“พ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ ลูกทูลลา” ทุกคนต่างเอ่ยอย่างพร้อมเพรียง
“ไปเถิด” ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เอ่ยเสียงเรียบ หลังจากเหล่าองค์ชายออกไปก็เหลือหรงจิ่นยืนอยู่ข้างเตียงฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เพียงลำพัง
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ขยับตัวพยายามลุกขึ้นนั่ง มองหรงจิ่นแล้วตรัสด้วยรอยยิ้ม “จิ่นเอ๋อร์คงรอวันนี้ รอมานานมากแล้วกระมัง”
ดวงตาของหรงจิ่นผุดแสงประกายพาดผ่าน เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เสด็จพ่อทรงตรัสเกินไปแล้ว ลูกมิบังอาจ”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก้มศีรษะยิ้มบางกล่าว “เจ้าเกลียดเรามาตั้งแต่เด็กแล้วมิใช่หรือ…ไม่สิ เจ้าเกลียดวันนี้ กระทั่งทุกสิ่งทุกอย่างในวังหลวง แต่เรื่องนี้เราไม่โทษเจ้า เป็นเราที่ไม่ดีเอง หลายปีมานี้จิ่นเอ๋อร์ลำบากมากแล้ว”
หรงจิ่นหลุบตาลงโดยไม่พูดอะไร ถึงแม้จะไม่รู้ว่าตกลงแล้วฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ต้องการจะพูดอะไรกันแน่ แต่สัญชาตญาณของหรงจิ่นในเวลานี้บอกว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ที่อ่อนแรงโรยราอันตรายมากจริงๆ ถึงแม้ด้วยวิทยายุทธของเขาแล้วอาจจะไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องอันตรายมากก็ตาม แต่…
“จิ่นเอ๋อร์อย่ากลัวไป พ่อไม่ทำอะไรเจ้าหรอก” ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์พิงหมอนด้านหลังพร้อมมองใบหน้าหล่อเหลาของหรงจิ่นแล้วถอนหายใจตรัส “หากเสด็จแม่ของเจ้ายังอยู่ หากเห็นจิ่นเอ๋อร์ตอนนี้คงดีใจน่าดู จิ่นเอ๋อร์อยากได้ตำแหน่งฮ่องเต้หรือไม่”
หรงจิ่นเอ่ยเสียงเรียบ “เสด็จพ่อจะให้ข้าหรือ”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ส่ายศีรษะกล่าว “ถึงแม้ท่าทีในตอนนี้ของจิ่นเอ๋อร์จะทำให้เราดีใจ แต่เรายังไม่วางใจ จิ่นเอ๋อร์พูดถูก ตอนนั้น…เราเคยคิดจริงๆ ว่าหากวันนั้นมาถึง เราก็จะพาจิ่นเอ๋อร์ไปเจอเสด็จแม่ของเจ้าพร้อมกันด้วย แต่ตอนนี้…” ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ขมวดคิ้ว “จิ่นเอ๋อร์เก่งกว่าที่เราคิดมาก เกรงว่าคงไม่ได้แล้วกระมัง”
หรงจิ่นยกยิ้มเย็นชาที่มุมปาก จากนั้นสีหน้าก็ยิ่งเย็นยะเยือกลงเรื่อยๆ
“เสด็จพ่อทรงรู้ทุกเรื่องจริงๆ” หรงจิ่นจับจ้องฮ่องเต้แคว้นเย่ว์พลางเอ่ยเสียงเรียบ ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เลื่อนสายตาก้มมองแสงจ้าสีแดงที่เล่นแสงในแขนเสื้อแล้วยิ้มตรัส “จิ่นเอ๋อร์อยากฆ่าเราหรือ ความจริง…เราก็ไม่ได้รู้มาตั้งแต่แรกหรอก เพียงแต่หลังจากจิ่นเอ๋อร์กลับจากแคว้นหวามาก็เปลี่ยนไปไม่น้อย เราก็ต้องสืบบ้างว่าอะไรที่ทำให้ลูกของเราเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ แต่มีอีกหลายเรื่องที่เราไม่รู้ จิ่นเอ๋อร์เต็มใจจะบอกเราหรือไม่”
หรงจิ่นสีหน้าเย็นชาดั่งสายน้ำ แววตาเย็นชาที่จับจ้องฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ไร้ซึ่งเยื่อใยใดๆ ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ผ่อนลมหายใจส่ายศีรษะตรัสขึ้นว่า “เอาเถิด หากเจ้าไม่อยากบอกก็ช่างเถิด ถึงอย่างไรเราก็เห็นเจ้าได้อีกไม่กี่วันแล้ว”
