เขาหยิบยาใส่กลับเข้าไปในขวดกระเบื้องเหมือนเดิม สายตาชราภาพของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์พลันเฉียบคม ช่างมันเถิด…ให้เราดูว่าพวกเจ้าทำไปถึงไหนแล้ว
ในไม่ช้า ข่าวลับและวิธีลับทุกอย่างก็แพร่กระจายไปยังหูของทุกคนที่ควรรู้เรื่อง
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ทรงยกเลิกพระราชโองการสืบทอดบัลลังก์! วางเอาไว้อยู่หลังป้ายการสถาปนาอำนาจในพระตำหนักชิงเหอ!
ห้องตำราจวนสวินอ๋อง
หรงจังเอนตัวนั่งอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะหนังสือ ความเหนื่อยล้าปรากฏอยู่บนใบหน้าซูบผอม เว่ยอู๋จี้ยืนอยู่ข้างหน้าเขา จ้องมองด้วยความเป็นห่วงเอ่ย “ท่านพ่อ โปรดดูแลสุขภาพด้วยเถิด”
หรงจังสะบัดมือเอ่ย “ข้าไม่เป็นอะไร เรื่องที่เจ้าพูดเป็นความจริงหรือไม่”
เว่ยอู๋จี้มุ่นคิ้วเอ่ย “ข่าวมาจากพระตำหนักชิงเหอ น่าจะเป็นความจริง หากท่านพ่อไม่วางใจ อู๋จี้จะเข้าไปดูในพระราชวังเอง”
“ไม่ต้อง” หรงจังส่ายหน้าเอ่ย “ข่าวนี้แพร่กระจายออกมากะทันหันเกินไป มันอาจเป็นกับดัก แต่… อย่างน้อยมันก็พิสูจน์ให้เห็นว่า ร่างกายของเสด็จพ่อไม่ไหวแล้ว ผ่านมาตั้งหลายปี นี่คงถึงเวลาแล้ว หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าคงไม่รู้…ว่าสุดท้ายแล้ว เขาจะทำให้ข้าตายหรือข้าจะทำให้เขาตายกันแน่ แต่ไม่ว่าอย่างไร…เก้าอี้นั้นต้องเป็นของจิ่นเอ๋อร์ แค่กๆ…” พูดจบ สีหน้าสง่างามของหรงจังก็ดูขมขื่น มีความอาลัยอาวรณ์และเจ็บปวด
“ท่านพ่อ!”
“ไม่เป็นไร” หรงจังพูดอย่างเคร่งขรึม “อาการของจิ่นเอ๋อร์เป็นเช่นใด เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เว่ยอู๋จี้เอ่ยตอบอย่างเคร่งเครียด “อวี้อ๋องถูกวางยาพิษเมื่ออายุแปดชันษา เพื่อชะลอเวลา เขาเคยกินยาชะล้างหยกไปครึ่งเม็ด แต่ปัญหาที่น่ากังวลที่สุดน่าจะเป็นตอนที่เขาถูกนักฆ่าลักพาตัวไปเมื่ออายุสิบสองชันษา ดูเหมือนว่า หลังจากที่เขาหายตัวไปในช่วงเวลาสั้นๆ แค่สองเดือน อวี้อ๋องก็มีวิทยายุทธที่คนธรรมดาฝึกฝนเป็นสิบปีก็เทียบไม่ได้ แต่หลังจากที่อวี้อ๋องกลับมา เขาถึงได้เริ่มป่วยบ่อยขึ้น ทุกๆ หนึ่งเดือน จะมีช่วงหนึ่งที่เขาเจอใครไม่ได้”
“มีทางรักษาหรือไม่” หรงจังถาม
เว่ยอู๋จี้เอ่ยตอบ “ตอนนี้ยังไม่รู้ อวี้อ๋องไม่ยอมให้ใครรักษาเขา ครั้งก่อนหลิงซูเคยจับชีพจรให้เขาแต่ไม่ได้เบาะแสอะไร หลิงซูบอกว่ามีแค่มั่วเวิ่นฉิงที่มีทางออก”
หรงจังพยักหน้าเอ่ย “พักเรื่องนี้ไว้ก่อน รอให้จัดการเรื่องในเมืองหลวงให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยไปตามหามั่วเวิ่นฉิง”
“ท่านพ่อ” เว่ยอู๋จี้พยักหน้าและตอบกลับ “เช่นนั้นท่านพ่อ เรื่องพระราชโองการ เราจะทำเพียงเฝ้ามองสถานการณ์หรือ”
หรงจังส่ายหน้าเอ่ย “ไม่… ตอนนี้อย่าเพิ่งสนใจเรื่องพระราชโองการ เรื่องที่สำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือ… จวนอ๋องและตวนอ๋อง ตราบใดที่จัดการสองคนนี้ได้แล้ว คนอื่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ”
“ท่านพ่อจะ…?”
