มั่วเวิ่นฉิงพยักหน้าอย่างเยือกเย็น ถือว่าเห็นด้วยกับสิ่งที่นางพูด
“เดี๋ยวก่อน” เว่ยอู๋จี้เดินออกมาจากห้องหนังสือ มองไปที่มั่วเวิ่นฉิงเอ่ย “เจ้าสำนักมั่ว ถึงแม้เจ้าสำนักมั่วจะเป็นแขก แต่ไม่เห็นหัวเจ้าของบ้านอย่างข้านั้นเกินไปหรือไม่ ไม่สู้มาประลองกันก่อน?”
“คุณชาย…” หลิงซูกังวล แต่ในใจกลับรู้สึกท่วมท้นไปด้วยความสุข เว่ยอู๋จี้ยอมออกมาช่วยนาง ถึงแม้นางจะเป็นห่วงความปลอดภัยของเขา แต่นางก็อดดีใจไม่ได้ “เจ้าสำนัก หลิงซูรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่าน แต่หากต่อสู้พร้อมกันกับคุณชายเว่ย เกรงว่าท่านก็คงไม่มีโอกาสชนะกระมัง เหตุใดเจ้าสำนักต้องยอมพ่ายแพ้ทั้งสองฝ่ายเพื่อมู่หรงอวี้แค่คนเดียว”
มั่วเวิ่นฉิงมองไปที่เว่ยอู๋จี้ “เจ้าเป็นสหายของกู้หลิวอวิ๋น?”
เว่ยอู๋จี้พลันงุนงง เขาไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ มั่วเวิ่นฉิงถึงถามเช่นนี้ แต่ก็ตอบกลับอย่างรวดเร็ว เขาพยักหน้าเอ่ย “ข้าเป็นสหายของกู้หลิวอวิ๋น”
มั่วเวิ่นฉิงเอ่ย “เอาล่ะ เห็นแก่กู้หลิวอวิ๋น ครั้งนี้ข้าจะไม่เอาความ แต่ว่า… ยกเว้นโทษตาย แต่ต้องตายทั้งเป็น!”
มั่วเวิ่นฉิงตบหน้าหลิงซูที่อยู่ไม่ไกล หลิงซูกำลังจะหลบโดยสัญชาตญาณ แต่ไม่รู้ว่าทำไมกลับรู้สึกอ่อนแรง แม้แต่ขยับก็ขยับไม่ได้ ทำได้เพียงมองดูมั่วเวิ่นฉิงตบตัวเอง
หากมั่วเวิ่นฉิงตบหลิงซูจริงๆ นางต้องตายแน่นอน แต่เขากลับเปลี่ยนฝ่ามือเป็นนิ้วมือ แตะบนตัวหลิงซูอย่างรวดเร็วสองสามครั้ง หลิงซูกรีดร้องก่อนจะล้มลงกับพื้น เลือดซึมไหลออกมาจากริมฝีปากที่ซีดเซียว “ท่าน…ท่านทำลายวิทยายุทธของข้า…ท่านใช้ยาพิษอะไร…” สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ไม่มีกำลังภายในปกป้องตัวเอง เมื่อครู่นางได้กลิ่นหอม ถึงแม้ตอนนี้จะไม่รู้สึกอะไรแต่หลิงซูรู้ว่าตัวเองสูดดมยาพิษบางอย่างเข้าแล้ว
“สังหารหงเหยียน” มั่วเวิ่นฉิงกล่าวตอบ
“มัน…มันคืออะไร” ถึงแม้ไม่เคยได้ยิน แต่แค่ได้ฟังชื่อ หลิงซูก็คาดเดาออกว่ามันต้องไม่ใช่ยาพิษธรรมดาแน่นอน มั่วเวิ่นฉิงกลับไม่ตอบนาง เขาหันหลังแล้วหายตัวไปจากลานทันที
