นหรือ ในขณะที่หลีกเลี่ยงความขัดแย้งก็สามารถทำให้พรรคพวกของตวนอ๋องและพรรคพวกของจวงอ๋องต้องพ่ายแพ้ทั้งสองฝ่ายก็นับว่าเป็นความโชคดีโดยบังเอิญอย่างนั้นหรือ
ตอนนี้เว่ยอู๋จี้เริ่มจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดหรงจิ่นจึงไม่ได้เลี้ยงผู้ช่วยไว้มากมายเหมือนองค์ชายคนอื่นๆ ไม่ต้องพูดถึงว่าตัวหรงจิ่นเองนั้นฉลาดเกินคน เมื่อมีมู่ชิงอีแล้วหรงจิ่นก็ไม่ต้องการใครอีกแล้ว แม้กระทั่งสิ่งที่ท่านพ่อทำลงไปเหล่านั้น ในสายตาของหรงจิ่นเกรงว่าจะเป็นเพียงส่วนเกินด้วยซ้ำ
มู่ชิงอีแค่อมยิ้มไม่ได้ตอบกลับอะไร หรงจิ่นดึงมู่ชิงอีมานั่งกับตัวเองอย่างเปิดเผย พูดด้วยใบหน้าภาคภูมิใจว่า “จื่อชิงของข้าเป็นสิ่งที่คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้อย่างนั้นหรือ”
หลิงซูที่นั่งอยู่ถัดจากเว่ยอู๋จี้มองดูทั้งสองคนที่นั่งข้างกันด้วยความแปลกใจ ในฐานะหมอนางย่อมได้เห็นสิ่งแปลกๆ มากมาย ได้เห็นบุรุษที่รักร่วมเพศมาไม่น้อย แต่ไม่เคยเห็นคนที่ท่าทางสบายๆ เป็นอิสระเหมือนสองคนนี้มาก่อน เมื่อมองไปที่ใบหน้าของกู้หลิวอวิ๋นภายใต้แสงเทียนนั้นดูงดงามยิ่งกว่าสตรีเสียอีก สีหน้าของหลิงซูยิ่งดูแปลกใจมากขึ้นกว่าเดิม
“คุณชาย มู่หรงอวี้จะชี้ตัวตวนอ๋องในศาลอย่างว่าง่ายจริงๆ น่ะหรือ” หลิงซูมุ่นคิ้วถาม
เว่ยอู๋จี้ยิ้มเอ่ย “ขอเพียงแค่ได้หลักฐานที่เขาพูดถึงมา เขาจะชี้ตัวหรือไม่ชี้ตัว หรือจะเพิกถอนคำสารภาพในชั้นศาลแล้วจะทำอะไรได้ คาดว่าใต้เท้ากู้ย่อมต้องมีวิธีอย่างแน่นอน”
มู่ชิงอีมุ่นคิ้วยิ้มบางเอ่ย “ย่อมเป็นเช่นนั้น ยิ่งไปกว่านั้นในเวลานี้…ข้าไม่ได้บังคับให้เขายอมรับผิดด้วยการทรมาน ไม่นับว่าเป็นการใส่ร้ายเขาหรอกกระมัง”
แน่นอนว่าไม่ใช่การใส่ร้าย เพียงแต่ว่ามู่หรงอวี้แค่เป็นคนที่โชคร้ายที่สุดก็เท่านั้น แต่คนที่โชคร้ายเหมือนกับเขาก็ใช่ว่าจะไม่มีไม่ใช่หรือ
หรงจิ่นขมวดคิ้ว มองเว่ยอู๋จี้อย่างเหลืออดเอ่ย “ไม่มีเรื่องอันใดแล้ว เหตุใดพวกเจ้ายังไม่ไปอีก”
