หรงจิ่นเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พลางมองชายชราที่ค่อยๆ หลับตาลงอย่างไม่ใส่ใจ ทว่ากลับลอบแค่นเสียงหัวเราะในใจกล่าว ไม่กลัวตายเลยจริงๆ หรือ เขานั่งอยู่ตรงนี้ยังกล้านอนอีกแต่ไม่นานความคิดก็แวบออกไปนอกวัง ในเมื่อตาเฒ่านี่อยากเล่นนัก เขาก็จะอยู่เล่นเป็นเพื่อน เรื่องด้านนอกมีชิงชิงคอยจัดการก็เพียงพอแล้ว
ภายในห้องตำราจวนสวินอ๋อง หลังจากหรงจังได้ยินคำรายงานของลูกน้องสีหน้าก็ค่อยๆ ขรึมลง “ข้ารู้แล้ว เจ้าออกไปเถิด”
ส่วนเว่ยอู๋จี้ที่นั่งอยู่อีกฝั่งก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “ท่านพ่อ ฝ่าบาททรงกักตัวอวี้อ๋องอยู่ในวังมาสองวันแล้ว…อู๋จี้เข้าวังไปดูหน่อยดีกว่ากระมัง”
หรงจังส่ายศีรษะ มุ่นคิ้วเอ่ย “ตอนนี้ในวังน่าจะคุ้มกันหนาแน่น แล้วกู้หลิวอวิ๋นที่อยู่ในจวนอวี้อ๋องมีความเคลื่อนไหวเช่นใดบ้าง”
เว่ยอู๋จี้ส่ายศีรษะกล่าว “ไม่มีเลย กู้หลิวอวิ๋นยังคงทำงานในศาลที่ว่าการเฟิ่งเทียนตามปกติเช่นเคย”
หรงจังเงียบไป ขบคิดครู่หนึ่งถึงเอ่ย “เช่นนั้น…จิ่นเอ๋อร์ก็ไม่น่ามีอันตรายใด พวกเรามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้องจัดการ เสด็จพ่อ…คงทนได้อีกไม่กี่วันแล้ว”
เว่ยอู๋จี้แน่นิ่ง กล่าวได้ว่าอำนาจในเมืองหลวงที่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ทรงมีในมือเหมือนดั่งภูผาสูงใหญ่ที่กดทับยอดเขาไว้จนยากจะสั่นคลอนได้ หากจู่ๆ คนเช่นนี้ใกล้ตายคงชวนให้คนมากมายรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนไปตามๆ กัน
“เตรียมการไปถึงไหนแล้ว” หรงจังเอ่ยถาม
เว่ยอู๋จี้เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “เตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว แต่เหมือนว่าจวนของท่านอ๋องและองค์ชายทั้งหลายจะยัง…” หรงจังยิ้มเย็นชาเอ่ย “บัลลังก์อันสูงส่ง ใครที่มีสิทธิ์แย่งชิงจะไม่คิดแก่งแย่งบ้างเล่า อู๋จี้ หากเวลานั้นมาถึงแล้ว เจ้าคิดหาอุบายให้หนานกงเจวี๋ยมีส่วนเอี่ยวด้วยก็พอ”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ให้ความสำคัญกับเรื่องทหารมาก นอกจากตัวฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เองแล้ว ก็มีแค่หนานกงเจวี๋ยเท่านั้นที่จะอาศัยอิทธิพลของตัวเองแตะต้องอำนาจทางการทหารได้ ขอแค่หนานกงเจวี๋ยทำอะไรไม่ได้ จวนจวงอ๋องก็ไม่มีอะไรต้องพูดถึงแล้ว
“พ่ะย่ะค่ะ อู๋จี้เข้าใจแล้ว” เว่ยอู๋จี้พยักหน้ากล่าว ภายในแววตาสุขุมแฝงไปด้วยอารมณ์ฮึกเหิม เพราะเขาปกปิดสถานะและความสามารถทางวิทยายุทธ์ของตัวเองมาตลอด ยอดฝีมือที่เว่ยอู๋จี้เคยปะทะฝีมือด้วยก็มีแค่หรงจิ่นคนเดียวเท่านั้น หากมีโอกาสได้ปะทะฝีมือกับหนานกงเจวี๋ยก็คงพลาดไม่ได้เช่นกัน