เว่ยอู๋จี้ยืนอยู่ข้างๆ มองดูหลิงซูที่นั่งอยู่บนพื้นอย่างเฉยเมย การที่มั่วเวิ่นฉิงไว้ชีวิตหลิงซู คือความเมตตาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เขาแค่อยากให้หลิงซูมีชีวิตอยู่ ไม่จำเป็นต้องมีวิทยายุทธ คนที่มีวิทยายุทธที่แข็งแกร่งเหมือนหลิงซูนั้นถึงแม้เขาจะมีคนเช่นนี้ไม่มากแต่ก็มีไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อมั่วเวิ่นฉิงยอมถอยหลัง เขาก็ต้องถอยหลังเช่นกัน ไม่เช่นนั้น หากทำให้มั่วเวิ่นฉิงไม่พอใจจริงๆ คงจะลำบาก ต่อไปยังต้องขอร้องให้มั่วเวิ่นฉิงช่วยรักษาอาการของหรงจิ่น ทำให้เขาไม่พอใจเพียงเพราะหลิงซูคนเดียวย่อมไม่คุ้มเสีย
“เจ้าเป็นเช่นใดบ้าง” เว่ยอู๋จิ้ก้มหน้าถามนาง
หลิงซูกัดริมฝีปากตัวเอง ดวงตาแดงก่ำ ฝึกฝนมานานกว่ายี่สิบปี หลิงซูภาคภูมิใจในวิทยายุทธของตัวเองมาโดยตลอด ถึงแม้จะไม่ใช่ยอดฝีมือแต่ในบรรดาสตรีบนโลกใบนี้ วิทยายุทธของนางถือว่าไม่ธรรมดา แต่ตอนนี้มันกลับหายไปราวกับน้ำไหล “คุณชาย…ข้า…”
เว่ยอู๋จี้ถอนหายใจ พยุงนางขึ้นมา “ไม่มีวิทยายุทธก็ไม่เป็นไร ด้วยนิสัยของมั่วเวิ่นฉิง ผ่านวันนี้ไปเขาคงไม่มาหาเรื่องเจ้าอีกแล้ว หากไม่เป็นเช่นนี้ ต่อไปเราคงต้องคอยระวังเขาไปตลอด”
หลิงซูพูดอย่างเชื่อฟัง “ข้ารู้ คุณชาย…รังเกียจหลิงซูหรือไม่”
เว่ยอู๋จี้ยิ้มเอ่ย “ข้าจะรังเกียจเจ้าได้เช่นไร เจ้าคิดว่าที่ข้าให้ความสำคัญกับเจ้า เพราะวิทยายุทธของเจ้าเช่นนั้นหรือ” ได้ยินดังนั้นหลิงซูก็ยิ้มหน้าบาน “ข้ารู้ว่าคุณชายดีกับข้ามาก”
เว่ยอู๋จี้ยิ้มอย่างแผ่วเบาแต่ไม่ตอบอะไร แน่นอนว่าเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับวิทยายุทธของหลิงซู เขาแค่ให้ความสำคัญกับอำนาจในสำนักเย่าหวังกู่ของหลิงซูและวิชาใช้ยาพิษของนางก็แค่นั้น
หลิงซูพิงเว่ยอู๋จี้ ถึงแม้จะมีรอยยิ้มอ่อนโยนแต่ในดวงตากลับแฝงความเศร้าสร้อย คุณชายพูดถูก ด้วยความเย่อหยิ่งของมั่วเวิ่นฉิง เขาแก้แค้นนางแล้วต่อไปก็ไม่มีทางทำอะไรนางอีกแน่นอน แต่เพราะเช่นนี้ นางจึงคิดว่ามั่วเวิ่นฉิงคงไม่ปล่อยนางไปง่ายดายเช่นนี้แน่นอน พิษสังหารหงเหยียน…คืออะไรกันแน่ ไม่สิ นางสู้มั่วเวิ่นฉิงไม่ได้แต่นางก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขา แค่ให้เวลานาง นางต้องรู้และต้องปรุงยาถอนพิษได้แน่นอน!
