หน้าตานางไม่ได้แย่ไปกว่าตัวเอง แล้วหลิงซูยังเป็นหมอเทพธิดาที่มีชื่อเสียง เป็นผู้อาวุโสของสำนักเย่าหวังกู่ นางสามารถช่วยเว่ยอู๋จี้ในเรื่องที่คนเคยเป็นสาวใช้มาก่อนอย่างนางไม่มีทางทำได้ ดังนั้น เว่ยอู๋จี้จึงให้ความสำคัญกับนาง ครั้งนี้เขาถึงขั้นให้นางเข้ามาอยู่ในจวน ถึงแม้เว่ยอู๋จี้จะเคยอธิบายเหตุผลให้ฟังแล้ว แต่นางก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ
“อู๋จี้…”
เว่ยอู๋จี้ขมวดคิ้ว เขามองดูผู้หญิงสองคนที่เผชิญหน้ากัน ในสายตาของเขาปรากฏความเอือมระอา
“เชียนหลิง เข้ามาเถิด”
เชียนหลิงกัดริมฝีปากเดินเข้ามา วางสิ่งของในมือลงบนโต๊ะอย่างเบามือ จากนั้นก็กล่าวอย่างลำบากใจ “ได้ยินมาว่าช่วงนี้เจ้าไม่ค่อยทานอะไร ข้าจึงไปทำซุปที่เจ้าชอบมาให้”
เว่ยอู๋จี้พยักหน้าเบาๆ “ลำบากเจ้าแล้ว วางไว้เถิด”
เชียนหลิงวางลง มองดูพวกเขาสองคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกไปดี นางไม่รู้เรื่องของเว่ยอู๋จี้ ครั้งก่อนที่นางเข้าไปยุ่งก็ถูกเว่ยอู๋จี้ตบหน้า นางจึงมองเว่ยอู๋จี้ด้วยความหวาดกลัวเอ่ย “เจ้า…กับแม่นางหลิงซูมีเรื่องสำคัญต้องคุยกันหรือ”
หลิงซูยิ้มเอ่ย “ใช่ หลิงซูมีเรื่องจะปรึกษาคุณชาย เกรงว่าคงต้องใช้เวลาสักครู่หนึ่ง แม่นางเชียนหลิงมีเรื่องอันใดหรือไม่”
เชียนหลิงเหลือบมองนางด้วยความไม่พอใจ เบะปากเอ่ย “เรื่องแต่งงาน ยังต้องปรึกษากับอู๋จี้ หากแม่นางหลิงซูมีเวลา ไม่สู้ปรึกษาด้วยกันดีหรือไม่”
ได้ยินเช่นนี้ สีหน้าที่อ่อนโยนของหลิงซูก็กระตุก สายตาของนางมีความเสียดแทง ไม่ว่าเช่นไร เชียนหลิงก็เป็นคู่หมั้นที่เว่ยอู๋จี้เปิดเผยต่อสาธารณะ เรื่องนี้ นางชนะตน ถึงแม้จะยังไม่ได้แต่งงานแต่เชียนหลิงก็เป็นนายหญิงของจวนตระกูลเว่ยไปแล้ว
เว่ยอู๋จี้ขมวดคิ้วเอ่ย “เชียนหลิง เจ้ากลับไปก่อนเถิด เดี๋ยวข้าไปหาเจ้าเอง ข้ามีเรื่องจะปรึกษากับหลิงซู”
ร่างกายที่บอบบางของเชียนหลิงสั่นเทา นางน้ำตาคอลเบ้า รีบก้มหน้าลงแล้วเอ่ยเสียงเบา “เจ้าค่ะ” ด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น จากนั้นก็หันหลังวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
บรรยากาศในห้องพลันเงียบสงัด แต่ความเงียบนี้กลับทำให้หลิงซูไม่สบายใจ “คุณชาย… “ นางรู้ว่าเมื่อครู่นี้ที่นางโต้ตอบเชียนหลิงนั้นดูหยิ่งผยองเกินไป เว่ยอู๋จี้ต้องไม่พอใจแน่นอน แต่สำหรับเชียนหลิง ตนไม่ชอบขี้หน้าจริงๆ นอกจากเมื่อสองสามปีก่อนที่นางบังเอิญมารับดาบของคุณชายอวิ๋นอิ่นให้คุณชาย นางก็ไม่มีความสามารถอะไรเลย แต่กลับได้เป็นคู่หมั้นของคุณชายเว่ย!