หรงจังผ่อนลมหายใจอย่างช้าๆ สีหน้าผุดรอยยิ้มจางๆ ออกมาพลางจับจ้องเปลวไฟสีแดงเบื้องหน้ากล่าว “ข้ามีลางสังหรณ์ว่าภายในสองวันนี้คง…เสด็จพ่อ อย่าทำให้ลูกผิดหวังก็แล้วกัน”
“ทูลท่านอ๋อง ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้ท่านอ๋องเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าผู้ดูแลที่อยู่นอกจวนสวินอ๋องรีบพุ่งตัวเข้ามาพร้อมทูลรายงานด้วยเสียงดีอกดีใจ
สวินอ๋องเงยหน้าขึ้น “เข้าใจแล้ว ทรงรับสั่งให้องค์ชายคนอื่นเข้าเฝ้าหรือไม่”
หัวหน้าผู้ดูแลเอ่ย “ฝ่าบาททรงรับสั่งให้องค์ชายทุกคนเข้าวังแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ดีมาก เจ้าไปเถิด ข้าจะเข้าวังเดี๋ยวนี้” หรงจังลุกขึ้นยืนมองไปทางเว่ยอู๋จี้แล้วเอ่ย “อู๋จี้ จัดการคืนนี้เลยเถิด”
“อู๋จี้น้อมรับบัญชา ท่านพ่อ…ระวังตัวด้วย” เว่ยอู๋จี้เอ่ยเสียงขรึม
“อืม” หรงจังพยักหน้าเบาๆ แล้วเหม่อมองไปทางวังหลวง ถอนหายใจเสียงเบากล่าว “ควรจบทุกอย่างได้แล้ว”
ภายในพระตำหนักชิงเหอแห่งวังหลวง มีเหล่าองค์ชายและหลานๆ สถานะสูงศักดิ์คุกเข่าอยู่เต็มพื้น ถึงแม้เวลานี้จะเป็นช่วงเดือนสามฤดูใบไม้ผลิ แต่ท้องฟ้ามืดมิดกลับนำพาไอเย็นจางๆ มาด้วย
ยามที่หรงจังมาถึงก็เห็นพี่น้องและลูกหลานต่างนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นแล้ว ทุกคนต่างก้มหน้าหลุบตาราวกับเกรงขามและเศร้าสร้อยในเวลาเดียวกัน แต่ความจริงภายในใจกลับกำลังนึกวางแผนต่างๆ อยู่ หรงจังยิ้มเยาะทีก่อนเดินย่างกรายช้าๆ เตรียมมานั่งคุกเข่าข้างกายหรงเหยี่ยน
“สวินอ๋อง ฝ่าบาทเรียกท่านเข้าไปพ่ะย่ะค่ะ” ยังไม่ทันได้นั่งลง เจี่ยงปินก็รีบเดินเข้ามาทูลด้วยเสียงนอบน้อม
หรงจังยิ้มบางเอ่ยภายใต้สายตาสับสนของทุกคนว่า “ขันทีเจี่ยง เสด็จพ่อ…”
เจี่ยงปินเอ่ยเสียงนอบน้อมแผ่วเบา “ฝ่าบาททรงเชิญสวินอ๋องเข้าไปโดยเร็ว ท่านอ๋องก็รีบเข้าไปเถิด อย่าให้ฝ่าบาททรงคอยนานเลย”
หรงจังพยักหน้าเอ่ย “เช่นนั้นก็รบกวนขันทีนำทางเถิด”
“เชิญท่านอ๋อง”
หรงจังเดินตามเจี่ยงปินไปยังประตูพระตำหนักชิงเหอที่ปิดแน่นด้วยท่าทีสงบภายใต้สายตาที่กำลังจับจ้องของทุกคน
“พี่สอง เสด็จพ่อหมายความว่าอย่างไรกัน ก่อนหน้านี้ก็ให้น้องเก้าอยู่ในวังหลายวัน ตอนนี้ยังทิ้งองค์ชายมากมายอย่างพวกเราไว้ข้างนอกแล้วเรียกหรงจังเข้าเฝ้าคนเดียวอีก! หรือเสด็จพ่อคิดจะเอา…” องค์ชายแปดที่เป็นคนอารมณ์ร้อนเอ่ยพลางมองหรงจัง หากเสด็จพ่อทรงอยากเรียกองค์ชายเข้าเฝ้าเพียงลำพังจริงๆ ถ้าว่ากันด้วยเรื่องอายุแล้วต้องเป็นหรงเซวียนเข้าไปก่อนถึงจะถูก นับประสาอะไรกับพี่สามที่ป่วยออดๆ แอดๆ มาหลายปีเช่นนั้นเล่า