มู่หรงอวี้ตายไปแล้ว เซี่ยซิวจู๋เทสุราเข้าปากแล้วบีบคอเขาจนหัก ถึงแม้มั่วเวิ่นฉิงจะมาตรวจสอบด้วยตัวเอง แต่เขาก็ต้องยอมรับว่ามู่หรงอวี้ตายไปแล้วจริงๆ คนที่เคยสูงส่งและมีความทะเยอทะยานเช่นนี้ ซ้ำเคยเป็นคนที่จะได้ครองบัลลังก์แคว้นหวา แต่สุดท้ายกลับตายในคุกมืดมิดของที่ว่าการเฟิ่งเทียนเงียบๆ แม้แต่ใครเป็นฆาตกรก็ไม่รู้ คนที่มีอำนาจในเมืองหลวงล้วนแต่ทำเป็นเหมือนกับว่าเมืองหลวงแคว้นเย่ว์ไม่เคยมีคนที่มีนามว่าอานซุ่นจวิ้นอ๋อง มีแค่จวนอานซุ่นจวิ้นอ๋องที่ถอดป้ายชื่อจวนออกไปแล้ว ในฐานะภรรยาของอานซุ่นจวิ้นอ๋องอย่างผิงหูจวิ้นจู่ก็อาจนึกถึงสามีที่เพิ่งแต่งงานไปได้ไม่นานก็เสียชีวิตเป็นครั้งคราว
แต่การตายของมู่หรงอวี้กลับไม่สามารถขจัดกระแสน้ำและเปลวไฟที่กำลังถาโถมเข้ามาในเมืองหลวงได้ การถอนตัวของฉินอ๋อง ความขัดแย้งระหว่างตวนอ๋องและจวงอ๋องที่กำลังจะสงบลงก็กลับมาเปิดเผยต่อสาธารณะอีกครั้ง ถึงแม้หรงเยี่ยนและหรงเซวียนจะถูกกักบริเวณ หรงเซวียนป่วยติดเตียง แต่จวงอ๋องก็ไม่มีทางยอมแพ้ตวนอ๋อง เพราะมีตระกูลหนานกงคอยสนับสนุน จวงอ๋องจึงยังได้เปรียบ
ทุกวันในราชสำนักต้องมีตระกูลที่ถูกกวาดล้าง ต้องมีคนเสียชีวิต ทำให้จวงอ๋องและตวนอ๋องที่เคียดแค้นราวกับลืมไปว่าราชสำนักไม่ใช่สถานที่ที่พวกเขาจะฆ่าใครก็ได้ตามอำเภอใจ และฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ที่ควรจะหยุดเรื่องทุกอย่างนี้ กลับทำเป็นมองไม่เห็นจึงทำให้คนที่อยากลองสู้มีความกล้าหาญมากขึ้น
และในฐานะผู้ว่าการเฟิ่งเทียนอย่างมู่ชิงอี ถึงแม้จะรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้อย่างชัดเจน แต่นางก็ยังมองดูห่างๆ อย่างสบายใจ ทำให้หลายคนที่กำลังวางแผนทุกอย่างอย่างหวาดระแวงรู้สึกอิจฉา
“คุณชาย ใต้เท้าหนานกงมาเยี่ยมเจ้าค่ะ” ในสวนหลังลานของจวนตระกูลกู้ มู่ชิงอีสวมเสื้อคลุม เอนตัวอยู่ใต้ต้นไม้และเงยหน้ามองยอดไม้ที่เพิ่งงอกออกมา หั่วเอ๋อร์นอนอยู่บนตักของนาง กระดิกหางไปมาอย่างเกียจคร้าน
“หนานกงอี้?” มู่ชิงอีเลิกคิ้ว
ฮั่วซูพยักหน้า “เจ้าค่ะ”
ก้มหน้าลงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง มู่ชิงอีก็พยักหน้าเอ่ย “เชิญใต้เท้าหนานกงเข้ามาเถิด”
หลังจากนั้นไม่นาน หนานกงอี้ก็เดินตามฮั่วซูเข้ามา เห็นมู่ชิงอีนั่งหลับตาอยู่ใต้ต้นไม้ เขาก็ยิ้มเอ่ย “เมืองหลวงในตอนนี้ เกรงว่าคงไม่มีใครสบายใจไปกว่าใต้เท้ากู้แล้วกระมัง”
มู่ชิงอีลืมตาขั้น อมยิ้มเอ่ย “ใต้เท้าหนานกงพูดเกินไป ข้าก็แค่แอบอู้งาน เชิญนั่งก่อนเถิด”
หนานกงอี้ไม่สนใจบ่าวรับใช้ในลาน เขานั่งลงบนเก้าอี้ทางขวาของมู่ชิงอี มองดูของว่างและน้ำชาที่อยู่ข้างๆ แล้วยังมีสุนัขจิ้งจอกตัวน้อยที่ท่าทีเกียจคร้านบนตักของนาง หนานกงอี้ส่ายหัวพลางยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าไม่ได้พูดเกินไป ในเมืองหลวงตอนนี้…ทุกคนล้วนแต่กังวลว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น คงไม่มีใครสบายใจเหมือนใต้เท้ากู้แล้ว”
เห็นหนานกงอี้หยิบของว่างบนโต๊ะ หั่วเอ๋อร์ก็ร้องด้วยความโมโห ลุกขึ้นมาจากตักของมู่ชิงอีทันที หางชี้ตั้งขึ้นมองไปที่หนานกงอี้ ท่าทีเช่นนั้นไม่เหมือนสุนัขจิ้งจอกแต่กลับเหมือนแมวที่กำลังโกรธเสียมากกว่า