หรงจังแค่นเสียงหัวเราะ “ถึงเวลาที่ข้าจะได้เห็นความสามารถของสำนักเย่าหวังกู่แล้ว หลิงซูคนนั้น ครั้งนี้คงจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังใช่หรือไม่”
เว่ยอู๋จี้ตกใจ “ท่านพ่อหมายความว่า ใช้ยาพิษหรือ”
“วิธีไม่กลัวใช้บ่อย แค่มีประโยชน์ก็พอ” หรงจังเอ่ยอย่างไม่สนใจ เว่ยอู๋จี้เอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย “เอ่อ… เกรงว่าจวนจวงอ๋องคงจะป้องกันตัวเอง คงจะไม่ง่ายเช่นนั้น” หรงจังหัวเราะเย้ยหยัน “ใครบอกว่าจะโจมตีจวงอ๋อง? ต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม… “
สายตาของเว่ยอู๋จี้มีความแปลกใจ “ท่านพ่อหมายถึง … “
หรงจังพยักหน้า “ไปจัดการเถิด”
เว่ยอู๋จี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายเขาก็พยักหน้าเอ่ย “อู๋จี้รับคำสั่ง”
กลับมาถึงจวนตระกูลเว่ย เว่ยอู๋จี้รู้สึกเยือกเย็นในใจ เขามองออกไปนอกหน้าต่างที่ว่างเปล่าและยิ้มอย่างขมขื่น พี่ชายฆ่าน้องชาย น้องชายฆ่าพี่ชาย บิดาฆ่าลูกชาย ลูกชายฆ่าบิดา…นี่มันเรื่องอันใดกัน
“คุณชาย” มีเสียงอ่อนโยนดังเข้ามาจากนอกประตู หลิงซูยกน้ำชาและของว่างเดินเข้ามา นางหัวเราะอย่างแผ่วเบาเอ่ย “ข้าขอเข้าไปได้หรือไม่”
เว่ยอู๋จี้รีบเก็บสีหน้าของตัวเองทันที กลับมาเป็นคุณชายเว่ยที่ดูเหมือนควบคุมทุกอย่างอีกครั้ง เขาเหลือบมองไปที่ประตู แล้วเอ่ยเนิ่บนาบ “เข้ามาสิ”
หลิงซูเดินเข้ามาในห้องตำรา วางน้ำชาและของว่างไว้บนโต๊ะด้านหน้าเว่ยอู๋จี้พลางหัวเราะอย่างอ่อนโยน “ช่วงนี้คุณชายอารมณ์ไม่ดีหรือ ทำไมถึงเหม่อลอยอยู่ในห้องตำราคนเดียวเล่า”
เว่ยอู๋จี้มองดูนางวางน้ำชาและของว่างอย่างเฉยเมย ราวกับมองภรรยาที่เพียบพร้อมก็ไม่ปาน แต่ในแววตาของเขากลับดูเฉยเมย “เรื่องพวกนี้ บอกให้คนบ่าวใช้ทำก็ได้ ทำไมเจ้าถึงนำมาเอง”
หลิงซูแย้มยิ้ม มองไปที่เว่ยอู๋จี้เอ่ย “หลิงซูแค่อยากจะทำอะไรให้คุณชายบ้าง ตั้งแต่…หกปีก่อนที่เจอกับคุณชาย หลิงซูก็…ตอนนี้ในที่สุดก็ได้อยู่เคียงข้างคุณชาย หลิงซูมีความสุขยิ่งนัก”
เว่ยอู๋จี้มองนางเอ่ย “เจ้าเป็นถึงผู้อาวุโสของสำนักเย่าหวังกู่ มีสถานะสูงส่ง อยู่กับข้ามีแต่จะทำให้เจ้าลำบาก”
แววตาของหลิงซูหม่นหมองลง พูดขึ้นด้วยความเสียใจ “คุณชายไม่ชอบหลิงซูหรือ หลิงซูหน้าด้าน คุณชายจึงไม่โปรดปราน? ข้าไม่สนใจตำแหน่งผู้อาวุโสของสำนักเย่าหวังกู่ แล้วก็ไม่สนใจชื่อเสียงอะไรทั้งนั้น หากไม่ใช่เพราะข้าอยากช่วยแบ่งเบาภาระคุณชาย…เดิมทีหลิงซูคงไม่ต้องการชื่อเสียงพวกนั้น”