เว่ยอู๋จี้เหลือบมองนางอย่างเฉยเมย “ควรทำอะไรให้พอเหมาะพอควร เชียนหลิงเป็นคู่หมั้นของข้า”
“เจ้าค่ะ” หลิงซูสีหน้าหม่นหมอง นางตอบกลับเบาๆ แต่กลับแอบบ่นในใจ ไม่ว่านางจะทุ่มเทแค่ไหนก็สู้เชียนหลิงไม่ได้เช่นนั้นหรือ
เว่ยอู๋จี้เอ่ย “ข้ามีเรื่องจะปรึกษาเจ้าจริงๆ”
แววตาของหลิงซูเป็นประกาย การที่เว่ยอู๋จี้สั่งให้นางทำอะไรเพื่อเขาทำให้นางรู้สึกสบายใจ เพราะมันทำให้นางได้รู้สึกว่าเว่ยอู๋จี้ต้องการนาง “คุณชายมีเรื่องอันใด”
เว่ยอู๋จี้ไม่ได้รีบกล่าว เขามองออกไปนอกหน้าต่าง “ยอดฝีมือท่านใด ในเมื่อมาแล้ว เหตุใดถึงไม่ยอมปรากฏตัว”
ทันใดนั้นก็มีชายชุดขาวลอยตัวลงมากลางลาน มองออกไปนอกหน้าต่างที่เปิดอยู่ก็เห็นชายชุดขาวยืนอยู่กลางลานนอกประตูด้วยสีหน้าเย็นชาและสายตาเยือกเย็น หลิงซูสูดลมหายใจเข้าแล้วเอ่ยเบาๆ “เจ้าสำนัก!”
เว่ยอู๋จี้หรี่ตาลงแล้วเอ่ยด้วยท่าทางนิ่งสงบ “ที่แท้ก็คือเจ้าสำนักมั่ว ข้าไม่ได้ออกมาต้อนรับ โปรดอย่าได้ถือสากันเลย”
มั่วเวิ่นฉิงยืนเอามือไขว้หลัง เหลือบมองหลิงซูด้วยสีหน้าที่เย็นชา “เจ้าจะออกมาหรือจะให้ข้าเข้าไป”
หลิงซูกัดริมฝีปากตัวเอง ริมฝีปากสีแดงของนางราวกับซีดเซียวลง ในดวงตาสุกใสแฝงไว้ด้วยความหวาดกลัว ถึงแม้จะมีฉายามืออันบริสุทธิ์ของพระแม่กวนอิม ถึงแม้ทักษะการใช้ยาพิษและวิทยายุทธของนางจะไม่ธรรมดา แต่นางก็ยังกลัวมั่วเวิ่นฉิงโดยสัญชาตญาณ นิสัยที่เย็นชาของมั่วเวิ่นฉิงไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น หากนางไม่ออกไป มั่วเวิ่นฉิงคงกล้าวางยาพิษคนทั้งจวนตระกูลเว่ย
เว่ยอู๋จี้หรี่ตาลงแล้วเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ไม่ทราบว่าเจ้าสำนักมั่วมาที่นี่ มีเรื่องอันใด หากทำให้แม่นางหลิงซูลำบากใจ ตอนนี้แม่นางหลิงซูเป็นแขกของข้า เจ้าสำนักมั่วโปรดระวังด้วย”
แต่มั่วเวิ่นฉิงกลับไม่มีอารมณ์โต้ตอบเว่ยอู๋จี้ เขายกมือขึ้นเบาๆ กำลังจะลงมือ หลิงซูรีบเอ่ยขัด “เจ้าสำนัก โปรดฟังข้าก่อน!”