หรงจิ่นแค่นเสียงหัวเราะเย็นชา “ไม่เหลือองครักษ์ไว้สักคนเล่า เสด็จพ่อไม่กลัวว่าลูกจะฆ่าเสด็จพ่อหรือ”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ยิ้มตรัส “จิ่นเอ๋อร์อยากได้บัลลังก์มากมิใช่หรือ องค์ชายที่เข่นฆ่ากษัตริย์จะขึ้นเป็นฮ่องเต้ไม่ได้ นอกเสียจากเจ้าจะฆ่าคนที่มีอำนาจในวังหลวงและเมืองหลวงจนหมด ในเมื่อไม่อยากลงมือ เช่นนั้นเจ้าก็นั่งลงพูดคุยเป็นเพื่อนพ่อดีๆ เถิด”
หรงจิ่นเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็นั่งลงตรงระยะที่ห่างจากฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก เขาไม่รู้ว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เก่งวิทยายุทธมากขนาดไหน แต่เวลานี้เขากล้าอยู่ตามลำพังกับตนได้ย่อมต้องมีที่พึ่งพิงบางอย่างแน่นอน เวลานี้หรงจิ่นกลับไม่ได้ใส่ใจเรื่องเหล่านี้นัก ไม่ว่าคนตรงหน้าจะแข็งแกร่งสุดท้ายก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าไม่รอด ส่วนเขาหรงจิ่นก็จะได้ครอบครองทุกอย่างไป
“เสด็จพ่ออยากตรัสสิ่งใด”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์มองหรงจิ่นอย่างรักใคร่ “หรงจังบอกเจ้าว่าเขาต่างหากที่เป็นพ่อแท้ๆ ของเจ้าใช่หรือไม่” บางทีอาจเป็นเพราะใกล้ตายแล้วจริงๆ แม้แต่คำพูดที่เพียงแค่คิดก็ยังนึกโกรธในเดิมทีกลับยังสามารถพูดด้วยท่าทีสงบในเวลานี้ได้
หรงจิ่นเงยหน้าจับจ้องเขาแน่นิ่ง ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ยิ้มตรัส “เรารู้ว่าเจ้าไม่มีทางยอมรับเขาแน่นอน แต่…ความจริงลึกๆ ในใจของเจ้าก็เชื่อคำพูดของเขากระมัง เจ้าช่างโง่เขลานัก หากเจ้ามิใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของเรา เราจะรักใคร่เจ้าขนาดนี้หรือ เจ้าเห็นเรารักองค์ชายคนใดบ้างหรือไม่เล่า”
“รักหรือ” หรงจิ่นเลิกคิ้ว จากนั้นก็มองฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ด้วยสีหน้าแปลกๆ พร้อมผุดรอยยิ้มเย้ยหยันที่มุมปาก
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ถอนหายใจ “ตอนเจ้ายังเยาว์วัย เราทอดทิ้งเจ้าให้โดดเดี่ยวจริงๆ แต่ก็เพราะหวังดีต่อเจ้า เสด็จแม่ของเจ้าจากไปเร็ว คนในตระกูลเหมยก็…ไม่เหลือใครแล้ว หากเราแสดงความรักต่อเจ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าจะมีอีกกี่คนที่ต้องการตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์ด้วย ถึงแม้เราจะเป็นฮ่องเต้แต่ก็ใช่ว่าจะปกป้องเจ้าได้ทุกเวลา เจ้าดูสิ หลายปีที่เจ้าอยู่ในตำหนักเหมยก็ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขดีมิใช่หรือ”
สงบสุขจริงๆ ถึงแม้นับตั้งแต่หกชันษาจะมีนักฆ่าโผล่มาเยี่ยมเป็นครั้งคราว แต่พอตอนนี้นึกย้อนถึงวิธีการของนักฆ่าพวกนั้นช่างต่ำทรามจนทนดูไม่ได้จริงๆ ทว่าผลกระทบเพียงหนึ่งเดียวคงเป็นความคิดชั่วร้ายและเงามืดที่ผุดขึ้นมาในใจเขามากกว่ากระมัง