ในตอนนั้นหลิงซูเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดา ออกมาฝึกฝนนอกสำนักครั้งแรกก็ได้รับความช่วยเหลือจากเว่ยอู๋จี้ ตั้งแต่นั้นมานางก็ปักใจที่คุณชายเว่ย รู้ว่าคุณชายเว่ยมีความทะเยอทะยาน มีแผนการยิ่งใหญ่ นางจึงไม่ยอมกลับสำนัก พยายามทำให้ตัวเองได้รับฉายามืออันบริสุทธิ์ของพระแม่กวนอิม หลังจากกลับมาถึงสำหนักเย่าหวังกู่ มีอำนาจในสำหนักเย่าหวังกู่ ถึงขั้นหลอกใช้ซู่เวิ่นที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของตัวเอง ไล่มั่วเวิ่นฉิงที่ควบคุมยากออกไป แล้วยังทำให้เลือดเนื้อเชื้อไขคนเดียวของอดีตเจ้าสำนักต้องตาย ทำให้สายเลือดตระกูลมั่วของสำนักเย่าหวังกู่หายไปจากโลกใบนี้
หลิงซูเป็นผู้หญิงฉลาด นางรู้จุดอ่อนของมนุษย์ ถึงอย่างนั้นนางก็เป็นสตรีที่ทะนงตน นางไม่ได้เอาแต่พึ่งพาเว่ยอู๋จี้เหมือนเชียนหลิง ดูเหมือนได้รับความโปรดปราน แต่ความจริงแล้วกลับสามารถถูกทอดทิ้งได้ตลอดเวลา นางอยากเป็นคนที่เว่ยอู๋จี้ขาดไม่ได้ หลายปีที่ผ่านมา นางใช้สายสัมพันธ์ของตัวเองขยายอำนาจของเว่ยอู๋จี้ แล้วยังแอบรายงานกลุ่มนักฆ่าหันเสวี่ยโหลว แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงครั้งนี้ นางก็ทำได้อย่างไร้ที่ติ ตอนนี้จวงอ๋องถูกวางยาพิษ ถึงแม้จะมีชีวิตรอดมาได้ แต่เขาก็ไม่มีวันรักษาให้หายขาด ตวนอ๋องกลายเป็นผู้ต้องสงสัยว่าแอบฆ่าพี่ชายของตัวเอง เขาไม่มีทางแก้ตัวได้
เว่ยอู๋จี้มองดูหลิงซูด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเอ่ย “ที่ผ่านมา ลำบากเจ้าแล้ว…” หลิงซูแอบดีใจ กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ก็มีเสียงอ่อนหวานของเชียนหลิงดังขึ้นมาทางประตู “อู๋จี้ เจ้า…ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่เล่า”
เสียงนุ่มนวลราวกับสายน้ำในเดิมที แปรเปลี่ยนเป็นเสียงหวีดแหลมเมื่อเห็นผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเว่ยอู๋จี้ เชียนหลิงมองไปที่หลิงซูด้วยสีหน้าซีดเซียว กำมือที่ถือถาดแน่น นิ้วเรียวยาวราวกับหยกพลันซีดขาว
หลิงซูก้มหน้าลง เอ่ยอย่างไม่แยแส “แม่นางเชียนหลิง เจ้าก็นำน้ำชาและของว่างมาให้คุณชายหรือ”
จากนั้นเชียนหลิงก็เห็นน้ำชาและของว่างที่วางอยู่บนโต๊ะหน้าเว่ยอู๋จี้ แค่ดูก็รู้ว่ามันไม่ใช่ของว่างที่แม่ครัวในจวนเป็นคนทำ เห็นได้ชัดว่าหลิงซูเป็นคนทำเอง เชียนหลิงกัดริมฝีปากตัวเองเบาๆ สีหน้าของนางซีดราวกับกระดาษ หลิงซูคิดเช่นไรกับเว่ยอู๋จี้ไม่ต้องบอกก็รู้ ตอนนี้ หลิงซูคือสตรีที่ทำให้นางรู้สึกระแวงมากที่สุดแล้ว