เว่ยอู๋จี้ระอาใจ ก่อนจะมองออกไปด้านนอกประตู “ข้าจำได้ว่าที่นี่คือที่ว่าการเฟิ่งเทียนไม่ใช่จวนอวี้อ๋อง” แม้ว่าจะพูดเช่นนี้ แต่เว่ยอู๋จี้ก็ลุกขึ้นแล้วกล่าวลา เพียงแต่มองไปยังใบหน้าเหลืออดของหรงจิ่น ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “หากมีเวลาก็ไปนั่งเล่นสักหน่อย ช่วงหลายวันมานี้ร่างกายของเขาไม่ค่อยจะดี”
แม้ว่าจะไม่ได้บอกชัดเจนว่าไปไหน แต่หรงจิ่นกับมู่ชิงอีย่อมเข้าใจว่าเขาพูดถึงอะไร เพียงแต่ว่าตอนนั้นหรงจิ่นสีหน้านิ่งเฉย ไม่ได้ตอบกลับ มู่ชิงอีมองเว่ยอู๋จี้อย่างจนปัญญา ยิ้มส่งสัญญาณว่านางเองก็ทำอะไรไม่ได้ เว่ยอู๋จี้ก็ไม่ได้รีบร้อน สิ่งต่างๆ ต้องใช้เวลา ใช่ว่าเพียงแค่หนึ่งถึงสองวันจะสำเร็จ หากหรงจิ่นยอมรับความรักและกตัญญูต่อบิดาอย่างว่าง่าย เขาก็คงจะสงสัยว่าหรงจิ่นสมองกระทบกระเทือนหรือไม่
มีเพียงหลิงซูที่ไม่รู้เรื่องอันใดเลย นางขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าเผยให้เห็นความสงสัยและความไม่พอใจอยู่ครู่หนึ่ง ความรู้สึกที่เหมือนถูกปิดบังเช่นนี้ สำหรับสตรีที่เฉลียวฉลาดนับว่าเป็นเรื่องยากที่จะทนได้
“ข้าขอตัวก่อน” เว่ยอู๋จี้โบกมือพลางกล่าวลา
“หลิงซูขอตัว” หลิงซูมองหรงจิ่นและมู่ชิงอี สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร หันหลังแล้วเดินตามเว่ยอู๋จี้ไป
เช้าวันรุ่งขึ้น ศาลที่ว่าการเฟิ่งเทียนเต็มไปด้วยบรรยากาศน่าเคารพยำเกรง ด้านบนของศาลมีขุนนางสามท่านที่เป็นผู้รับผิดชอบสอบสวนคดีวางยาพิษจวงอ๋องนั่งอยู่ ผู้ที่นั่งอยู่ตรงกลางคือเจ้ากรมอาญา ทั้งสองข้างของเจ้ากรมอาญาคือกู้หลิวอวิ๋นผู้ว่าการเฟิ่งเทียนและขุนนางศาลต้าหลี่หนานกงอี้
เจ้ากรมอาญาปีนี้อายุห้าสิบกว่าปีแล้ว อาจเป็นเพราะคดีวันนี้ร้ายแรง ใบหน้าที่เคร่งขรึมยิ่งขมวดแน่นขึ้นกว่าเดิม เมื่อเทียบกับผู้ว่าการหนุ่มและขุนนางศาลต้าหลี่ผู้งดงามที่นั่งอยู่ทั้งสองข้างของเขา ก็ยิ่งทำให้เขาดูชราและไม่สะดุดตามากขึ้นไปอีก
ด้านล่างศาลมีที่นั่งสองแถวซึ่งแตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง มีบรรดาองค์ชายและข้าราชบริพารคนสำคัญนั่งเรียงกันตามลำดับ อย่างไรเสียก็เป็นคดีองค์ชายถูกลอบทำร้าย ผู้ต้องสงสัยอีกคนหนึ่งก็เกี่ยวข้องกับองค์ชาย ย่อมไม่สามารถปล่อยให้ที่ว่าการเฟิ่งเทียนหรือศาลตาหลี่สอบสวนคดีได้ตามอำเภอใจ