“เจ้าอย่าโทษเราเลย…เมื่อก่อนเราคิดมาตลอดว่าเจ้าร่างกายอ่อนแอมาก หากเราจากไปเจ้าคงลำบาก เสด็จแม่ของเจ้าทนทรมานให้กำเนิดเจ้ามา ยังเห็นเจ้าไม่ทันไรก็จากโลกนี้ไปก่อนแล้ว เราคิดว่า…หากวันหน้าเราพาเจ้าไปเจอเสด็จแม่ของเจ้าด้วยกัน พวกเราสามคนจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันสักที แบบนี้ไม่ดีหรือ ดูจากตอนนี้…คงไม่ต้องให้เราเปลืองแรงคิดแทนเจ้าแล้ว” ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์พูดยาวเหยียดในคราวเดียวเลยทำให้สีหน้าดูเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก ทว่ากลับไม่สนใจสีหน้าไม่สู้ดีของหรงจิ่นเลยสักนิด ตรัสด้วยรอยยิ้มต่อไปว่า “แต่ไม่ว่าอย่างไร…เราก็เป็นฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ ในเมื่อจิ่นเอ๋อร์ตั้งปณิธานไว้เช่นนั้น เราย่อมต้องให้โอกาสเจ้า แน่นอนว่าเราตระเตรียมบางอย่างไว้แทนเจ้าแล้ว ช่วงนี้จิ่นเอ๋อร์พักอยู่ในวังก่อนแล้วกัน”
หรงจิ่นเลิกคิ้วแล้วมองเขาพลางเอ่ยเชิงยั่วยุ “เสด็จพ่อจะกักบริเวณลูกหรือ”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ยิ้มตรัส “ตอนนี้มีใครในวังขวางเจ้าได้ด้วยหรือ เจ้าอยู่ในวังเป็นเพื่อนพ่อจะเป็นไรไป เจ้าอยากได้ยาชะล้างหยกมิใช่หรือ เหตุที่ไม่ให้เจ้าเมื่อหลายวันก่อนเพราะกลัวว่าเจ้าจะกินสุ่มสี่สุ่มห้า ดูท่าทางตอนนี้เราคงเข้าใจผิด แต่…หากเจ้าไม่ยอมล่ะก็ เราก็จะกลืนครึ่งเม็ดที่เหลือลงคอไปเสีย ยาชะล้างหยกถูกทำลายไปเมื่อสิบเก้าปีก่อน อีกครึ่งในมือของเราเป็นส่วนที่เหลือเพียงหนึ่งเดียวในโลกหล้านี้แล้ว”
หรงจิ่นเงียบไปนานก่อนจะพยักหน้ากล่าว “ได้ ลูกเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเสด็จพ่อต้องการจะทำสิ่งใดกันแน่”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์กวาดตามองหรงจิ่นพลางถอนหายใจ “จิ่นเอ๋อร์เห็นกู้หลิวอวิ๋นสำคัญมากขนาดนั้นเชียวหรือ แต่…พ่อขอเตือนเจ้าว่าหากอยากเป็นฮ่องเต้ที่ได้มาตรฐาน การให้ความสำคัญกับความรักเกินไป…คงไม่ได้”
หรงจิ่นยิ้มเยาะอย่างไม่สบอารมณ์กล่าว “ลูกไม่ใช่เสด็จพ่อและชิงชิงก็ไม่ใช่ท่านแม่ด้วย ลูกจะคว้าเอาแผ่นดินและสาวงามมาให้ได้ทั้งสองอย่าง หากไม่มีชิงชิง ลูกก็จะทำลายแผ่นดินของเสด็จพ่อเสีย!”
“ดูทรง…เจ้าคงเป็นกษัตริย์ที่หลักแหลมไม่ได้” ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ส่ายศีรษะแล้วปิดตาลงโดยไม่พูดอะไรอีก ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแฝงไปด้วยความเศร้าใจและเอือมระอา
ยามที่เขาเพิ่งขึ้นครองราชย์เมื่อหลายสิบปีก่อนสามารถแผ่อิทธิพลอำนาจตั้งแต่อายุยังไม่สามสิบชันษา เมื่อยี่สิบปีก่อนเขาก็เคยคิดหาวิธีปกครองประเทศให้แข็งแกร่งร่ำรวย กระทั่งขึ้นชื่อว่าเป็นกษัตริย์ที่เก่งกาจและโดดเด่นแห่งยุค เดิมทีนึกว่าเส้นทางที่ไร้ความรักและโดดเดี่ยวของฮ่องเต้จะทำให้คนๆ หนึ่งเดินไปได้สุดทาง ทว่ากลับคิดไม่ถึงว่า…หลังจากได้พบสาวงามดั่งดอกเหมยผู้นั้นถึงทำให้รู้ว่าเขาไม่ได้ไร้หัวใจแต่ยังไม่เจอคนที่ใช่ก็เท่านั้น
หลังจากนั้นมาครึ่งชีวิตของเขาก็ตกสู่ห้วงคลุ้มคลั่ง แก่งแย่งลูกสะใภ้มาโดยไม่สนสถานะฮ่องเต้ ส่วนขุนนางใหญ่และตระกูลทรงอิทธิพลที่คัดค้านในราชสำนักต่างถูกเขาฆ่าทิ้งหมด ปณิธานกว้างใหญ่ที่เคยอยากรวบรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งเดียวก็ปลิวกระจัดกระจายกลายเป็นเถ้าธุลี ยี่สิบปีมานี้ใช้ชีวิตอย่างคนเลอะเลือน ครั้นบัดนี้พอได้สติกลับมาก็ค้นพบว่าตัวเองชราลงมากแล้ว หากต้องถูกฝังกลบดิน ท่าทีแก่เงอะงะเช่นนี้เขาจะไปเจอซีเอ๋อร์ได้เช่นไร ยามที่อยู่เพียงลำพัง เขาเองก็ไม่กล้าถามว่าตัวเองเคยนึกเสียใจบ้างหรือไม่