เหล่าองค์ชายที่อายุพอๆ กันตอนอยู่ในเหตุการณ์เมื่อยี่สิบปีก่อนนั้นต่างพอจะรู้กันอยู่บ้าง เพราะลึกๆ แล้วองค์ชายเหล่านี้ก็ดูถูกหรงจัง เวลานี้ย่อมทนเห็นหรงจังเป็นคนเข้าไปในพระตำหนักชิงเหอก่อนไม่ได้เป็นธรรมดา ควรรู้ว่าหากตอนนี้ใครเข้าไปในพระตำหนักชิงเหอและเข้าใจสถานการณ์ภายในอย่างชัดเจนก่อนก็สื่อว่ามีความมั่นใจและคว้าโอกาสมาได้มากกว่า
ใบหน้าซูบตอบของหรงเซวียนไร้ซึ่งเลือดฝาด ร่างกายปราดเปรียวบึกบึนในเดิมทีกลับบอบบางราวกับหากเจอลมพัดก็พร้อมปลิวได้ทุกเมื่อ ดูๆ ไปแล้วเหมือนคนอาการป่วยรุมเร้ามากกว่าหรงจังที่ไอค่อกแค่กไม่หยุดเสียอีก ฤทธิ์ยาพิษของเย่าหวังกู่ดังสมคำล่ำลือจริงๆ หากฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ไม่ตกอยู่ในอาการเช่นนี้ หรงเซวียนก็ไม่ควรออกจากจวน แต่ควรนอนพักรักษาตัวอยู่บนเตียงต่อไป
หรงเซวียนมององค์ชายแปดแวบหนึ่งถึงเอ่ยเสียงเรียบ “เสด็จพ่อทรงมีความคิดเป็นของพระองค์เอง พวกเราเป็นลูกก็มีหน้าที่แค่ทำตามรับสั่งไปเท่านั้น น้องแปดอย่าร้อนใจไปเลย”
หรงเซวียนรู้ดีแก่ใจว่ายาพิษครั้งนี้ไม่ใช่แค่ทำลายร่างกายของเขาเท่านั้น แต่ยังทำลายความหวังขึ้นปกครองบ้านเมืองอีกต่างหาก ส่วนจะอายุยืนยาวเพียงใดคงต้องรอดูฟ้าลิขิต ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เขาจะขึ้นครองบัลลังก์ได้อีกหรือ
พอคิดถึงจุดนี้สายตานิ่งสงบของหรงเซวียนก็พาดผ่านความร้ายกาจออกมา ใช้สายตาราบเรียบกวาดมองหรงเหยี่ยนที่กำลังคุกเข่าอยู่ข้างกายเขาแวบหนึ่ง ถึงแม้หรงเหยี่ยนจะถูกปลดออกจากตำแหน่งชินอ๋อง ลูกน้องในมือถูกทำลายไม่เหลือ แต่รากฐานของเขาไม่ได้ถูกทำลายทั้งหมดเสียทีเดียวจึงพอจะมีโอกาส แต่หากเขาได้ขึ้นครองราชย์อย่างราบรื่น คนของจวนจวงอ๋องคงตายกันหมด
“พี่สอง…” หรงเหยี่ยนที่นั่งอยู่ใกล้หรงเซวียนมากที่สุด ไหนเลยจะสัมผัสสายตาคุกรุ่นของหรงเซวียนไม่ได้ จากนั้นในใจก็อดสบถด่ามู่หรงอวี้ที่จัดการอะไรไม่ได้เรื่องไม่ได้ ถึงแม้จะทำลายหรงเซวียนได้ แต่ก็เป็นการสร้างศัตรูให้เขาเช่นกัน หากหรงเซวียนกับตระกูลหนานกงก่อกวนขึ้นมาคงจัดการเรื่องต่างๆ ได้ยากยิ่งขึ้น
“พี่สอง เรื่องก่อนหน้านี้เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันทั้งนั้น พี่สองโปรดเชื่อน้องด้วยเถิด” หรงเหยี่ยนรู้แก่ใจดี หากตนอยากคว้าตำแหน่งฮ่องเต้สูงส่งมาได้อย่างราบรื่นดีละก็ หรงเซวียนเป็นคนแรกที่เขาต้องทำให้ยอมจำนนและเป็นด่านที่ยุ่งยากที่สุด หรงเซวียนไม่มีโอกาสที่จะได้ขึ้นครองบัลลังก์แล้ว ดังนั้นเกรงว่าจะยิ่งเกลียดชังในฐานะศัตรูของเขามากกว่า หากระหว่างนี้หรงเซวียนกับคนในตระกูลหนานกงทำอะไรขึ้นมา อย่าว่าจะได้ขึ้นครองราชย์เลย ไม่แน่อาจต้องกังวลเรื่องชีวิตด้วยซ้ำ หรงเหยี่ยนย่อมรู้เรื่องที่หนานกงอี้แวะไปเยี่ยมเยียนกู้หลิวอวิ๋นเมื่อหลายวันก่อนอยู่แล้ว เพียงแต่ปฏิกิริยานิ่งสงบของจวนอวี้อ๋องกลับทำให้เขาต้องลอบพรูลมหายใจ