ถึงแม้หลิงซูจะรู้ว่าวิทยายุทธของเว่ยอู๋จี้แข็งแกร่งกว่ามั่วเวิ่นฉิง แต่การใช้ยาพิษที่ไม่มีใครเทียบได้ของมั่วเวิ่นฉิงกลับทำให้นางกดดัน ปรมาจารย์ด้านยาพิษที่มีฝีมือการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง นอกจากต้องฆ่าเขาให้ได้ในทันที ไม่เช่นนั้นก็ไม่ควรยั่วโมโหเขา แม้แต่หรงจิ่นยังไม่อยากยั่วโมโหมั่วเวิ่นฉิง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงหลิงซู
มั่วเวิ่นฉิงนิ่งเงียบ เขามองนางอย่างเย็นชา หลิงซูกัดริมฝีปากแล้วเดินออกไปจากห้องหนังสือ มองดูมั่วเวิ่นฉิงที่ยืนอยู่กลางลานเอ่ย “ไม่ทราบว่าเจ้าสำนักมีเรื่องอันใดให้ข้ารับใช้อย่างนั้นหรือ”
มั่วเวิ่นฉิงเอ่ย “ข้าไม่ใช่เจ้าสำนักเย่าหวังกู่แล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องเรียกข้าเช่นนี้ มู่หรงอวี้ตายไปแล้ว แต่ทำไมเจ้าถึงยังไม่ตาย”
“หรือว่าเจ้าสำนักมาที่นี่เพราะเรื่องของมู่หรงอวี้” หลิงซูถามด้วยความฉงน
มั่วเวิ่นฉิงยืนเอามือไขว้หลัง “มู่หรงอวี้เป็นสายเลือดเดียวของท่านพ่อ ถึงแม้เขาสมควรตาย และเขาก็ตายแล้ว ข้าย่อมต้องแก้แค้นให้เขา”
สีหน้าของหลิงซูเปลี่ยนไป นางฝืนยิ้ม “เจ้าสำนักจะแก้แค้นเขา เจ้าสำนักก็ควรไปหากู้หลิวอวิ๋นกับหนานกงอี้ไม่ใช่หรือ”
“เจ้าไม่ต้องแก้ตัว” แววตาของมั่วเวิ่นฉิงดูเรียบเฉย แต่หลิงซูกลับรู้สึกว่าเขามองนางออกเลยรู้สึกหวาดกลัวในใจ จากนั้นก็ได้ยินมั่วเวิ่นฉิงเอ่ยว่า “ใช่ว่าข้าจะไม่รู้เรื่องที่เจ้าทำ แต่ข้าแค่ไม่อยากสนใจ”
หลิงซูยิ้มอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก นางมองไปที่มั่วเวิ่นฉิงด้วยสายตาเย้ยหยันเอ่ย “เช่นนั้นก็หมายความว่า เจ้าสำนักรู้เรื่องการตายของมู่หรงอวี้เช่นนั้นหรือ ที่จริงแล้วท่านก็ไม่ชอบหน้ามู่หรงอวี้ อยากให้เขาตาย ตอนนี้ท่านมาหาข้าก็เพื่อแก้นแค้นให้อดีตเจ้าสำนักแค่นั้น?”
มั่วเวิ่นฉิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่ได้ปฏิเสธ พยักหน้ารับ “ใช่”
“เช่นนั้นท่านคงไม่ต่างอะไรกับข้า” หลิงซูกัดฟัน
มั่วเวิ่นฉิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ไม่ต่าง? ข้าอยากฆ่าเจ้า หากเจ้ามีความสามารถ เจ้าก็มาฆ่าข้าได้เช่นกัน”
หลิงซูรู้สึกผิดหวัง นางน่าจะรู้ว่าคนอย่างมั่วเวิ่นฉิง ไม่ว่าจะยั่วยุเขาหรือขอร้องเขาเช่นใดก็คงไร้ประโยชน์ นางไม่อยากเป็นศัตรูกับมั่วเวิ่นฉิงจึงต้องสู้สุดชีวิต
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าสำนักโปรดให้คำแนะนำ แต่หลิงซูหวังว่าเจ้าสำนักจะไม่ทำร้ายคนในจวนตระกูลเว่ย” หลิงซูเอ่ย ความเชี่ยวชาญด้านการใช้ยาพิษของมั่วเวิ่นฉิงนางรู้ดี หากไม่ใช่เพราะมั่วเวิ่นฉิงไม่ใช่คนที่ชอบใช้ทำอะไรลับหลัง เขาสามารถแอบเข้ามาวางยาพิษให้คนในจวนตระกูลเว่ยสลบ ถึงตอนนั้นไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องเดินเข้ามาฆ่านาง ถึงแม้จะฆ่าคนทั้งจวนตระกูลเว่ยก็ไม่มีใครรู้